ตอนที่ 54 คว่ำจอกส่งสัญญาณ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“ข้ามีนามกรว่าหวงเฟยหง บุกเข้ามาเลย!” ฉินจิ่วเกอยกขาขึ้นบนเก้าอี้ สองแขนอ้อมไปใต้หัวเข่า หลังค้อมลง ลอบทำท่าเริ่มต้นเพลงเท้าไร้เงา

“เฮอะไอ้เด็กน้อย กล้าล่วงเกินพรรคจอกประกายสิทธิ์เรา ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ” ผลักม่อไซ่ถีที่น่าขายหน้าออกด้านข้าง อาวุโสใหญ่พรรคจอกประกายสิทธิ์เหิงโหย่วเฉียน (รวยทันตา) สืบเท้าก้าวเดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ลอบโจมตีฉินจิ่วเกอด้วยสภาวะจิต

ฉินจิ่วเกอที่ผ่านดอกพลับพลึงแดงมาแล้วไม่เห็นการโจมตีเหล่านี้ในสายตา เพียงโบกมือก็สะกัดสภาวะจิตนั้นไว้ได้

“คนหนึ่งก็เกาฟู่ส่วย (หล่อเหนือคน) อีกคนหนึ่งก็เหิงโหย่วเฉียน (รวยทันตา) มิน่าเล่า พรรคจอกประกายสิทธิ์เจ้าบ้านช่องใหญ่โตกิจการรุ่งเรือง พวกเราพรรคหลิงเซียวอาศัยในหลืบมุม แน่นอนว่าไม่อาจเทียบเคียงได้ แต่พวกเราก็ไม่ใช่ลูกพลับอ่อนนุ่ม มิใช่ใครก็สามารถเข้ามาหักแขนขาคนได้!”

“บัดซบ เจ้ามันผู้ร้ายร้องจับเจ้าทุกข์!” สองผู้เสียหายร้องด่าทอ พวกมันถูกคนของพรรคหลิงเซียวทุบตีสองรอบ ยังถูกรีดค่าเสียหายอีก บากะ!

“งั้นเรอะ? พรรคหลิงเซียวเจ้ามีอันใดยอดเยี่ยมนักหรือ มีฝีมืออันใดก็งัดออกมาใช้เถอะ” เกาฟู่ส่วยไม่เห็นพรรคหลิงเซียวอยู่ในสายตาแต่แรก

มันอายุเพียงยี่สิบกว่าปีก็มาสู่ประตูพิสุทธิ์ไพศาล ชีวิตนี้ยังเป็นไปได้ว่าเข้าสู่ชั้นกลั่นดวงธาตุก็เป็นได้

พลังฝีมือเช่นนี้ พรสวรรค์ประมาณนี้ เกาฟู่ส่วยในพรรคจอกประกายสิทธิ์มิใช่ฉินจิ่วเกอตัวประกอบฉากจะเทียบเทียมได้

“ท่านทั้งสองล้อเล่นแล้ว เชิญนั่งแล้วรับชาก่อนเถอะ พวกเราพรรคหลิงเซียวยึดหลักการความสงบ ความรัก และผู้คนมาก่อน ไหนเลยจะลงมือทำร้ายคนได้ จากที่ข้าเห็น คงมีความเข้าใจผิดอันใดขึ้น”

เมื่อได้ยินฉินจิ่วเกอกล่าววาจา เหิงโหย่วเฉียนคาดคิดว่าอีกฝ่ายคงถูกตนขู่จนขวัญหาย

ใช่แล้ว ตนเองเป็นผู้เข้มแข็งชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น ข่มขู่ขวัญเด็กน้อยปราณสุริยันผู้หนึ่ง อีกฝ่ายไม่กลัวจนอุจจาระเล็ดถือว่าเป็นหมื่นวาสนาแล้ว

ที่เหนือคาดคือ พิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นนั้น ฉินจิ่วเกอเคยกำจัดทิ้งไปแล้วหนึ่งคน ชนชั้นกลั่นดวงธาตุที่เหิงโหย่วเฉียนคิดว่าสูงส่งเกินต้านทานหนักหนา อาวุโสใหญ่ของตนก็ฟาดตายไปอีกหนึ่ง แม้เป็นอาวุโสใหญ่เหมือนกัน แต่ห่างชั้นกันคนละหลุม

เพล้ง!

เหิงโหย่วเฉียนเดินมาถึงข้างโต๊ะ ยกป้านชาขึ้น เขวี้ยงลงกับพื้นอย่างแรง

ถ้วยชาตกลงพื้น พร้อมเสียงแตกดังเพล้ง ถ้วยก็แหลกเป็นเสี่ยงๆ คว่ำจอกส่งสัญญาณ ทว่าทั่วสี่ทิศแปดทางเงียบงันไร้เสียง ปราศจากเงาคนแม้เพียงครึ่งคน

“เจ้าไม่ได้วางกับดักไว้?” เหิงโหย่วเฉียนเอ่ยถาม หรือว่าจิตแห่งความละอายของฝ่ายตรงข้ามกลับมาแล้ว?

เกาฟู่ส่วยมองสำรวจไปทั่วสี่ทิศ ปราศจากเงาดาบประกายขวาน ไร้ซึ่งมีดสั้นทั้งสิบทิศ แปลกประหลาดจริง

“ผู้ใดว่าไม่มี?” ฉินจิ่วเกอถามกลับ หนึ่งเท้าเตะโต๊ะล้มไป “ยังไม่ได้ถามเจ้าเลย เพราะเหตุใดอยู่ดีๆ ขว้างถ้วยชาพรรคเราเสียหายไป?”

