ตอนที่ 59 เรื่องจริงจัง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 59 เรื่องจริงจัง

วาจานี้ทำให้ซ่งจิ่วหมิงลอบตกใจ อีกฝ่ายทราบเรื่องที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ส่งฝ่าซือติดตามให้ซางเฉาจงก็ว่าไปอย่าง แต่เหตุใดเรื่องที่หลานชายตนไปดักฆ่าหนิวโหย่วเต้าถึงได้หลุดออกไปเร็วขนาดนี้?

ถงมั่วเอ่ยขึ้นมา “สุ่ยกงกง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น คนหนุ่มทะเลาะกันเพราะความหึงหวงเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ เขาก็ได้จ่ายค่าตอบแทนอันน่าสังเวชไปแล้ว มาสืบสาวเอาเรื่องตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด มาคิดหาวิธีกันดีกว่าว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร”

คำพูดนี้ทำให้ซ่งจิ่วหมิงตกใจยิ่งกว่าเดิม เจ้ากรมโยธาทราบถึงขั้นที่ว่าหลานชายตนทำไปเพราะความหึงหวง เขารู้ได้อย่างไร? เขาตระหนักได้แล้วว่าสายสืบของทางฝั่งนี้เหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ดูเผินๆ เหมือนเจ้ากรมโยธาจะปกป้องตนอยู่ แต่ความจริงมีเจตนากระทบกระเทียบ เรียกได้ว่ากำลังตักเตือนอยู่ วันหน้าเจ้าก็ลองปิดบังดูอีกสิ!

ก่าเหมี่ยวสุ่ยยังคิดอยู่ว่าหากซักไซ้อีกสักประโยคสองประโยคจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือไม่ เมื่อเห็นถงมั่วมีเจตนาปกป้อง จึงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

“ในเมื่อเฟิ่งหลิงปอทราบถึงสิ่งนั้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องจับตามองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปสมคบกับซางเฉาจงจนก่อปัญหาตามมาในภายหลัง ลดปัญหาลงไปหนึ่งทาง กำจัดทิ้งซะ!” ถงมั่วเอ่ยสำทับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ขอรับ!” ซ่งจิ่วหมิงค้อมกายรับคำสั่ง

ที่ส่งเฉินกุยซั่วไปก่อเรื่องที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เดิมทีเพียงแค่อยากสั่งสอนถังซู่ซู่สักหน่อยเท่านั้น เนื่องด้วยเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้น เขาจึงไม่เคยคิดจะลงมือกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จริงๆ เลย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ไม่ทราบความจริงจึงกังวลมากเกินจำเป็น แต่เมื่อได้ทราบข่าวว่าเฟิ่งหลิงปอเกี่ยวดองกับซางเฉาจง ซ่งจิ่วหมิงก็รู้แล้วว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จบเห่จริงๆ แล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดอีก และยามนี้ก็เป็นไปตามที่คิดจริงๆ…

….

ตัวเมืองจังหวัดกว่างอี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศมงคล หลังจากจวนผู้ว่าการตีฆ้องร้องป่าวประกาศวันวิวาห์ของเฟิ่งรั่วหนาน ร้านรวงในเมืองต่างพากันติดกระดาษแดงหน้าประตูโดยไม่ต้องมีใครมาบอก บางร้านถึงขั้นที่แขวนโคมประดับพู่ด้วยซ้ำ ด้วยคาดหวังให้จวนผู้ว่าการมองเห็นความตั้งใจของตน ผู้คนบางส่วนที่กำลังจัดงานศพถึงขั้นที่ต้องจัดแบบหลบๆ ซ่อนๆ

แน่นอน เฟิ่งหลิงปอเองก็ต้องแสดงน้ำใจตอบกลับไปเช่นกัน เขาประกาศลดภาษีในปีนี้ของทั้งจังหวัดกว่างอี้ลงครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง จึงได้รับเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ

ว่ากันตามหลักแล้ว เรื่องลดภาษีเช่นนี้จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนัก แต่ราชสำนักเข้ามาแทรกแซงทางจังหวัดกว่างอี้ไม่ได้ อย่างไรเสียเฟิ่งหลิงปอก็ได้บ่ายเบี่ยงปฏิเสธที่จะนำส่งภาษีของจังหวัดกว่างอี้ เบื้องบนเร่งเร้ามาซ้ำๆ จังหวัดกว่างอี้ก็อ้างเรื่องความลำบากซ้ำๆ แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่นำส่ง ถึงอย่างไรราชสำนักก็ไม่เห็นบัญชีอยู่ดี ต่างฝ่ายต่างยื้อกันไปยื้อกันมา ถกเรื่องนี้ได้มิมีหน่าย ไม่มีผู้ใดยอมแตกหักก่อน

