ตอนที่ 82 สมมุติฐานที่ไม่น่าเป็นไปได้

My Death Flags Show No Sign of Ending

ภายในรถม้าที่กำลังโยกไปเยกมา เอลล์กำลังนั่งอยู่อย่างเหม่อลอย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น หากวิเคราะห์จากข้อมูลจำนวนมากมายที่เธอมีอยู่ ณ ตอนนี้ คำถามคือ “อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของฮาโรลด์”

หรือบางที ฮาโรลด์อาจจะต้องการให้คลอเล็ตและไลเนอร์ตามไปชิงดาบล้ำค่าที่ถูกลูกน้องของแฮร์ริสันขโมยไปกลับคืนมา และเมื่อพิจารณาจากการกระทำของฮาโรลด์ มีความเป็นไปได้สูงที่มันจำเป็นต้องให้คลอเล็ตและไลเนอร์ร่วมมือกันเท่านั้น ไม่งั้นเขาคงไม่ลงทุนทำอะไรที่มันยุ่งยากวุ่นวายแบบนี้

จริงๆหากคิดถึงกรณีที่แย่สุด คือคลอเล็ตไม่ยอมตามไลเนอร์ไปจริงๆ เขาก็แค่สั่งใครสักคนในกลุ่มของฟรีรี่เพื่อรับบทเพื่อนร่วมทางกับไลเนอร์แทนก็ได้ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าวิธีการแก้ปัญหานี้จะไม่มีอยู่ในหัวของเขาเลยตั้งแต่แรก

แล้วมันจำเป็นจริงๆหรอที่ทั้ง 2 คนนั้นต้องอยู่ด้วยกันให้ได้? หรือแค่คลอเล็ตคนเดียวที่มีความสำคัญจริงๆ ? ซึ่งเอลล์ก็ไม่รู้คำตอบ แต่เธอก็คิดว่า 1 ใน 2 ข้อนี่แหละที่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง

ความคิดของเธอนั้นมีข้อสนับสนุนโดยอ้างอิงจากสิ่งที่ฮาโรลด์เคยพูดเอาไว้ เขานั้นรู้มาก่อนแล้วว่าคลอเล็ตและไลเนอร์นั้นอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านบร๊อช และยิ่งกว่านั้น หากดูจากปฎิกิริยาของคลอเล็ตและฮาโรลด์ มันทำให้แน่ใจว่าพวกเขาทั้ง 2รู้จักกันมาก่อนแล้ว หรือบางที แม้กระทั้งไลเนอร์เอง ฮาโรลด์อาจจะรู้จักกับเขามาก่อนอยู่แล้วเช่นกัน

และด้วยทั้งหมดนี้ จึงเกิดคำถามขึ้นภายในหัวของเอลล์ ที่ฮาโรลด์ต้องการให้ทั้ง 2 ไล่ตามเขาไปเพราะฮาโรลด์รู้จัก 2 คนนี้ดีอยู่แล้ว หรือ —-

 

—– ที่ฮาโรลด์เข้าไปทำความคุ้นเคยกับพวกเขาทั้ง 2 เพียงเพื่อให้ฉากๆที่ทั้งคู่จะไล่ตามฮาโรลด์เกิดขึ้น ?

 

เอลล์ไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของไลเนอร์และคลอเล็ตเลยซักนิด และเธอก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งคู่และฮาโรลด์คืออะไรด้วย ดังนั้น นี่จึงเป็นเพียงการคาดเดาของเธอล้วนๆ ซึ่งในมุมมองของเอลล์ เธอมองว่า ทั้งไลเนอร์และคลอเล็ต ต่างดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยซักนิด พวกเขาทั้งคู่ดูเหมือนเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงธรรมดาที่หาได้จากหมู่บ้านตามชนบท นั้นคือความประทับใจที่ทั้งคู่มอบให้แก่เธอ

อย่างไรก็ตาม ความประทับใจในความธรรมดานั้นกับถูกทำลายลง

เอลล์ไม่รู้ว่าฮาโรลด์ไปคุยอะไรกับคลอเล็ต แต่ทว่าในตอนที่เธอตัดสินใจที่จะไล่ตามไลเนอร์ไป เอลล์รู้สึกถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าในแววตาของเธอ แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่เอลล์รู้สึกได้เลยว่าตัวเธอนั้นถูกบรรยากาศที่แน่วแน่เหล่านั้นกลืนหายไป

