“ฮึ้บ…”
ปู่แม็กซ์ที่ได้ไดเอน่าช่วยพยุงร่างอันแก่ชราของเขากลับมาถึงห้องของตัวเองที่อยู่ด้านในสุดของคฤหาสน์นั้นได้ปีนกลับขึ้นไปนอนบนเตียงของตัวเองก่อนที่เขาจะหันกลับไปหาไดเอน่าและส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าให้เธอออกไปจากห้องนี้ก่อนเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่มีพวกนักวิจัยมาติดต่อขอพบท่านปู่ทวดของเธอ
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวหนูจะไปรออยู่ด้านนอกละกันนะคะ”
“ไม่ต้อง…หนูกลับไปพักที่ห้องเถอะไดเอน่า…”
“รับทราบค่ะ…”
ไดเอน่าค้อมหัวรับคำของท่านปู่ทวดอย่างว่าง่าย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังแอบเหลือบมองไปยังร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมท่าทางน่าสงสัยคนนั้นอยู่อีกสักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะยอมเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี
“….”
“ถ้าหลานสาวฉันทำอะไรที่เสียมารยาทไปบ้างฉันก็ต้องขอโทษแทนเขาด้วยละกัน…”
ปู่แม็กซ์รีบพูดขึ้นมาเมื่อเขาเห็นว่าร่างในชุดผ้าคลุมได้หันไปมองไล่หลังไดเอน่าที่เพิ่งจะเดินออกจากห้องไป แต่ถึงอย่างนั้นร่างในชุดผ้าคลุมก็ไม่ได้ส่งเสียงตอบอะไรกลับมาก่อนที่เธอจะหันกลับมามองเขาอยู่สักพักหนึ่งและเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของเขา
“แม็กซิส เซมฟิร่า…”
“ว่าไง… ไม่ต้องย้ำกันขนาดนั้นก็ได้ ถึงจะไม่มีคนเรียกฉันด้วยชื่อนั้นนานแล้วแต่ฉันก็ยังจำชื่อเต็มของตัวเองได้อยู่นั่นแหล่ะ”
“เป็นยังไงบ้าง…”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมพูดถามปู่แม็กซ์ขึ้นมาหลังจากที่เธอลากเก้าอี้ตัวเดียวกับนากามานั่งลงที่ข้างๆ เตียงและยื่นมือเล็กๆ ที่มีผิวสีขาวบริสุทธิ์ราวกับไม่เคยต้องแสงแดดมาก่อนออกมาจากชุดผ้าคลุมและกุมมือของเขาเอาไว้
“ก็เหมือนกับสมัยก่อนนั่นแหล่ะ หายใจ กินข้าว นอนหลับ… จะมีเพิ่มเติมก็แค่ได้คุยกับลูกหลานเหลนโหลนมากหน้าหลายตาล่ะมั้ง…”
“งั้นหรอ…”
ร่างเล็กๆ นั้นพูดตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนที่เธอจะหันหน้าไปมองตู้อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ที่ถูกตั้งเรียงรายเอาไว้เต็มข้างเตียงและพูดขึ้นมาต่อ
“มันยังใช้งานได้อยู่สินะ… อุปกรณ์พวกนี้น่ะ…”
“ฮะฮะ เธอเห็นฉันยังอยู่ดีแบบนี้ยังจะต้องถามขึ้นมาอีกหรอ”
“นั่นสินะ…”
ปู่แม็กหัวเราะตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูติดตลกนิดๆ ก่อนที่เขาจะหันไปมองภายใต้ผ้าคลุมที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดอยู่สักพักแล้วจึงก้มหน้าลงพร้อมกับพูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“แต่เอาจริงๆ … ฉันก็คิดว่าน่าจะได้เวลาหยุดแล้วเหมือนกันนั่นล่ะ…”
ทันทีที่ปู่แม็กซ์พูดจบเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกระตุกเล็กน้อยที่ฝ่ามือของเขาที่อีกฝ่ายกุมเอาไว้อยู่แต่ถึงอย่างนั้นปู่แม็กซ์ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาและมองออกไปยังท้องฟ้าสีครามด้านนอกหน้าต่างอีกสักพักหนึ่ง
“แล้วแคทเธอรีนเป็นยังไงบ้างล่ะ? ล่าสุดที่ฉันได้ข่าวมาก็คือว่าเธอเบื่อที่นี่แล้วก็เก็บข้าวของย้ายไปอยู่ที่กราวิทัสได้หลายปีแล้วนี่”
“เธอตายแล้ว…”
“—-!?”
