บทที่ 59 คนไร้ธิดาเช่นข้าช่างเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 59 คนไร้ธิดาเช่นข้าช่างเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก

บทที่ 59 คนไร้ธิดาเช่นข้าช่างเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก

หนานกงหลีหวาดกลัวกับความคิดในหัวของตนจนชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะ เขาพุ่งขึ้นฝั่งโดยไม่สนแล้วว่าเสียหน้าหรือไม่

ชาวนาข้างกายมองดูอยู่แวบหนึ่ง “มิใช่ปลิงพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง ท่านคงคิดผิดไป”

หนานกงหลีโอบรัดต้นไม้ กลัวจนให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมลงไปในนาอีก

ต่อให้ถูกฝ่าบาทข่มขู่ทางพระเนตรก็ไม่ยอมลงไปเด็ดขาด!

หนานกงสือเยวียนปรายตามองพระอนุชาไร้ประโยชน์ของตนแวบหนึ่ง “ไม่ยอมลงก็ให้เขาโยนต้นกล้าแล้วกัน”

หลังจากอลเวงกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดทุกคนก็ได้เริ่มงานเสียที

บรรดาชาวนาผู้เฒ่ารับหน้าที่สอนสั่งเหล่าองค์ชายและคุณชายผู้สูงศักดิ์ถึงวิธีดำนา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งร่วมปลูกต้นกล้าที่นำมาจากวังพร้อมกับหนานกงสือเยวียน

เสี่ยวเป่านั่งอยู่บนเก้าอี้ริมฝั่ง นั่งไขว่ห้างด้วยขาป้อม ๆ ของตน สองมือเท้าคางขณะมองดูท่านพ่อทำงาน

ยามท่านพ่อดำนาอย่างตั้งใจก็ดูดีเป็นอย่างยิ่ง!

“ท่านพี่ใหญ่ ตอนนี้เสี่ยวเป่ามาอยู่เป็นเพื่อนท่านด้วย ท่านดีใจหรือไม่”

หนานกงฉีซิวเขี่ยจมูกน้อย ๆ ของนางอย่างเบามือ

“เจ้าขอลงไปไม่สำเร็จมิใช่หรือ”

เสี่ยวเป่าจับหน้าตนเอง “ท่านพ่อไม่ยอมให้เสี่ยวเป่าลงนา รอก่อนเถิด อีกสองปี ขาของเสี่ยวเป่าจะยาวยิ่งกว่าท่านพ่อ!”

หนานกงฉีซิว “…”

เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่มาก คราวหน้าอย่าได้คิดเช่นนี้อีกล่ะ

“หงิง ๆๆ…”

ลูกสุนัขที่เขาอุ้มไว้ส่งเสียงคราง เสี่ยวเป่ากระเถิบเข้าไปลูบขนนุ่มนิ่มบนตัวเจ้าหมาน้อย รวมถึงไขมันที่ผิวสัมผัสดีอย่างยิ่ง

“ดีมาก ต่อไปนี้เจ้ามีนามว่าโร่วโร่ว”

นางช่างเป็นอัจฉริยะในการตั้งชื่อเสียจริง

หนานกงฉีซิวทอดมองเจ้าตัวเล็กในอ้อมอก แล้วหันมองเสี่ยวเป่า ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

“เข้ากับมันยิ่ง”

เสี่ยวเป่ามีท่าทางราวกับได้รับคำชม หากนางมีหางคงชูขึ้นมาแล้ว หัวเล็ก ๆ ฟูฟ่องของนางส่ายไปมาอย่างเบิกบาน

ท่าทางน่ารักนั่นแทบไม่ต่างจากลูกสุนัขในมือของชายหนุ่มเลย

รอยยิ้มในสายตาของหนานกงฉีซิวทวีคูณ

การปลูกต้นข้าวสำหรับเหล่าองค์ชายและคุณชายผู้สูงศักดิ์นั้น เป็นงานอดิเรกที่น่าตื่นเต้นเพียงชั่วคราว เริ่มแรกอาจรู้สึกน่าสนุก ทว่าเมื่อนานเข้า พวกเขาเริ่มรับไม่ไหว

การต้องก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ใต้แดดจ้าบ่อย ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเอวนี้มิใช่ของตนเอง

พวกเขาต่างนึกอยากหนี ทว่าฝ่าบาทยังทรงดำนาอยู่ ซ้ำยังดำได้รวดเร็วทั้งยังคุณภาพสูงกว่าทุกคน และมิได้โอดครวญว่าเหนื่อยสักคำ