เอลล์เคยเห็นผู้คนที่เป็นคนที่ยิ่งใหญ่และกล้าหาญมามากมาย เธอจึงเข้าใจดี บรรยากาศรอบตัวของคนเหล่านั้นจะพิเศษกว่าใครอื่น มันรู้สึกราวกับพวกเขาคือผู้กล้าที่มากพร้อมด้วยพรสวรรค์ ไม่มีทางที่บรรยากาศแบบนั้นจะมีอยู่ในผู้หญิงชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไป

ดังนั้นเอลล์จึงรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่พิเศษในตัวคลอเล็ต ยิ่งไปกว่านั้น ฮาโรลด์เขาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน บางทีเขาอาจจะรู้มาก่อนนานแล้วด้วย

ดังนั้นเอลล์จึงเริ่มขุดคุ้ยอดีตของฮาโรลด์และคลอเล็ต แต่ทว่าเรื่องราวกับถูกค้นพบได้โดยง่ายกว่าที่เอลล์คาดเอาไว้มาก

เหตุผลนั้นง่ายๆ หมู่บ้านบร๊อชนั้นอยู่ติดกับดินแดนของตระกูลสโตร์กที่ฮาโรลด์อาศัยอยู่ ทันทีที่เอลล์เริ่มสืบค้นโดยใช้คนของกลุ่มฟรีรี่ที่ว่างงานอยู่และเครือข่ายข้อมูลของกิฟเฟลต์ คำตอบของคำถามก็ปรากฎออกมา

มันง่ายเสียจนเอลล์สงสัยจริงๆว่าฮาโรลด์มีความตั้งใจที่จะปกปิดมันบ้างรึปล่าว ? แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ก็ชัดเจน คนหนึ่งคือผู้ที่ช่วยชีวิต และอีกคนคือคนที่ถูกช่วยเอาไว้ นั้นจึงหมายความว่าฮาโรลด์นั้นคือผู้มีพระคุณของคลอเล็ต

8 ปีก่อน ฮาโรลด์ได้สังหารหญิงรับใช้ชื่อว่าคลาล่าและลูกสาวของเธอด้วยมือของเขาเอง—– นั้นคือสิ่งที่ประชาชนภายในดินแดนสโตร์กลือกัน อย่างไรก็ตาม นั้นมันก็ไม่เป็นความจริง

นั้นก็เพราะ สองแม่ลูกนั้นยังมีชีวิตอยู่

และในตอนที่เอลล์พูดว่าเครื่องแต่งกายของพวกโจรที่บุกเข้าไปขโมยของที่บ้านของไลเนอร์นั้นดูคล้ายกับฮาโรลด์ วายร้ายที่เธอได้ยินมาจากข่าวลือ คลอเล็ตก็ปฎิเสธออกมาทันทีว่าเขานั้นไม่ใช่คนแบบนั้นด้วยท่าทีที่หนักแน่น แม้ว่าหลังจากนั้นเธอจะพยายามกลับคำพูดแล้วอ้างว่าเธอนั้นไม่รู้จักเขา

และการแสดงออกของคลอเล็ตที่พยายามกลับคำให้การนั้นทำให้เอลล์รู้ได้ทันทีว่าเธอทำผิดพลาดไป จากทั้งหมดนี้เอลล์จึงอนุมานได้ว่า คลอเล็ตนั้นอยู่ในตำแหน่งที่จำเป็นต้องปกปิดความจริงที่ว่าฮาโรลด์นั้นเคยช่วยชีวิตเธอ

คงเป็นเพราะฮาโรลด์สั่งเธอเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ จึงกลายเป็นว่าฮาโรลด์สร้างบ่วงคล้องคอตัวเองเพื่อประจานว่าตนเป็นฆาตกร บางที่นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของข่าวลือเสียๆหายๆของตัวเขา

นอกจากนี้ ยังไม่เคยมีข่าวว่าฮาโรลด์ปฎิเสธข้อหาเหล่านั้นเลยซักครั้ง ชายคนนั้นทำท่าทียอมรับข้อกล่าวหาด้วยความภาคภูมิใจ บางทีอาจเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาเพื่อรักษาความลับที่สองแม่ลูกนั้นยังปลอดภัยอยู่ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร สิ่งที่ฮาโรลด์พยายามทำก็เพื่อให้สองแม่ลูกสามารถหลบหนีออกมาจากดินแดนของตระกูลสโตร์กไปให้ได้ ไปยังสถานที่ที่ฮาโรลด์เลือกเอาไว้ ที่ๆไม่มีใครรู้จักพวกเธอ