เรือนที่ซางเฉาจงพักอยู่ในขณะนี้ถูกยกให้เป็นบ้านฝ่ายชายชั่วคราวก่อน จวนผู้ว่าการออกเงินตกแต่งให้ การประดับโคมห้อยพู่เป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้

วันนี้คือวันวิวาห์ พ่อบ้านโซ่วเหนียนเป็นคนหนึ่งที่ยุ่งที่สุด คุมบ่าวไพร่ทำงานทั้งนอกใน เมื่อจัดการทางฝั่งจวนผู้ว่าการได้พอสมควรแล้วก็ต้องพาคนมาตรวจสอบเรือนทางนี้ด้วย ตรงไหนที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมก็จะเรียกคนมาจัดการในทันที เฟิ่งหลิงปอมีบุตรสาวคนเดียว แค่บังคับให้ออกเรือนก็รู้สึกผิดต่อบุตรสาวมากพอแล้ว ไม่มีทางทำให้บุตรสาวต้องคับข้องหมองใจในด้านพิธีการอีก ลงคำสั่งให้ตกแต่งจัดการอย่างงดงามอลังการ

หลังจากตรวจสอบภายในเรือนเสร็จ โซ่วเหนียนก็ได้พบกับหลานรั่วถิงที่ออกมาส่ง เขาจึงแจ้งว่าเฟิ่งรั่วอี้และเฟิ่งรั่วเจี๋ยไม่สามารถกลับมาร่วมงานวิวาห์ของน้องสาวได้ หวังว่าทางนี้จะไม่ถือสา อย่างไรก็ตามพี่ชายทั้งสองยังคงส่งคนกลับมาพร้อมของขวัญชิ้นใหญ่

สำหรับเรื่องนี้หลานรั่วถิงแสดงท่าทีเข้าอกเข้าใจ เฟิ่งรั่วอี้และเฟิ่งรั่วเจี๋ยเดิมทีต้องคุมทัพรักษาการณ์ทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกของจังหวัดกว่างอี้ ยามนี้เฟิ่งหลิงปอเกี่ยวดองกับซางเฉาจง ไม่รู้เลยว่าทางราชสำนักจะยอมแบกรับความเสี่ยงหรือไม่ ทางนี้ไม่กล้าประมาทชะล่าใจ มีแต่จะต้องยกระดับการป้องกันให้เข้มงวดขึ้น แม่ทัพไหนเลยจะกล้าปลีกตัวมาได้

พอส่งโซ่วเหนียนจากไป หลานรั่วถิงก็กลับเข้าไปในเรือนแจ้งเรื่องที่โซ่วเหนียนบอกกล่าวต่อซางเฉาจง

ซางเฉาจงตอบอืมคำหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องออกเดินทางไปรับตัวเจ้าสาวที่จวนผู้ว่าการแล้ว เป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต จะบอกว่าเขากำลังประหม่าก็ว่าได้ ที่สำคัญคือจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยพบหน้าเฟิ่งรั่วหนานเลย ได้ยินว่าเฟิ่งรั่วหนานใจร้อนดั่งไฟ เรื่องเลวร้ายเหล่านั้นหนิวโหย่วเต้าเป็นคนทำ แต่ความกดดันทั้งหมดกลับตกมาอยู่ที่ตัวเขา ทว่าเขาก็ไม่อาจกล่าวโทษหนิวโหย่วเต้าได้ ถึงอีกฝ่ายจะกระทำเรื่องไร้คุณธรรม แต่เขาก็ทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณ

สามารถกระทำเรื่องไร้คุณธรรมหลอกลวงคนจนเรื่องราวล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ได้ ซางเฉาจงเองก็นับถือในตัวหนิวโหย่วเต้าแล้วเช่นกัน เปลี่ยนมุมมองภาพจำที่เขามีต่อศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่ใต้ชายคาฝั่งนี้กำลังกระวานกระวายอยู่ หนิวโหย่วเต้าก็ถือ ‘ไม้เท้า’ เดินนำคนสองคนเข้ามาปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งสาม คนหนึ่งคือหยวนกัง ส่วนอีกคนคือหยวนฟางที่หน้าตาบวมช้ำ เดินตามต้อยๆ อยู่ด้านหลังสุด