คำตอบจากร่างในชุดผ้าคลุมถึงกับทำให้ปู่แม็กซ์ชะงักไปและรีบหันหน้ากลับมามองตรงเข้าไปในความมืดมิดใต้ผ้าคลุมนั้นในทันที
“ตาย…? เธอตายแล้วอย่างงั้นหรอ…?”
“เธอตายเพราะอุบัติเหตุไฟไหม้ที่กราวิทัส..”
ปึ้ง!!
“อุบัติเหตุเนี่ยนะ!? แคทเธอรีนคนนั้นไม่มีทางประมาทจนทำให้เกิดไฟไหม้แบบนั้นได้หรอก!!”
“อึ้ม… ฉันรู้…”
เมื่อได้ยินร่างเล็กๆ ตอบเขากลับมาแบบนั้นปู่แม็กซ์ก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยและมองเข้าไปในความมืดมิดภายใต้ชุดผ้าคลุมด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามจะบอกอะไรอยู่กันแน่
“หึ… งั้นเองสินะ ถ้างั้นตอนนี้เจ้าพวกนั้นมันเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน… มีคนที่คู่ควรมารับช่วงต่อเรื่องนี้ไปแล้ว…”
เมื่อปู่แม๊กซ์ได้ยินคำตอบจากเด็กสาวในชุดผ้าคลุมแล้วเขาก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหลับตาลงและพูดตอบเธอกลับไป
“ไม่ควรจะยื่นมือเข้าไปแย่งเหยื่อของคนอื่นงั้นสินะ… อื้ม… ก็สมกับเป็นเธอดีนี่…”
“….”
“ถ้างั้นตอนนี้เหลือใครบ้างล่ะ? นอกจากฉันที่ยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่แบบนี้น่ะ…”
ปู่แม็กซ์เอ่ยปากถามพร้อมลืมตากลับขึ้นมาจ้องมองร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุม ที่ดูเหมือนว่าจะกำลังหันมาทางเขาอยู่
“นอกจากนาย…ก็ไม่กี่คนแล้วล่ะ…”
“ไม่กี่คนงั้นหรอ… งั้นก็คงจะเป็นพวกที่ไต่เต้าขึ้นที่สูงได้ทันงั้นสินะ…”
ปู่แม็กซ์พูดตอบกลับไปก่อนที่เขาจะละสายตาจากร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมเพื่อมองออกไปยังส่วนหนึ่งของปราสาทรีมินัสที่โผล่มาให้เขาเห็นอยู่ที่ขอบหน้าต่างและพูดขึ้นมาเบาๆ
“สุดท้ายแล้วหลังจากที่ฉันวางมือก็คงจะต้องฝากความหวังที่เหลือเอาไว้กับเจ้าพวกนั้นจริงๆ งั้นสินะเนี่ย…”
“ไม่ไหวแล้วงั้นหรอ…?”
“ก็นะ… จะว่าแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง…”
ปู่แม็กซ์ยักไหล่กลับมาให้กับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมก่อนที่เขาจะเอื้อมไปหยิบไม้เท้าที่วางอยู่ใกล้ๆ กับหัวเตียงมาถือเอาไว้และก้มลงมองดูตราประจำตระกูลที่ถูกสลักเอาไว้บนหัวไม้เท้าอยู่สักครู่หนึ่ง
“ที่ฉันไม่ไหวกับมันแล้วน่ะมันคือวิธีการที่พวกเธอคิดขึ้นมานี่ต่างหากล่ะ…”
“……”
“แต่ก็เอาเถอะ… ฉันเองก็คิดเอาไว้สักพักแล้วล่ะว่าคงจะถึงเวลาที่จะต้องหยุดสักทีน่ะ… เพราะงั้นครั้งที่ผ่านมานั่นก็คงจะเป็นครั้งสุดแล้วล่ะ… เฮ้อ… กี่ปีกันแล้วนะที่ฉันเฝ้ารอเวลานี้น่ะ… เวลาที่จะได้เป็นอิสระ… ล่ะมั้ง…?”