พวกเขายิ่งมิกล้าโอดครวญว่าเหนื่อย ได้แต่น้ำตาคลอหน่วยทำงานต่อไป

แต่เพียงไม่นาน ใบหน้าที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันก็กลายมาเป็นบิดเบี้ยว ดวงหน้าดูดีกลับเปลี่ยนไปเหมือนตัวตลกเพราะตัวพวกเขาเอง

เสี่ยวเป่าเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารนัก อยากจะเข้าไปนวดเอวนวดไหล่ให้บรรดาพี่ชายเสียเอง

การทำงานนี้ดำเนินไปกว่าหนึ่งชั่วยาม หลังตะกายขึ้นมาจากนาได้ สภาพของแต่ละคนดั่งมะเขือแบน เหี่ยวย่นไปทั้งตัว

หน้าตาบิดเบี้ยวกุมเอวนั้นหมดสิ้นความสง่าในวันวาน

เสี่ยวเป่าหิ้วกาน้ำชาใบเล็กของตนเองวิ่งพล่านรินน้ำให้พวกเขา ทั้งยังยัดลูกกวาดเข้าปากเหล่าพี่ชาย

“ท่านพี่ต้องลำบากกันแล้ว นี่คือน้ำถั่วเขียวคลายร้อน รีบดื่มเข้าเถิด”

นอกจากเสี่ยวเป่า เหล่านางกำนัลก็สาละวนอยู่กับการเตรียมน้ำถั่วเขียวให้พวกเขา

จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็วิ่งเตาะแตะไปหาท่านพ่อ

เจ้าก้อนแป้งกลายร่างเป็นตัวน้อยผู้สร้างความอุ่นใจ ไม่เพียงแต่รินน้ำถั่วเขียวให้ท่านพ่อดื่ม มือเล็ก ๆ นั่นยังนวดไหล่ นวดแขนให้ท่านพ่ออย่างขยันขันแข็ง

ขณะที่เจ้าตัวน้อยทำไปนั้น ยังลอบถ่ายพลังวิญญาณเพื่อคลายความเมื่อยล้าให้ท่านพ่อด้วย

ทว่าเรี่ยวแรงแค่นั้นของนาง แทบไม่เกิดความแตกต่างอันใดกับหนานกงสือเยวียน

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าจะนวดไหล่ให้ท่าน”

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าพัดให้ท่าน จะได้เย็นสบาย”

ท่าทางเอาอกเอาใจนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้มีคนตั้งเท่าไหร่กำลังอิจฉาองค์เหนือหัวอยู่

หนานกงหลีฮึดฮัดกระแนะกระแหน

“คนไร้ธิดาเช่นข้าช่างเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก~~~”

บรรดาโอรสที่มิใช่ธิดา “…”

ยามนี้ พวกเขาอยากจะกลายเป็นทรพีเอ่ยสักประโยคว่า ‘ท่านหุบปากเสียเถิด!’

ทว่าพริบตา เสี่ยวเป่าก็เข้าไปนวดไหล่ให้เสด็จอาเจ็ด แล้วจึงเป็นบรรดาพี่ชายต่อ

ทั้งยังลอบถ่ายพลังวิญญาณให้ทุกคนเพื่อบรรเทาความล้า เพียงแต่ว่ามือน้อย ๆ ของนางสุดท้ายก็หมดเรี่ยวแรง

หนานกงสือเยวียนเม้มปาก สั่งให้เสี่ยวเป่ามาหาตน ก่อนจะดึงมือของเจ้าก้อนแป้งมานวดเบา ๆ

“เหนื่อยก็หยุดก่อน เด็กโง่”

เสี่ยวเป่าบ่นอุบอิบ “เหนื่อยไม่เท่าพวกพี่ชายเสียหน่อย”

ฮ่องเต้กวาดสายตามองเจ้าพวกที่นั่งอย่างหมดท่า

“นั่นเพราะพวกเขาขาดการเคี่ยวกรำตนเอง”

ทุกคน “…”

ทว่าต่อให้เสี่ยวเป่าลอบบำรุงกายให้ทุกคนแล้ว กระนั้นนอกจากหนานกงสือเยวียน คนทั้งหมดก็ยังคงเหน็ดเหนื่อยจนยกแขนไม่ขึ้น ยืดตัวตรงไม่ไหวอีกต่อไป หลังอาบน้ำลวก ๆ ผลัดอาภรณ์ออกมาก็พากันไปนอนกลางวัน

ด้วยความตื่นเต้น เสี่ยวเป่าจึงนอนไม่หลับ และมิได้ร่วมขบวนนอนกลางวันด้วย ไม่รู้ว่านางไปหาตะกร้าสะพายหลังและมีดเล่มเล็กจากไหน ตั้งท่าจะไปตัดหญ้าอย่างกระตือรือร้น