พวกซางเฉาจงทั้งสามพบว่าหลายวันมานี้บนร่างของปีศาจหมีมีบาดแผลใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน มองแวบเดียวก็คาดเดาได้ว่าถูกใครทุบตีมา เห็นได้ชัดว่าหยวนฟางคอยมองสีหน้าของหยวนกังอยู่ตลอด หากหยวนกังปรายตามองสักแวบหนึ่ง หยวนฟางจะตกใจถอยหลังไปสองก้าว ทั้งสามรู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้เลยว่าปีศาจหมีตัวนี้ไปล่วงเกินอันใดหนิวโหย่วเต้าเข้าถึงได้ถูกทุบตีอยู่ทุกวัน

ส่วนเหตุใดถึงบอกว่าล่วงเกินหนิวโหย่วเต้าน่ะหรือ เหตุผลนั้นง่ายมาก หลังคลุกคลีกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งพวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหยวนกังไม่ใช่คนมากเรื่องเลย หากไม่มีคำสั่งจากหนิวโหย่วเต้า หยวนกังจะทุบตีปีศาจหมีขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งสามคาดเดาว่าปีศาจหมีคงยังไม่รู้จักหนิวโหย่วเต้ามากนัก ไม่ทราบว่าใครคือผู้บงการตัวจริง หนิวโหย่วเต้าเป็นคนที่ค่อนข้างสง่างามคนหนึ่ง ฉากหน้าดูเป็นมิตรยิ่งนัก ปีศาจหมีคล้ายอยากใกล้ชิดหนิวโหย่วเต้ามากกว่า

“วันนี้ท่านอ๋องดูสดใสจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามาพลางหัวเราะฮ่าๆ

จะไม่สดใสได้หรือ สวมชุดเจ้าบ่าวอยู่นี่! ซางเฉาจงกล่าวอย่างจนปัญญา “เต้าเหยี่ย ท่านอย่าได้ล้อข้าเล่นอีกเลย”

หลังจากประสบเรื่องราวบางอย่างด้วยกัน อยู่ร่วมกันอย่างสงบมาสองสามวัน ท่าทีระหว่างคนทั้งสองก็ดูปรองดองขึ้นไม่น้อย

“เมื่อคืนท่านอ๋องไม่ได้พักผ่อนให้ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองใต้ตาดำคล้ำของเขาที่คงอยู่มาตลอดในช่วงสองสามวันนี้ วันนี้เห็นได้ชัดว่ามีการลงแป้งเล็กน้อยเพื่อปกปิดไว้

ซางเฉาจงระอาใจเขาอยู่บ้าง คนผู้นี้ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว ช่วงสองสามวันมานี้จะยกเรื่องนี้มาเอ่ยย้ำเตือนเขาวันล่ะหนึ่งครั้งเสมอ

หลานรั่วถิงยิ้มเล็กน้อย “เผชิญเรื่องสำคัญในชีวิตเป็นครั้งแรก พอจะเข้าใจความรู้สึกของท่านอ๋องอยู่บ้าง ”

ซางซูชิงอมยิ้มอยู่ใต้หมวกม่านแพร ถึงอย่างไรผู้อื่นก็มองไม่เห็นอยู่ดี สายตาของนางจึงเหลือบมองไปยังกระบี่ที่หนิวโหย่วเต้าถือไว้ต่าง ‘ไม้เท้า’ อีกครั้งอย่างอดไม่ได้ รู้สึกเห็นใจกระบี่เล่มนี้อยู่บ้าง

นางย่อมรู้จักกระบี่เล่มนี้ดี เป็นกระบี่ที่นางนำไปส่งยังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วยตัวเอง ในอดีตท่านตงกัวมอบกระบี่ล้ำค่าให้เสด็จพ่อเพื่อเป็นหลักประกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกนำมาใช้เสียของเช่นนี้ ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว ทว่ากระบี่ตกเป็นของเขาแล้ว เขาอยากจะใช้อย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา คนอื่นก็พูดอะไรไม่ได้เช่นกัน

“เต้าเหยี่ย อีกสักครู่ก็ไปด้วยกันสิ” ซางเฉาจงเป็นฝ่ายกล่าวเชื้อเชิญ

หนิวโหย่วเต้าทราบว่าเขาหมายถึงจวนผู้ว่าการ ทว่าเขาทำ ‘เรื่องงามหน้า’ ไว้ คิดว่าควรเลี่ยงสักหน่อยจะดีกว่า จึงโบกมือพลางเอ่ยว่า “กระหม่อมไม่ไปหรอกพ่ะย่ะค่ะ ต้องทิ้งคนไว้คอยดูแลทางนี้สักคน” จากนั้นเขาหันไปชี้หยวนฟาง “เจ้าหมียังไม่มีฐานะอย่างเป็นทางการ เกรงว่าวันหน้าจะลำบาก อยากรบกวนท่านหลานช่วยไปคุยกับทางเฟิ่งหลิงปอให้สักหน่อย ช่วยมอบฐานะตัวตนอย่างเป็นทางการให้เจ้าหมีที วันหน้าจะได้เดินทางเข้านอกออกในได้สะดวก”