“ให้ช่วยมั้ย…?”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมได้เอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะมีละอองแสงเล็กๆ จำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นมาและพุ่งเข้ามารวมตัวกันจนกลายเป็นปืนสั้นกระบอกหนึ่ง
“ขอบใจนะ แต่ว่าฉันไม่ได้รีบร้อนอะไรขนาดนั้นน่ะ…”
“งั้นหรอ…”
เด็กสาวในชุดผ้าคลุมตอบกลับมาสั้นๆ พร้อมสลายปืนในมือของตนให้มันกลายเป็นละอองแสงไปตามเดิม ในขณะที่ปู่แม็กซ์ก็ตัดสินใจที่จะหันไปพูดเรื่องอื่นที่เขาจะไม่ต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอีกแทน
“จะว่าไปแล้วคุณแม่ของพวกเธอเองก็มาด้วยหรือเปล่าน่ะ?”
เป๊าะ!
“หื้ม? เรียกแม่หรอจ๊ะ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงดีดนิ้วนั้นร่างเงาจางๆ ของคุณแม่ของพวกนูลิสก็ได้ปรากฏขึ้นมาที่ด้านหลังของร่างในชุดผ้าคลุมและเอื้อมมือออกมาเกาะไหล่ของเธอเอาไว้พร้อมกับชะเง้อเอียงคอมาด้านหน้าเพื่อมองเข้าไปด้านในผ้าคลุมที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยความมืดมิดราวกับว่าเธอสามารถมองทะลุผ่านความมืดผิดธรรมชาตินั้นไปได้
“…..”
แต่ว่าร่างในชุดผ้าคลุมก็ทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่ที่เกาะไหล่ของเธอเอาไว้โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาก่อนจะชี้นิ้วไปทางคุณปู่แม็กซ์ที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งการที่ร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคุลมทำแบบนั้นก็ทำให้ปู่แม็กซ์รู้ได้ทันทีว่าคนถูกที่เรียกว่าคุณแม่นั้นคงจะอยู่แถวๆ นี้แน่นอนเพียงแต่ว่ายังไม่ปรากฏตัวให้เขาเห็นเท่านั้นเอง
“อ่ะ จริงด้วย ถ้าทำแบบนี้พวกเขาจะมองไม่เห็นแม่นี่เนอะ”
ร่างเงาของคุณแม่พูดขึ้นมาพร้อมกับป้องปากเหมือนกับว่าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ก่อนที่เธอจะนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากทักทายปู่แม็กซ์ขึ้นมา
“สวัสดีจ้ะแม๊กซิส~ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”
“สวัสดีครับ… ถึงผมจะแก่ไปเยอะแล้วก็เถอะแต่ว่าคุณแม่นี่ก็ยังสาวอยู่เหมือนเดิมเลยนะครับ ถึงตอนนี้ผมจะเห็นเป็นแค่ร่างจางๆ แบบนี้ก็เถอะ…”
“แหม่ เธอเองก็ยังปากหวานเหมือนตอนหนุ่มๆ เลยนะจ๊ะ~ แต่ก็นะ กาลเวลาไม่ได้ส่งผลกับพวกแม่เหมือนกับที่มันทำร้ายพวกเธอนี่เนอะ”
ปู่แม็กซ์พูดคุยกับคุณแม่ของร่างในชุดผ้าคลุมโดยไม่มีอาการตกใจเลยแม้แต่น้อยที่อีกฝ่ายปรากฏร่างขึ้นมากลางอากาศแบบนั้น ก่อนที่เขาจะเหลือบมองร่างในชุดผ้าคลุมเล็กน้อยและพูดถามถึงคนอื่นๆ ที่เขารู้จักด้วยขึ้นมา
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับ? พวกเขาตื่นกลับขึ้นมาพร้อมกับคุณแม่ด้วยหรือเปล่า?”