เอลล์พยายามนึกหาเหตุผลต่างๆ เพื่ออธิบายสิ่งที่ฮาโรลด์ทำ แต่สิ่งที่เอลล์สนใจอยู่ ณ ตอนนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ชีวิตของแม่และลูกสาว

ครอบครัวของพวกเธอนั้นกำพร้าพ่อ และอยู่กับเพียง 2 แม่ลูกเท่านั้น ในช่วงที่คลาล่าถูกช่วยชีวิตเอาไว้ เธอต้องตกงาน คลอเล็ตเองก็อายุเพียง 9 ขวบ ไม่มีทางที่จะหางานทำได้ หากมองในภาพรวม ยังไงพวกเธอต้องลำบากแน่ๆ

อย่างไรก็ตาม ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน พวกเธอทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตอยู่กับแบบเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับยากจนขนาดนั้น แม้ว่าบ้านของพวกเธอทั้งคู่จะเป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กๆ แต่มันก็เป็นบ้านเดี่ยวที่ซื้อมาโดยชื่อของเธอไม่ใช่การเช่าอาศัยอยู่แต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นการชำระเพียงงวดเดียวทันทีที่พวกเธอเดินทางมาถึง ณ หมู่บ้านแห่งนี้

นั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งหากคุณเป็นเมดส่วนตัวของชนชั้นสูงหรืออะไรก็ช่าง แต่สำหรับหญิงรับใช้ธรรมดาอย่างคลาล่าเงินเดือนของเธอแทบไม่มีค่าอะไรเลย ต่อให้อดมื้อกินมื้อ มันก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมากๆที่จะออมเงินจนสามารถซื้อบ้านโดยจ่ายเพียงงวดเดียวได้

แล้ว ? 2 แม่ลูกเอาเงินที่ใช้ซื้อบ้านมาจากไหน ? คำตอบนั้นง่ายมาก ฮาโรลด์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แน่ๆ 

สรุปสั้นๆ ฮาโรลด์ช่วยชีวิตคลาล่าและคลอเล็ตและแบกรับข้อหาฆาตกรเอาไว้ แถมยังให้เงินพวกเธอทั้งคู่เพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตต่อโดยไม่ลำบาก การช่วยเหลือผู้อื่นโดยการเสียสละตัวเองขนาดนี้ มันตรงข้ามกับท่าทีหยิ่งยโสที่เขามักทำเป็นปกติอย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าเจตนาที่แท้จริงของฮาโรลด์จะคืออะไร แต่การช่วยชีวิตคลอเล็ตและคลาล่าถือว่าคุ้มค่าสำหรับเขา—-

 

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากความคุ้มค่านั้นเกิดจากที่เขาได้เห็นถึงพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวของคลอเล็ตตั้งแต่เวลานั้น ?

 

เมื่อเอลล์คิดมาถึงจุดนี้ เธอถึงกับสั่นไปทั้งกระดูกสันหลัง 

ในตอนนั้นฮาโรลด์เพียงแค่ 10 ขวบ หรือเขาคาดการณ์สิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอีก 8 ปีต่อมาได้ ? และด้วยเหตุนี้ เขาจึงช่วยชีวิตคลาล่าและคลอเล็ตเอาไว้เพื่อเตรียมพวกเธอให้พร้อมกับในสถานการณ์ปัจจุบัน นั้นคือการคาดเดาที่บ้ามากๆที่แว๊บเข้ามาในความคิดของเอลล์

ไม่ว่าจะยังไง ฮาโรลด์ก็ไม่มีทางที่จะทำให้ผู้คนหรือสิ่งต่างๆเคลื่อนไหวไปตามที่เขาต้องได้ อย่างไรก็ตาม พอเมื่อพิจารณาถึงการกระทำของฮาโรลด์ที่ผ่านมา เอลล์ไม่สามารถปฎิเสธความคิดนั้นได้เลย เหตุผลเพราะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮาโรลด์คาดการณ์อนาคตได้ล่วงหน้าจนเกินไป

เมื่อลองคิดย้อนกลับไป ยังมีจุดที่น่าสงสัยอีกหลายๆจุดในประวัติของฮาโรลด์ ที่เด่นชัดที่สุดคือเหตุการณ์ต่อสู้ ณ ป่าเบลติส