หยวนฟางที่ใบหน้าบวมช้ำคลี่ยิ้มออกมาทันที นึกในใจว่าสุดท้ายก็เป็นคนผู้นี้ที่ดีกับตน

เจ้าหมีหรือ? พวกซางเฉาจงทั้งสามแสดงสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง มีทั้งลิงมีทั้งวัวอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีหมีมาเพิ่มอีก ช่างเป็นการรวมกลุ่มที่แปลกประหลาดจริงๆ

หลานรั่วถิงพยักหน้าตอบรับ “เอาไว้ข้าจะคุยกับพ่อบ้านโซ่วเหนียนดูให้ น่าจะไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร”

ทางนี้พูดคุยเรื่องงานและเรื่องสัพเพเหระอยู่พักหนึ่ง เมื่อใกล้ถึงฤกษ์ออกเดินทางแล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงโบกมือไล่หยวนฟางถอยออกไป เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋อง มีบางคำพูดที่ไม่ทราบว่าควรกล่าวดีหรือไม่?”

ซางเฉาจงเผยสีหน้าอ่อนน้อมรับคำชี้แนะออกมาทันที “ว่ามาได้เลย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เข้าหอวันนี้ ท่านอ๋องจะต้องเผด็จศึกให้ได้ ต้องสยบเฟิ่งรั่วหนานให้ได้ในวันนี้”

ทุกคนต่างเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้สื่อถึงอะไร แต่ละคนต่างพูดไม่ออก ทั้งสามหลงนึกว่าเขาจะพูดเรื่องจริงจังอันใด คิดไม่ถึงว่าจะพูดเรื่องนี้

ซางซูชิงยังเป็นสาวเป็นนางอยู่ พอได้ยินเช่นนี้จึงอึดอัดหน้าแดงเล็กน้อย ในใจลอบเขินอาย ไม่ทราบว่าควรยืนตรงไหนดี

ซางเฉาจงกระอักกระอ่วน อยากถามเขายิ่งนัก มีใครพูดจาแบบเจ้าบ้าง?

หลานรั่วถิงถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย นำเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ออกมาหารือกัน เกรงว่าคงไม่งาม” ความหมายในวาจาคือให้หนิวโหย่วเต้าสำรวมตนด้วย

หนิวโหย่วเต้าโบกมือ “ทุกคนอย่าคิดเหลวไหลไป ข้าพูดเรื่องจริงจังอยู่ หากได้เป็นสามีภรรยากับสตรีนางนี้จริงๆ จะมีความแตกต่างกันยิ่งนัก ถ้าท่านอ๋องอยากเปลี่ยนไพร่พลของเฟิ่งหลิงปอให้กลายเป็นไพร่พลของตน หากไม่ได้รับความยินยอมพร้อมใจจากเฟิ่งรั่วหนานคงทำไม่สำเร็จ พวกเราจึงควรจะรีบเชื่อมความสัมพันธ์โดยเร็ว”

ทั้งสามคนเงียบไป เมื่อมาถึงจุดนี้ที่ต้องเอาชีวิตรอดจากอันตราย ถึงแม้คำพูดจะชวนกระดากละอายใจ ทว่ามิได้ไร้เหตุผลเลย เฟิ่งหลิงปอจะให้บุตรสาวติดตามซางเชาจงไปยังอำเภอชางหลูด้วยกัน อาจจะมีเจตนามาคอยจับตามอง อำนาจในการสั่งการไพร่พลต้องอยู่ในมือเฟิ่งรั่วหนานอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่ทหารเหล่านั้นจะเชื่อฟังซางเฉาจง หากทางนี้หากาทมิฬแสนตัวมาให้ไม่ได้ หากเฟิ่งรั่วหนานติดตามไปแล้วยังบีบบังคับไม่ยอมเลิกรา นั่นจะกลายเป็นปัญหายุ่งยาก ตอนนี้การสยบเฟิ่งรั่วหนานให้ได้จึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก

บังเอิญว่าในช่วงเวลานี้ด้านนอกมีคนมาเร่งรัดให้ซางเฉาจงเตรียมตัว จึงคลายความเก้อเขินให้ซางเฉาจงและซางซูชิงได้พอดี หลานรั่วถิงส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนออกไปก่อน