“เพราะเวลากับเหตุผลหลายๆ อย่างตอนนี้ก็เลยมีแค่นูลิส ฮานะ แล้วก็นิโคลที่ตื่นขึ้นมาแล้วเท่านั้นแหล่ะจ้ะ”
“งั้นหรอครับ… ฟังดูลำบากเหมือนกันนะครับนั่น…”
ปู่แม็กซ์พูดกับร่างเงาของหญิงสาวกลับไปด้วยความเห็นใจ แต่ว่าร่างเงาของคุณแม่ก็กลับยกมือขึ้นมาป้องปากหัวเราะเล็กน้อยพร้อมกับพูดเตือนเขาออกมา
“คิกคิก อย่ามาเสียเวลาสงสารพวกแม่เลยจ้ะ เพราะเดี๋ยวคนที่จะลำบากจริงๆ หลังจากนี้ก็คือพวกเธอต่างหากล่ะ จริงมั้ย…?”
“ฮะฮะ… นั่นสินะครับ”
ปู่แม็กซ์หัวเราะเล็กน้อยให้กับคำหยอกล้อของร่างเงาตรงหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปมองร่างในชุดผ้าคลุมที่นั่งมองดูทั้งสองคุยกันอยู่อย่างเงียบๆ สักพักและตัดสินใจที่จะพูดถามออกไปตรงๆ
“ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่เปลี่ยนใจใช่มั้ย…?”
“อื้ม…”
“ต่อให้มันจะทำให้พวกเราต้องมาฆ่ากันเองน่ะหรอ…?”
“….อื้ม”
ร่างในชุดผ้าคลุมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ สั้นๆ กับคำถามทั้งสองของเขาจนดูราวกับว่าไม่มีอะไรจะทำให้เป้าหมายของเธอสั่นคลอนได้ถึงแม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนรู้จักเก่าอย่างปู่แม็กซ์ก็ตาม ซึ่งนั่นก็ทำให้ร่างเงาของหญิงสาวที่ลอยตัวอยู่ใกล้ๆ กันถึงกับต้องยกมือขึ้นมาทาบแก้มของตัวเองและพูดขึ้นมาให้ปู่แม็กซ์ฟัง
“แม่เองก็พยายามจะพูดให้เด็กคนนี้เปลี่ยนใจมาหลายรอบแล้วเหมือนกันนั่นแหล่ะจ้ะ…”
“…..”
“ผมเข้าใจครับ… เพราะว่าคงจะไม่มีใครให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นได้หรอกครับ…”
“เรื่องนั้นแม่เองก็ไม่เถียงหรอก…”
ร่างเงาของหญิงสาวพูดขึ้นมาพลางหันกลับไปมองร่างในชุดผ้าคลุมที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งปู่แม็กซ์นั้นก็หันกลับไปมองร่างในชุดผ้าคลุมนั้นเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พยายามที่จะพูดให้ร่างตรงหน้าเปลี่ยนใจเลยแม้แต่น้อย
“แต่แบบนี้ก็หมายความว่าเธอมาที่นี่ก็เพื่อแจ้งผลคำตัดสินให้กับคนที่ยังเหลือรอดอยู่งั้นสินะ… แล้วหลังจากนี้เธอคิดจะไปพบกับเขาคนนั้นด้วยหรือเปล่า…?”
“อื้ม… ถ้าเขายังอยู่ข้างในนั้นน่ะนะ…”
“ก็ต้องไปอยู่แล้วล่ะจ้ะ เพราะว่ามันเป็นหนึ่งในข้อตกลงของพวกเราใช่มั้ยล่ะ?”
“งั้นเองสินะครับ…”
ปู่แม็กซ์พูดตอบทั้งสองคนกลับไปก่อนที่เขาจะหันออกไปทางหน้าต่างอีกครั้งหนึ่งเพื่อมองไปยังเสี้ยวหนึ่งของวังหลวงที่โผล่พ้นขอบหน้าต่างมาเล็กน้อยและตัดสินใจที่จะพูดเตือนออกมาตรงๆ
“ถ้าเธอคิดจะเข้าไปข้างในวังหลวงแบบนั้นฉันว่าเธออย่าไปน่าจะดีกว่านะ”
“….?”
“ทำไมหรอจ๊ะแม๊กซ์ซิสคุง?”