จักรวรรดิซาเรี่ยนได้ข้ามภูเขาและบุกรุกดินแดนของอาณาจักรลิเบอร์ ทำให้เกิดเหตุโศกนาฎกรรมที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 รายทั้งอัศวินและชนเผ่าท้องถิ่น และในการสู้รบครั้งนั้น ฮาโรลด์ถูกสงสัยว่าเป็นสายลับและถูกจับกุม

แล้วทำไมเขาถึงถูกสงสัย นั้นก็เพราะเขาถูกจับขณะสวมเครื่องแบบของจักรวรรดิซาเรี่ยน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้อมูลนี้จะไม่ได้ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ แต่ในระหว่างการสู้รบในป่าเบลติส ฮาโรลด์ได้สังหารแม่ทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิซาเรี่ยน นามว่า ริตเซิร์ส ฉายา the magician และถ้าฮาโรลด์เป็นสายลับของจักรวรรดิจริง เขาไม่มีทางที่จะทำแบบนั้นแน่ๆ

ดังนั้น หากคิดในมุมกลับ หากฮาโรลด์ไม่ใช่สายลับของจักรวรรดิ ดังนั้นการที่เขาปลอมตัวเป็นนายทหารของจักรวรรดิ ก็เพื่อให้เหล่าอัศวินทราบว่าใครคือศัตรูตัวจริง และตามคำบอกเล่าของโคดี้ ซึ่งเป็นหัวหน้าของฮาโรลด์ในเวลานั้น การกระทำของฮาโรลด์มีบทบาทสำคัญในการจำกัดความเสียหายที่มีต่อกองอัศวิน

ถ้างั้น หากลองคิดแบบนี้ จะเป็นยังไงถ้าตั้งแต่เริ่ม ฮาโรลด์มีเป้าหมายจริงๆคือการปลอมตัวด้วยเครื่องแบบของจักรวรรดิและเข้าสู่สนามรบ ขัดขวางแผนการณ์และเอาชนะริตเซิร์ด ?

นั้นหมายความฮาโรลด์รับรู้ว่ากองทัพจักรวรรดิจะเปิดฉากโจมตีก่อนที่มันจะเกิดเรื่องขึ้นเสียด้วยซ้ำ ใครที่ได้ฟังคงต่างคิดเป็นเสียงเดียวกันว่าฮาโรลด์คงมีเครือข่ายข้อมูลที่ไม่ธรรมดาเลย แต่เอลล์ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อที่จะทำทั้งหมดนี้ให้สำเร็จ ฮาโรลด์จะต้องบรรลุเงื่อนไขข้องหนึ่งก่อนนั้นคือ–

 

–การเป็นอัศวิน

 

สิ่งที่ต้องพึงนึกเอาไว้เสมอนั้นก็คือ ฮาโรลด์มีอายุต่ำกว่าเกณในการสมัครเข้าร่วมกับกองอัศวน ซึ่งในเวลานั้น ฮาโรลด์มีอายุเพียง 13 ปี ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ที่ได้ก้าวเท้าเข้าสู่กองอัศวิน สถานการณ์นี้ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เว้นเสียจากจะมีเบื้องหลังของการกระทำเหล่านี้ของฮาโรลด์

หากเบื้องหลังของการเข้าร่วมกับกองอัศวินคือการต่อสู้ในป่าเบลติส แล้วฮาโรลด์จะต้องเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถมากขนาดไหน ยังไงซะมันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 หรือ 2 ปี กว่าเขาจะมีความสามารถมากพอและสมัครเข้าร่วมกับกองอัศวินตอนอายุ 13

กล่าวอีกนัยคือ ฮาโรลด์อาจรู้มาหลายปีแล้วว่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่ป่าเบลติส นั้นเพราะในช่วงเวลาก่อนเกิดการต่อสู้ในป่าเบลติสนั้น ไม่มีสัญญาณใดๆบ่งชี้ว่าจะเกิดเหตุสู้รบขึ้นอย่างแน่นอน

 

[  … ใช่แล้ว มันดูราวกับ— ไม่สิ ฉันคงคิดมากเกินไป ] – เอลล์

 

เอลล์เผลอพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ หากสมมุติฐานไร้สาระของเขาเป็นจริง สิ่งเหล่านี้จะไม่อยู่ในระดับของการวางแผนที่ยอดเยี่ยมหรือมีเครือข่ายข่าวกรองที่เหนือกว่าอีกต่อไป