หลังจากสองพี่น้องจากไปแล้ว หลานรั่วถิงก็ขยับเข้าไปใกล้หนิวโหย่วเต้า “คำพูดของเต้าเหยี่ยทำให้ข้าแอบรู้สึกกังวลใจ เท่าที่สังเกตการณ์ในช่วงสองวันมานี้ เฟิงรั่วหนานใจร้อนโผงผาง ไม่มีความรู้สึกดีอันใดต่อท่านอ๋องเลย เกรงว่าเรื่องนี้คงค่อนข้างลำบาก”

หนิวโหย่วเต้ากระซิบว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้ากังวลอยู่ ช่วงเข้าหอคือโอกาสดี หากพ้นวันนี้ไปแล้ว ข้ากังวลว่าเฟิ่งรั่วหนานจะต้องไม่ยินยอมนอนร่วมห้องกับท่านอ๋องเป็นแน่ หากแยกห้องกันไปตลอดเช่นนี้ เรื่องนั้นคงมีปัญหาแน่ ขนาดตัวคนยังไม่ตกเป็นของท่านอ๋อง แล้วหัวใจจะตกเป็นของท่านอ๋องได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเดินทางไปพร้อมภาระหน้าที่ด้วย ดังนั้นคืนนี้ต้องทำให้ท่านอ๋องเผด็จศึกเฟิ่งรั่วหนานให้ได้!”

หลานรั่วถิงอดยิ้มเจื่อนขึ้นมาไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ต้องนำเรื่องนี้มาพูดคุยหารือกับคนอื่นอย่างเป็นจริงเป็นจัง เขาส่ายหน้าพลางเอ่ยถาม “หรือจะต้องให้ท่านอ๋องฝืนใช้กำลังเข้าหักหาญ?”

หนิวโหย่วเต้ากระแอมคราหนึ่ง “เข้าหอร่วมเตียง เป็นเรื่องชอบธรรมตามเหตุผล ท่านอ๋องแสดงความเป็นบุรุษตามที่พึงมีออกมาผู้อื่นจะว่าอันใดได้เล่า? ไม่ว่าจะพูดอย่างไรท่านอ๋องก็มีเหตุผลทั้งสิ้น เป็นนางผู้นั้นที่ไม่รู้ความ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก ท่านหลานต้องกำชับเร่งรัดท่านอ๋องให้ดี”

“เฮ้อ!” หลานรั่วถิงถอนหายใจ พยักหน้ารับคำ

เมื่อเขาจากไป เหลืออยู่เพียงหยวนกังและหนิวโหย่วเต้า จู่ๆ หยวนกังก็เอ่ยขึ้นมา “ตอนประมือในค่ายทหาร เฟิ่งรั่วหนานโจมตีเต้าเหยี่ยได้”

หนิวโหย่วเต้าทราบว่าเขาไม่มีทางพูดถึงเรื่องนี้โดยไร้สาเหตุ จึงหันไปถาม “หมายความว่ายังไง?”

หยวนกังเอ่ยตอบ “เฟิ่งรั่วหนานเป็นขุนศึกที่ดุดัน เรี่ยวแรงในการโจมตีไม่เบาเลย จากการสังเกตของผม ท่านอ๋องอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”

หนิวโหย่วเต้าเข้าใจความหมายของเขาแล้ว หากซางเฉาจงกล้าใช้กำลังบังคับร่วมหอ เกรงว่าคงถูกซ้อม อีกทั้งยากจะทำสำเร็จได้ เขาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นกระซิบสั่งการว่า “นายไปหาของที่ทำให้มือไม้อ่อนแรงมาหน่อยสิ”

พอหยวนกังได้ฟังก็รู้แล้วว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงกลอกตาใส่ทีหนึ่ง “เรื่องสกปรกแบบนี้อย่ามาเรียกใช้ผม”

หนิวโหย่วเต้าถลึงตาใส่เขา “ฉันก็ไม่ทำเรื่องน่าละอายที่จะถูกคนอื่นเหยียดหยามแบบนี้เหมือนกัน เมื่อก่อนฉันจัดการคนที่ทำแบบนี้มากี่คนต่อกี่คนนายก็ใช่ว่าจะไม่รู้ แล้วจะใช้นายไปทำได้ยังไง? คนจากวัดหนานซานเคยทำเรื่องทำนองนี้มาก่อน ประสบการณ์โชกโชน ในมือจะต้องมีของประเภทนี้อยู่แน่”

…………………………………………………..