ร่างเงาของหญิงสาวได้เอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ในขณะที่ร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมนั้นยังคงนั่งอยู่นิ่งๆ ตามเดิมแต่ถึงแบบนั้นปู่แม็กซ์ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความอยากรู้อยากเห็นที่แผ่ออกมาจากสายตาที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ผ้าคลุมผืนนั้น
“ถึงผมจะเหนื่อยจนอยากจะวางมือจากเรื่องนี้แล้วก็เถอะ แต่ว่ามันก็ยังมีคนที่ยึดติดกับเรื่องนี้อยู่แบบไม่มีวันที่จะยอมปล่อยวางมันอยู่เหมือนกันน่ะครับ… เพราะงั้นต่อให้พวกคุณแม่จะไปพบกับพวกเขามันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่หรอกครับ แถมจะยังทำให้เรื่องมันแย่ลงซะเปล่าๆ อีกต่างหาก…”
“อื้ม… แล้วหนูจะเอายังไงดีล่ะ? ถ้าหนูคิดอยากจะเข้าไปหาพวกเขาข้างในนั้นดูจริงๆ แม่ก็ไม่คิดจะห้ามหรอกเนอะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นร่างเงาของหญิงสาวก็ได้หันไปมองร่างในชุดผ้าคลุมและเอ่ยปากถามขึ้นมา ซึ่งเด็กสาวในชุดผ้าคลุมก็นิ่งเงียบไปสักพักแล้วจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยตามแบบของเธอ
“ยกเลิกแผนที่ปราสาท…”
“โอเคจ้ะ ถ้างั้นเดี๋ยวแม่จะแจ้งนูลิสให้ว่าภารกิจถูกยกเลิกแล้วนะจ๊ะ”
ร่างเงาของหญิงสาวได้พูดตอบร่างในชุดผ้าคลุมไปก่อนที่จะนิ่งเงียบไปสักพัก ซึ่งปู่แม็กซ์นั้นก็ค่อนข้างจะโล่งใจขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าตัวเองได้ระงับเหตุการณ์นองเลือดที่ปราสาทรีมินัสได้สำเร็จก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เพราะเขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าถ้าร่างในชุดผ้าคลุมต้องการที่จะเข้าไปหาคนรู้จักของเธอที่อยู่ด้านในปราสาทจริงๆ ล่ะก็ เธอก็คงจะเดินดุ่ยๆ เข้าไปและฟันพวกอัศวินที่เข้ามาขวางทางทิ้งไปทีละคนๆ อย่างแน่นอน
“ขอบคุณนะที่ยังยอมฟังกันบ้างน่ะ…”
“…..”
ทันทีที่ปู่แม็กซ์พูดคำขอบคุณออกมานั้นร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมก็ได้หันหน้าหนีเขาไปอีกทางหนึ่งทันที ในขณะที่ร่างเงาของหญิงสาวนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดตอบออกมาให้แทน
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอกจ้ะ เพราะว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน แต่หนูน้อยแม็กซิสก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อลูกๆ ของแม่อยู่ดีนั่นแหล่ะ”
“ต่อให้หลังจากนี้ผมจะเลือกเดินคนละทางกันจนจะต้องเป็นศัตรูกับพวกคุณแม่น่ะหรอครับ…?”
“อื้ม… ใช่แล้วล่ะจ้ะ”
ร่างเงาของหญิงสาวพูดตอบกลับมาอย่างมั่นใจและยกมือขึ้นไปลูบหัวร่างในชุดผ้าคลุมที่ยังคงหันหน้าหนีไปทางอื่นอยู่ก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีข้อความอะไรบางอย่างถูกส่งตรงมายังเธอ
“รับทราบจ้ะ เดี๋ยวแม่จะถามแม็กซิสเขาให้เองก็ละกันเนอะนูลิส”
“นูลิสฝากอะไรมาถามผมหรอครับ?”
“พอดีว่าก่อนหน้านี้เมื่อสักประมาณสองอาทิตย์ก่อนเห็นว่ามีข้อมูลว่ามีดาวตกหรือว่าอะไรบางอย่างพุ่งฝ่าลงไปที่พื้นที่แถวๆ ฝั่งตะวันตกน่ะจ้ะ เธอพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างมั้ยจ๊ะ?”
“ดาวตกที่ทางฝั่งตะวันตกงั้นหรอครับ…?”
