ตอนที่ 62 หมอจงเข้าไปใน ‘สวนภูมิทัศน์’

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

บทที่ 62 หมอจงเข้าไปใน ‘สวนภูมิทัศน์’

บทที่ 62 หมอจงเข้าไปใน ‘สวนภูมิทัศน์’

ซูเถานำทางจงเกาอี้ไปทางด้านขวา บริเวณนั้นมีอาคารเล็ก ๆ สองหลังอยู่ด้านหน้าเขา ทางด้านขวาเป็นอาคาร 2 ชั้นที่มีผนังสีฟ้าอมเทา เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไปด้านในจะเห็นห้องทำงานที่มีโต๊ะคอมพิวเตอร์ เก้าอี้และชั้นวางหนังสือ

“นี่คืออาคารสำนักงานของคุณเหรอ?” จงเกาอี้ถอดแว่นออกแล้วมองอีกครั้ง

ซูเถาพยักหน้า “ใช่ค่ะ ปกติแล้วผู้จัดการจวงจะทำงานอยู่ที่ชั้นบน ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็มาหาเธอที่นี่ได้ค่ะ”

จงเกาอี้พยักหน้ารับทราบ เขาไม่อาจละสายตามาจากมันได้

เมื่อเดินเข้าไปจะเห็นว่าด้านซ้ายมือมีอาคารชั้นเดียวขนาดเล็กที่มีป้ายสัญลักษณ์โรงพยาบาลติดอยู่ มีลานเล็ก ๆ อยู่ด้านนอก มีม้านั่งและร่มบังแดดอยู่ที่ด้านข้าง

ซูเถาอธิบายด้วยรอยยิ้ม “หมอจงคะ คุณเองก็มีชื่อเสียงมาก ฉันคิดว่าเมื่อผู้เช่าได้รับแจ้งว่ามีการรักษา ที่นี่น่าจะเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งมันจะอัดแน่นจนเกินไป ฉันคิดดูแล้วว่าช่วงนี้อากาศค่อนข้างร้อนและการเข้าคิวก็ลำบาก ฉันจึงทำสวนนี้ไว้ค่ะ”

จงเกาอี้กระแอมสองครั้ง “ผมสามารถมาทำกิจกรรมในสวนนี้ได้หรือเปล่า?”

ซูเถา “ได้สิคะ ไม่เพียงแค่สวนเล็ก ๆ นี้เท่านั้น แต่คุณยังสามารถไปที่โรงอาหารและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะอื่น ๆ ได้ด้วย เดี๋ยวตอนเย็นพวกเราจะพาคุณไปกินข้าวที่นั่นเพื่อให้คุณได้ทำความคุ้นเคยนะคะ”

จู่ ๆ จงเกาอี้ก็รู้สึกว่าการมาทำงานที่เถาหยางนั้นไม่เลวเลยทีเดียว

หลังจากที่เข้าไปในสิ่งที่เรียกว่า ‘ห้องขนาดเล็ก’ ก็ถูกความเย็นนั้นจู่โจม

จงเกาอี้ตกตะลึง “ลมเย็นนี้มาจากไหน?”

ซูเถากล่าวว่า “ติดตั้งเครื่องปรับอากาศไว้ค่ะ มีปุ่มควบคุมติดอยู่ที่ด้านข้างประตู หากคุณรู้สึกว่าหนาวเกินไปก็สามารถปรับได้ค่ะ”

จงเกาอี้จ้องมองอย่างว่างเปล่าเป็นเวลาสามวินาทีแล้วถามว่า “มันถูกเตรียมไว้สำหรับผมเ หรอ?”

จากนั้นก็เห็นกระเบื้องปูพื้นที่เพิ่งปูใหม่ ผนังที่ดูสะอาดตา มีโต๊ะข้างหน้าต่างและตู้ขนาดใหญ่อยู่ทางด้านขวา…

ซูเถาผลักประตูเข้าไปด้านใน “ที่นี่ยังมีห้องพักอีกด้วยค่ะ เตรียมไว้สำหรับคุณ”

จงเกาอี้ก้าวเข้าไป เขาเห็นทีวีที่ถูกแขวนไว้บนผนังด้านขวามือ และมีโซฟาอยู่ข้าง ๆ อีกหนึ่งตัว เข้าไปข้างในก็มีเตียงนุ่มขนาดเล็กสำหรับหนึ่งคนพร้อมชุดเครื่องนอน มีโคมไฟอยู่บนชั้นหัวเตียง และตู้เสื้อผ้าสำหรับหนึ่งคนอยู่อีกฝั่งของหัวเตียง

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดคือมีห้องน้ำในตัว มีทั้งอ่างล้างหน้า โถสุขภัณฑ์ และฝักบัวอาบน้ำ

จงเกาอี้ไม่อยากจะเชื่อ “ผมพักคนเดียวเหรอ?”

ซูเถาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ที่นี่มีเตียงแค่หลังเดียว คุณจะอยู่กับใครได้ล่ะคะ? หรือจะให้มันมาอยู่เป็นเพื่อนคุณดี?”

ในขณะที่เธอพูดก็ยกสายจูงเสวี่ยเตาขึ้นมา

ราวกับว่าเสวี่ยเตานั้นเข้าใจ เสวี่ยเตาเหยียบเท้าซูเถาแล้วร้อง ‘โฮ่ง’ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเธอ

ซูเถารีบพูดอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่อยู่ก็ไม่อยู่”

จากนั้นเสวี่ยเตาก็ถอนอุ้งเท้าของมันออกแล้วนอนคว่ำหน้าต่อไป

จงเกาอี้สำรวจไปรอบ ๆ ห้องพัก ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาถามซูเถา

“นี่เดือนละเท่าไหร่เหรอ?”

ตอนนี้ห้องที่เขาร่วมแชร์ มีแค่หนึ่งห้องเดี่ยวเท่านั้น ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น และระเบียงก็ต้องแชร์กันทั้งหมด

ค่าเช่ารายเดือนอยู่ที่ประมาณ 8,000 เหลียนปัง บวกกับคะแนนสมทบอีก 100 คะแนน

ห้องนอนขนาดใหญ่แบบนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 – 20,000 เหลียนปัง

ซูเถาอึ้งกับคำถามของเขา “อะไรเดือนละเท่าไหร่คะ?”

จวงหว่านขานรับและอธิบายให้จงเกาอี้ฟังอย่างรวดเร็ว

“คุณหมอจง คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ นี่คือสิ่งที่เถ้าแก่ซูตั้งใจเตรียมไว้ให้คุณอาศัยชั่วคราว ไม่มีการเก็บค่าเช่าค่ะ”

ซูเถากล่าวว่า “ใช่ค่ะ อีกอย่างคุณก็มาอาศัยอยู่ที่นี่เดือนละห้าวัน ฉันจะเก็บค่าเช่าคุณได้ยังไงกัน”

และที่สำคัญที่สุดจงเกาอี้มาทำงานที่เถาหยางฟรี เทียบกับค่าน้ำที่เธอต้องส่งให้กู้หมิงฉือทุกเดือน คิดเป็นเงินหลายร้อยเหลียนปังซึ่งถือว่าน้อยมาก

เธอยินดีที่จะจ่ายเงินพิเศษให้แก่จงเกาอี้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับห้องเล็ก ๆ แค่ห้องเดียว เธอไม่จำเป็นต้องเก็บค่าเช่าส่วนนี้

จงเกาอี้นิ่งเงียบไปสองวินาที จากนั้นเขาก็พูดว่า

“ในห้าวันผมจะตั้งใจมาตรวจและรักษาโรคอย่างดี รบกวนเถ้าแก่ซูและผู้จัดการจวงด้วย”

จวงหว่านรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินชื่อนี้ “หมอจงคะ เรียกฉันว่าเสี่ยวจงก็พอค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะพาลูกสาวมาให้คุณตรวจ ส่วนตอนนี้คุณพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ แล้วเดี๋ยวตอนเย็นฉันจะมาพาคุณไปกินข้าวนะคะ”

เมื่อนึกถึงใบหน้าของลูกสาวที่รอดชีวิตมาได้ จวงหว่านก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถ้าไม่ติดว่าจงเกาอี้ต้องพักผ่อน เธอคงพาลูกสาวมาที่นี่วันนี้เลย

หลังพวกเธอออกมา เธอก็พูดให้ซูเถาฟัง “ก่อนวันสิ้นโลก ครูเคยถามฉันว่าโตขึ้นฉันอยากเป็นอะไร แล้วฉันก็ตอบไปว่าฉันอยากเป็นหมอ ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าเป็นหมอนั้นเจ๋งมาก การช่วยคนให้รอดพ้นจากเงื้อมมือยมทูตนั้นมันเท่ขนาดไหน คิดไม่ถึงว่าหลังจากวันสิ้นโลกประตูนรกจะดึงผู้คนเข้าไปแล้วปิดประตูลง นี่แหละคือชีวิตและความตาย”

“ใช่แล้ว ความสามารถของหมอจงกับเสี่ยวเจี่ยนจะเหมือนกันหรือเปล่า?”

ซูเถาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด “เหมือนว่าจะไม่เหมือนนะคะ พลังของเสี่ยวเจี่ยนจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาบาดแผลและการติดเชื้อ ฉันได้ยินกัปตันสือบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าการชำระล้าง มันสามารถกำจัดไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพหลังจากโดนซอมบี้กัด ส่วนคุณหมอจงมีชื่อเสียงในด้านการฟื้นฟู สามารถทำให้แขนขาที่ขาดนั้นงอกกลับมาได้”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซูเถาก็นึกถึงอวัยวะเทียมที่สือจื่อจิ้นใส่อยู่

หญิงสาวถอนหายใจ เธอขอให้เขายอมรับการช่วยเหลือจากคนของกู้หมิงฉือ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพิการไปตลอดชีวิต

……

จงเกาอี้นั่งเงียบ ๆ บนโซฟาตัวเล็กเป็นเวลานาน สภาพแวดล้อมโดยรอบทำให้เขาเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปตอนที่เขาเรียนมหาวิทยาลัย และเป็นแพทย์ฝึกหัดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

โรงพยาบาลในตอนนั้นทั้งสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ในฤดูร้อนก็มีการเปิดแอร์ตลอดทั้งวัน ไม่มีห้องที่อับหรือทึบเลย

จงเกาอี้ลูบใบหน้าของเขา จากนั้นเดินไปที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำอุ่นชำระล้างร่างกาย ทำให้ความเหนื่อยล้าระหว่างเดินทางนั้นหายไป เมื่อทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยแล้วก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่ม รู้สึกได้อุณหภูมิที่เหมาะสมจากเครื่องปรับอากาศ อากาศเย็น ๆ ทำให้เขานอนสบายในยามบ่ายที่มีแดดกำลังแผดเผา

ซูเถาและจวงหว่านกลับไปที่หน้าประตูห้องเก็บน้ำ เพื่อดูคนงานขนน้ำ นำถังแกลลอนใสสะอาดที่บรรจุน้ำไว้ขึ้นรถ

คนงานบางคนเงยหน้าขึ้นมองตาเป็นมัน ปากและลิ้นแห้ง หน้าผากมีเหงื่อไหลออกมา

ซูเถาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ตอนนี้แหล่งน้ำของตงหยางขาดแคลนมากแค่ไหน?”

คนงานเช็ดหน้าผากแล้วพูดว่า

“ได้ยินมาว่าไม่มีน้ำไหลออกมาจากพื้นดิน และน้ำต้องผ่านการบำบัดก่อนถึงจะแจกจ่ายน้ำออกไปได้ ภรรยาของผมก็จัดการปัสสาวะของผมทุกวัน เก็บน้ำเอาไว้หมุนเวียนเปลี่ยนเป็นน้ำสะอาด แต่ถึงเป็นแบบนั้นที่บ้านผมก็ต้องประหยัดน้ำเอาไว้ดื่ม ไม่กล้าที่จะนำน้ำไปซักผ้าหรืออาบ”

ในขณะที่พูด เขาก็ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวของตน “ตัวผมคงเหม็นมากใช่ไหม คุณคือเถ้าแก่ซูสินะ เห็นน้ำของคุณผมแทบรอไม่ไหวอยากที่จะกระโดดลงไปอาบ ตอนนี้ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีน้ำจำนวนมากเหมือนคุณ”

พูดจบเขาก็หยิบภาชนะใส่น้ำออกมา แล้วพูดว่า

“เถ้าแก่ซู ผมขอน้ำสักหน่อยได้ไหม? ผมจะเอากลับไปให้ภรรยาล้างหน้าหรือทำอะไรสักอย่าง ผมเป็นผู้ชายน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ภรรยาน่ะสิ เธอเป็นผู้หญิงผมก็อยากให้เธอสะอาด”

ซูเถาเองก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่แสวงผลจากผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา เลยอนุญาตเขาอย่างไม่รีรอ และยังให้คนงานคนอื่นไปที่ห้องเก็บน้ำเพื่อนำน้ำออกไปล้างหน้าหรือทำอย่างอื่น

คนงานรู้สึกขอบคุณมาก พวกเขาดีใจราวกับว่าเพิ่งผ่านวันสิ้นปีมา ก่อนที่พวกเขาจะออกไปก็ทยอยมาขอบคุณซูเถาทีละคน

จวงหว่านเฝ้าดูและถอนหายใจ “เถ้าแก่ ปีนี้ข้างนอกน่าจะลำบากมาก คงมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากแน่”