“เป็นไปไม่ได้” อีกครั้งที่เสียงพึมพัมเล็ดลอดออกมาจากเอลล์ แต่น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมานั้นมันฟังดูตื่นเขิลจนแม้กระทั้งตัวของเธอยังรู้สึกประหลาดใจ

เพราะในเวลานี้ มีคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เอลล์อยากจะถามฮาโรลด์มากๆ

คำถามนั้นก็คือ ฮาโรลด์ประกาศอย่างมั่นใจได้อย่างไรว่าเอลล์นั้นคือกิฟเฟลต์ ทั้งๆที่เอลล์ไม่เคยเผยข้อมูลใดๆให้กับเขาสืบสาวมาถึงชื่อของกิฟเฟลต์ได้ มันคือคำถามที่ยังคิดติดอยู่ในใจของเอลล์ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงการตีหน้าซื่อหลอกให้เธอแสดงตัวก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามความเป็นจริง ไม่มีทางที่ฮาโรลด์จะรู้ถึงตัวตนจริงๆของเธอหลังจากพบกันเพียงวันสองวัน และพูดคุยกันเพียงไม่กี่ครั้ง

อีกคำถามก็คือทำไมฮาโรลด์ถึงมีข้อมูลเกี่ยวกับความทรงจำของดวงดาว มันคือ”บางสิ่ง” ซึ่งเชื่อมต่อกับทุกๆชีวิตภายใต้ดวงดาวแห่งนี้ มันเป็นสิ่งที่ผู้ที่ใช้นามกิฟเฟลต์ต่างตามหามันมากกว่าร้อยปี มันเปรียบดั่งความจริงของโลกใบนี้ และรูปลักษณ์ของมันไม่เป็นที่รู้จักอย่างสมบูรณ์

และมันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย ที่ตระกูลกิฟเฟลต์ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อตามหาความทรงจำแห่งดวงดาว แต่ฮาโรลด์กับรู้ถึงการมีอยู่ของมันมาโดยตลอด และไม่แน่ว่าเขาอาจรู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน

แต่ว่าถ้าเรื่องนี้เขายังรู้ แสดงว่าเขา ”รู้” มากกว่าที่เธอเห็นภายนอก

ทั้งเรื่องของกิฟเฟลต์,ความทรงจำของดวงดาว,เหตุการณ์ต่อสู้ที่ไม่อาจคาดเดาล่วงหน้าได้,แฮร์ริสันสั่งให้เขารวบรวมสมบัติ,ดาบล้ำค่าเล่มนั้น และบางทีอาจมีอีกหลายสิ่งที่กำลังรอคอยอยู่ในอนาคต

เมื่อพิจารณาจากการกระทำของคลอเล็ตที่ไม่เป็นไปตามการคาดการณ์ของฮาโรลด์ และความจริงที่ว่าเขาตกระกำลำบากกับการหาวิธีรับมือกับยูสทัส จะเห็นได้ว่าความสามารถของเขายังห่างไกลกับคำว่าสมบูรณ์แบบ

มันยังมีข้อจำกัด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีข้อจำกัด แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ฮาโรลด์จะมีมันแน่ๆ

 

[ พลังในการมองเห็นอนาคต —– นายมีมันใช่มั้ยฮาโรลด์ ] – เอลล์

 

ในที่สุดเขาก็พูดคำๆนั้นออกมา

ถ้าหากเขาพูดคำๆนี้กับใครซักคน ไม่แปลกเลยถ้าหากเขาจะถูกหัวเราะใส่อย่างเหยียดหยาม มันเหมือนกับการพยายามให้เหตุผลที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้

อย่างไรก็ตาม ยิ่งเอลล์ได้รับรู้เกี่ยวกับการกระทำของฮาโรลด์มากเพียงใด เธอก็ยิ่งไม่สามารถปฎิเสธสมมุติฐานของเธอได้ ไม่แม้จะหยุดคิดถึงมันได้

ดังนั้นสิ่งที่เธอยังคงสงสัย ถ้าความคิดของเธอถูกต้องจริงๆ แล้วฮาโรลด์มองเห็นอนาคตข้างหน้าได้ไกลแค่ไหน? แล้วนายกำลังใช้พลังนั้นทำอะไรให้สำเร็จกันแน่ ?