ปู่แม็กซ์ที่ได้ยินคำว่าดาวตกนั้นได้ก้มหน้าลงไปคิดอยู่สักพัก ก่อนที่เขาจะนึกขึ้นมาได้ว่าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอะไรทำนองนั้นมาอยู่บ้างเช่นเดียวกัน
“ถ้าเรื่องดาวตกล่ะก็ผมพอจะได้ยินมาอยู่บ้างนะครับแต่ว่าผมก็ไม่มีข้อมูลอะไรนอกเหนือจากที่ว่ามีดาวตกร่วงลงมาที่แถวๆ นั้นจริงๆ … คำตอบของผมคงจะไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่สินะครับเนี่ย…”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พอดีว่านูลิสเขาบินผ่านจุดนั้นแล้วเกิดนึกขึ้นมาได้ก็เลยฝากแม่มาลองถามดูน่ะ”
“นูลิสกลับไปที่นั่นมางั้นหรอครับ?”
“จ้ะ ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะไปจัดการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสียหายจากภารกิจที่แล้วมาน่ะ แต่ดูเหมือนตอนนี้น่าจะใกล้มาถึงเมืองแล้วล่ะ… ตายจริง… เครื่องนี่มันมีปัญหาอยู่นี่นา เดี๋ยวแม่จัดการให้เองละกันนะจ๊ะ”
ร่างเงาของหญิงสาวพูดขึ้นมาด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะลอยออกห่างจากเด็กสาวในชุดผ้าคลุมและยื่นมือทะลุเข้าไปภายในส่วนที่เป็นกระจกสีดำของตู้อุปกรณ์ทางการแพทย์ชิ้นหนึ่งจนทำให้ตัวกระจกนั้นเรืองแสงออกมาเล็กน้อยและส่งเสียงอะไรบางอย่างออกมา
“แล้วหลังจากนี้แม็กซิสคุงคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
“ผมหรอครับ?”
ปู่แม็กซ์ที่ถูกเอ่ยปากถามขึ้นมานั้นได้ละสายตาออกจากตู้อุปกรณ์ทางการแพทย์ของเขาที่กำลังถูกอีกฝ่ายทำอะไรบางอย่างกับมันอยู่และพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ซึ่งร่างเงาของหญิงสาวนั้นก็ได้พูดต่อขึ้นมาโดยไม่ได้ละสายตาออกจากตู้อุปกรณ์ตรงหน้าราวกับว่าเธอกำลังตั้งสมาธิกับมันอยู่
“ก็เธอบอกว่าจะเลิกต่ออายุแล้วใช่มั้ยล่ะ? แล้วหลังจากนี้เธอคิดจะทำยังไงต่อล่ะ? ถ้าเธอยังไม่ได้วางแผนอะไรเอาไว้สนใจจะไปกับพวกแม่มั้ย?”
“ไปกับพวกคุณแม่งั้นหรอครับ…”
“…..”
คำถามของร่างเงาคุณแม่นั้นถึงกับทำให้ร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมต้องหันกลับมามองทั้งสองคนในทันที ในขณะที่ร่างเงาของหญิงสาวก็ได้พยายามพูดอธิบายขึ้นมาถึงสาเหตุที่ทำให้เธอต้องถามคำถามนั้นกับเขา
“ที่แม่ถามขึ้นมานี่ก็เพราะว่าเรื่องทั้งหมดมันอาจจะเกิดขึ้นภายในเร็ววันนี้แล้วก็ได้… ถ้าหากว่าแม็กซิสคุงคิดจะวางมือจริงๆ แล้วอยากจะอยู่อย่างสงบจนกว่าทุกอย่างจะจบลงล่ะก็แม่คิดว่าแม่ก็คงจะพอหาทางตอบสนองความต้องการนั้นให้เธอได้นะจ้ะ”
“อื้ม…”
ปู่แม็กซ์ที่ได้ยินคำเชิญจากร่างเงาของคนที่เขาเรียกว่าคุณแม่นั้นได้เผยท่าทีลังเลออกมาอย่างเห็นได้ชัดและก้มลงไปมองดูไม้เท้าในมือที่มีตราประจำตระกูลของตนสลักอยู่ก่อนจะนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ ซึ่งเด็กสาวในชุดผ้าคลุมที่เห็นแบบนั้นก็ได้รีบพูดขึ้นมาในทันที
“ถ้าเกิดว่าเป็นนายล่ะก็ฉั–”
“ผมขอปฏิเสธ…”
ในขณะที่เด็กสาวในชุดผ้าคลุมกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมานั้นปู่แม็กซ์ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาและมองตรงไปยังร่างเงาของหญิงสาวพร้อมกับพูดปฏิเสธของเสนอของอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนทำให้ทั้งเด็กสาวในชุดผ้าคลุมและร่างเงาของหญิงสาวถึงกับชะงักไปและพูดถามเขากลับมา
“เพราะอะไรงั้นหรอจ๊ะ?”