นางจำได้อยู่ว่าต้องให้อาหารม้า

หนานกงสือเยวียนมองมีดในมือนาง ขมวดคิ้วพลางกล่าว “วางมีดลง”

เสี่ยวเป่าเขยิบเข้าไปหาด้วยสายตาละห้อย “ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าจะระวังตัว ไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บ”

หนานกงสือเยวียนปรายตามองนาง “ใช่ว่าเจ้าเอ่ยว่าไม่บาดเจ็บแล้วจะไม่บาดเจ็บจริงเสียเมื่อไหร่”

เสี่ยวเป่าฮึดฮัด รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดูถูกผู้ใดกันอยู่ นางเก่งกาจมากเลยนะ!

“ก่อนหน้านี้เสี่ยวเป่าเคยตัดหญ้าได้ตั้งมากมาย!”

หนานกงสือเยวียนเดาออกทันทีว่าเจ้าตัวเล็กหมายถึงเมื่อใด สายตาพลันมืดมน หากครอบครัวซูเถี่ยจู้อยู่ที่นี่ เป็นได้ถูกฮ่องเต้ผู้บันดาลโทสะหวดจนตายแน่

หนานกงสือเยวียนลุกขึ้น “ไปเถิด”

เสี่ยวเป่าพลันคลี่ยิ้มร่าเริงดุจดอกทานตะวัน

“ท่านพ่อจะไปกับเสี่ยวเป่าหรือ ท่านพ่อดีที่สุดเลย คิกคิก”

หนานกงสือเยวียนหิ้วตะกร้าสานบนหลังนางขึ้น แล้วก้าวเดินเชื่องช้าตามเจ้าตัวเล็กขึ้นเขา

ผืนหญ้าในฤดูกาลนี้เขียวชอุ่มอ่อนน่ากิน เจ้าตัวเล็กตัดหญ้าอย่างมีมาด ดูเจนจัดไม่หยอก

หลังใส่ลงไปได้ครึ่งตะกร้า นางก็ค้นพบด้วยความยินดีว่ามีเห็ดซ่อนอยู่ในพุ่มหญ้า

หัวเห็ดนั้นใหญ่กว่าฝ่ามือของนางเสียอีก!

“ท่านพ่อ มาดูนี่สิเพคะ!”

เสี่ยวเป่าตาลุกวาว เด็ดเห็ดขึ้นมาชูอยู่เบื้องหน้าท่านพ่อของตน

“เห็ดนี้กินได้!”

เสี่ยวเป่าฮัมเพลง พลางเก็บเห็ดที่เหลือไว้ทั้งหมด

“มีความสุขจริง ๆ เลย มีความสุขม้ากมาก ท่านพ่อ วันนี้พวกเรามีเห็ดกินแล้ว~”

หนานกงสือเยวียนหยิบเห็ดเหล่านั้นขึ้นมาดู เป็นพันธุ์ที่กินได้จริงด้วย

ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในกองทัพ เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง ทักษะเอาตัวรอดนั้นได้มาไม่น้อย

ทว่า…เจ้าตัวเล็กนี่รู้ได้อย่างไรว่าเห็ดชนิดนี้กินได้?

เดิมคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ต่อมา เสี่ยวเป่าก็ค้นพบอีกหลายชนิด นางกลับแยกแยะได้อย่างแม่นยำว่าพันธุ์ใดกินได้ พันธุ์ใดกินไม่ได้

เรื่องนี้ชวนให้ฉงนใจไม่น้อย

เด็กอายุสามขวบไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนตั้งมากมาย

หนานกงสือเยวียนตามหลังเจ้าก้อนแป้งผู้โลดแล่นอยู่ท่ามกลางพงไพร รอจนเจ้าตัวเล็กเก็บเห็ดสน*[1] อีกสามสี่ต้น แล้วจึงโพล่งถามออกไป

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเห็ดเหล่านี้กินได้”

เสี่ยวเป่าผู้ใสซื่อตอบโดยไม่นึกระวังตัวแม้แต่น้อย

“รู้แล้วกัน เสี่ยวเป่ารู้อะไรอีกมากมายเลย~”

พูดจบ นางก็หันไปมองท่านพ่อ ดวงตาคู่งามกะพริบปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่ารู้เยอะเกินไปแล้วใช่หรือไม่”

[1] เห็ดสน หรือก็คือเห็ดมัตสึทาเกะที่เราเรียกกันนั่นเอง