“ถ้าเกิดว่าผมตัดสินใจที่จะไปกับพวกคุณแม่มันก็เท่ากับว่าผมจะต้องทอดทิ้งตระกูลของผมไปน่ะสิครับ ถ้าเกิดว่าผู้นำตระกูลแบบผมยังทำแบบนั้นแล้วจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพวกหลานๆ ได้ยังไงล่ะครับจริงมั้ย… อย่างน้อยผมก็อยากจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าคนแก่ๆ อย่างผมยังมีอะไรให้น่านับถือบ้างไม่ใช่ว่ามีดีแค่อายุเยอะน่ะครับ”
“ถึงแม้ว่านั่นอาจจะทำให้พวกเราต้องยืนอยู่คนละฝั่งกันงั้นหรอจ๊ะ?”
“…..”
ร่างเล็กๆ ภายใต้ชุดผ้าคลุมที่นิ่งเงียบไปตั้งแต่ได้ยินคำปฏิเสธของปู่แม็กซ์นั้นได้ขยับตัวอีกครั้งหนึ่งเพื่อหันใบหน้าภายใต้ชุดคลุมที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดผิดธรรมชาติมองตรงไปยังปู่แม็กซ์ ก่อนที่ความมืดมิดภายใต้ชุดผ้าคลุมของเธอจะจางหายไปเล็กน้อยเผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงดุจเลือดคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องตรงไปยังปู่แม็กซ์จนทำให้เขาเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“บังเอิญว่ามีคนสอนผมเอาไว้ว่าห้ามถอยหนีจากปัญหาตรงหน้าน่ะครับ… เพราะงั้นถ้าเกิดว่าถึงเวลาจริงๆ ก็คงจะต้องขอฝากตัวด้วยละกันนะครับ…!”
“หึ…”
“—!?”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ดังออกมาจากภายใต้ชุดผ้าคลุมนั้นถึงกับทำให้ร่างเงาของหญิงสาวต้องรีบหันกลับมามองในทันที แต่ว่าร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมนั้นก็กลับนิ่งเงียบลงไปสักพักหนึ่งและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ต่อให้จะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดอย่างนายแต่ถ้าคิดจะเข้ามาขวางฉันก็ไม่มีความสงสารให้หรอกนะ…”
“นั่นแหล่ะครับที่ผมต้องการน่ะ… เพราะผมเองก็จะพยายามหยุดพวกเธออย่างสุดความสามารถเหมือนกัน!”
“นั่นคือเส้นทางที่เธอเลือก…งั้นสินะจ๊ะ…”
ร่างเงาของคุณแม่ได้พูดพึมพำออกมาก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงและเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆ จางหายไปในอากาศโดยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีก ซึ่งเด็กสาวในชุดผ้าคลุมก็ได้หันไปมองยังจุดที่คุณแม่ของเธอเคยปรากฏร่างอยู่แล้วจึงค่อยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยเช่นเดิม
“ถ้างั้นฉันก็ไม่มีธุระอะไรที่นี่แล้วล่ะ…”
“อื้ม เดินทางปลอดภัยล่ะ”
“ฉันล่ะเกลียดมนุษย์อย่างพวกนายจริงๆ …”
ร่างในชุดผ้าคลุมได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ และลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อออกเดินไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก่อนที่เธอจะดันมันให้เปิดออกเป็นสัญญาณว่าเธอคิดจะออกไปจากห้องผ่านทางหน้าต่างบานนี้จนทำให้ปู่แม็กซ์ที่เห็นแบบนั้นได้ตัดสินใจที่จะเอ่ยคำพูดอะไรบางอย่างออกไป
“ฉันเชื่อว่าต่อให้จะเป็นแคทเธอรีนที่สนิทกับพวกเธอมากกว่าฉัน เธอคนนั้นก็จะตัดสินใจที่จะเลือกทางเดียวกันนั่นล่ะ…”
“…..”
“เฮ้อ… อย่างน้อยก็ปิดหน้าต่างให้กันสักหน่อยก็ได้นะ…”
ปู่แม็กพูดบ่นขึ้นมาเบาๆ หลังจากที่เขาสัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดผ่านเข้ามาข้างในห้องผ่านทางหน้าต่างที่ไร้ซึ่งวี่แววของเด็กสาวในชุดผ้าคลุม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เชื่อว่าเธอคนนั้นได้อยู่ฟังคำพูดของเขาจนจบก่อนที่จะจากไปอย่างแน่นอน
ซึ่งปู่แม็กก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบเอากระดิ่งอันเล็กๆ ขึ้นมาแกว่งให้เกิดเสียงดังกังวานเป็นสัญญาณบ่งบอกเหล่าสาวใช้ที่ประจำอยู่ใกล้ๆ กับห้องของเขาได้รับรู้ว่าเขาต้องการพบตัว
กริ๊ง… กริ๊ง…
“มีอะไรให้รับใช้หรอคะนายท่าน?”
“ช่วยปิดหน้าต่างให้หน่อยสิ… เสร็จแล้วเดี๋ยวช่วยไปตามไดเอน่าเขาให้มาพบฉันด้วย”
“รับทราบค่ะ”
สาวใช้คนนั้นได้ค้อมหัวรับคำสั่งและเดินไปปิดหน้าต่างให้กับเขาก่อนจะเดินออกจากห้องไป และหลังจากนั้นอีกไม่นานนักไดเอน่าก็ได้เปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“ท่านปู่ทวดคะ หนูมาตามที่เรียกแล้วค่ะ~”
“อื้ม… ไหนมานั่งใกล้ๆ ปู่หน่อยสิ…”
ไดเอน่าที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้เดินตรงเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างๆ เตียงก่อนจะหันไปมามองซ้ายมองขวาอยู่สักพักหนึ่งและเมื่อไดเอน่าไม่พบกับร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมที่เป็นผู้มาเยือนนั้นเธอก็ได้พูดถามท่านปู่ทวดของเธอขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเพราะเธอมั่นใจว่าไม่มีใครได้เดินออกมาจากห้องของท่านปู่ทวดนอกจากสาวใช้คนเมื่อสักครู่อย่างแน่นอน
“แล้วแขกคนเมื่อกี้นี้ล่ะคะ?”
“เขากลับไปแล้วล่ะ…”
“งั้นหรอคะ แล้วนี่ท่านปู่ทวดเรียกหนูมาทำไมหรอคะ?”
“อื้ม… หนูยื่นมือมาให้ปู่หน่อยสิ”
ไดเอน่าที่ได้ยินคำขอของท่านปู่ทวดนั้นได้ยื่นมือไปให้ท่านปู่ทวดแต่โดยดีถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างก็ตาม ซึ่งปู่แม็กซ์นั้นก็ได้ยื่นมือทั้งสองข้างของเขาออกมาจับฝ่ามือของไดเอน่าเอาไว้และพูดขึ้นมาเบาๆ
“เดี๋ยวปู่จะสอนวิธีการควบคุมวิซประจำตระกูลของเราให้… หนูเองก็จำมันเอาไว้แล้วเอาไปฝึกให้คล่องซะนะ…”
“ค—คะ?”
ในขณะที่ไดเอน่ากำลังมึนงงกับคำพูดของท่านปู่ทวดของเธออยู่นั้น ปู่แม็กซ์ก็ได้ใช้วิซของเขาสร้างมวลอากาศทรงกลมที่ส่องแสงสีเขียวสว่างขึ้นมาเหนือฝ่ามือของไดเอน่าก่อนที่ทันใดนั้นเองจะเกิดสายลมพัดหมุนวนไปทั่วห้องจนเกิดเสียงดังอื้ออึง
ฟู่วววววว——–
“หลังจากที่หนูฝึกใช้มันจนชำนาญแล้ว… หนูจะใช้มันทำอะไร เมื่อไหร่ หรือว่าเพื่อใครหนูก็ต้องเป็นคนที่ตัดสินใจเองแล้วล่ะ…”