ทันทีที่ล้มโต๊ะ คนนับร้อยๆ กรูกันเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง ห้อมล้อมไก่งวงทั้งสี่ตัวเอาไว้แน่นหนาทั้งสี่ทิศ เตรียมโรยเครื่องเทศราดซอสทอดน้ำมัน

งานเลี้ยงหงเหมิน อา เคล็ดลับความสำเร็จในยุทธภพคือการทำซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นร้อยรอบ ฉินจิ่วเกอไหนเลยจะไม่เตรียมกองทหารรับมือสี่คนนี้

แค่คว่ำจอกไม่ถือเป็นการรับประกัน ง่ายต่อการถูกคนชิงลงมือ ดังนั้นฉินจิ่วเกอเปลี่ยนเป็นคว่ำโต๊ะ หมายถึงพลิกสถานการณ์

“เจ้า เจ้ามันชั่วช้าสารเลว!” ม่อไซ่ถีชี้ ยังใช้วิธีการด่าเช่นเดิม

ฉินจิ่วเกอเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิลำพอง ตบปลายเท้ากับพื้น “เจ้าจะทำอย่างไรกับข้า?”

“เด็กน้อยอวดดี ”อาศัยพวกมะเขือเน่าไข่ไก่เหม็นไม่กี่คน ก็คิดล้อมกักข้าไว้ เป็นไปได้หรือ?

เหิงโหย่วเฉียนโคจรพลังฝีมือของตนขึ้น ยอดคนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลเหินร่างลงมือ พลังวิญญาณกวาดกราดคิดสั่งสอนผู้คนสักหลายคน

ใครจะคาดผ่านไปครึ่งค่อนวัน คนในที่นั้นทั้งหมดไม่มีใครรู้สึกผิดปกติอันใด ยิ่งมิใช่เพราะถูกพลังอันเหนือชั้นของมันทำให้หวาดหวั่นจนขวัญบิน

เหิงโหย่วเฉียนตะลึงจนโง่งม เราผู้เฒ่าใช้พลังวิญญาณออกถึงแปดส่วน คนพวกนี้อย่างน้อยสมควรกระอักโลหิตบาดเจ็บสาหัส ไฉนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย?

ฝีมือของยอดคนพิสุทธิ์ไพศาล มิใช่สิ่งที่ปราณสุริยันจะยกอ้างมาได้ หากจะบอกว่าพรรคหลิงเซียวมียอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาลนับร้อยย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ประตูหายนะจึงจะมีคุณสมบัติเช่นนี้

ที่แท้ มีจุดไหนผิดปกติกันแน่?

เหิงโหย่วเฉียนสำรวจคนทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง ประการแรกเจ้าเด็กปากคอเราะร้ายนั่นสามารถตัดออกไปได้เลย ต่อให้ตีมันจนตายมันยังไม่ยอมเชื่อว่าวานรน้อยนี้จะเป็นยอดฝีมือ

ผู้ที่สามารถสะกดพลังวิญญาณของมันไว้อย่างง่ายดาย อีกฝ่ายย่อมต้องเป็นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง หรือขั้นปลาย อย่างน้อยต้องเป็นประมุขพรรคหลิงเซียว

สุดท้าย อาวุโสสองของพรรคหลิงเซียว ยอดคนอันดับหนึ่งที่แท้จริงก็ปรากฏในกรอบสายตาของเหิงโหย่วเฉียน

เมื่อมองเห็นอาวุโสสอง เหิงโหย่วเฉียนแตกตื่นราวพบพานเทพเซียน มันมองดูอาวุโสสอง สำแดงสีหน้าข้าลอยละล่องเหินฟ้ากลับวิมานออกมา นับเป็นวิถียอดยุทธ์อย่างแท้จริง

หนวดเครายาวขาวโพลน ริ้วรอยแห่งกาลเวลาเต็มใบหน้า รวมกับอาภรณ์ขาวห่อหุ้ม หากออกไปพยากรณ์ทำนายดวงชะตายังสามารถเรียกตนเองเป็นท่านเซียนพยากรณ์ได้

“ขอทราบนามยิ่งใหญ่ของท่านที่นับถือ?” พรรคจอกประกายสิทธิ์เจิดจ้าเฉิดฉายไร้ขอบเขต แต่ในสายตาของยอดคนที่แท้จริง ไม่ถือเป็นอันใดทั้งสิ้น

ว่าไปแล้วเรื่องภายในที่สืบทอดกันมา พรรคเศรษฐีใหม่ไหนเลยจะเทียบ พรรคจอกประกายสิทธิ์ย่อมไม่ลึกล้ำเท่าสำนักที่หยั่งรากฝังลึกเช่นประตูหายนะ

“เราผู้เฒ่าคืออาวุโสสองพรรคหลิงเซียว ท่านที่นับถือ หากคิดประลองก็ให้ประลองกับศิษย์เอกของพรรคเราเถอะ ไม่จำเป็นต้องลอบลงไม้ลงมือต่อผู้เยาว์รุ่นหลังกระมัง?”

อาวุโสสองวาจาเปี่ยมบารมี หากมิใช่ยินดีเปิดเผยพลังที่แท้จริง ชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลก็แค่ลมผายหนึ่งเท่านั้น

เหิงโหย่วเฉียนวาบประกายละอายใจขึ้น มันอายุมากกว่าบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้หลายสิบปี ให้เป็นปู่ของพวกมันยังไม่นับเป็นปัญหาใด

ท่านปู่ตีหลานตนเอง สมควรเรียกว่าหลักการฟ้าดินกระมัง?

หากอาวุโสสองยังมีใจเมตตาหลงเหลือ คงผงกศีรษะค้อมเอว เอ่ยด้วยความเคารพ ท่านปู่ต้องการตีเพิ่มอีกสักคนสองคนหรือไม่

เหิงโหย่วเฉียนไม่กล้ากล่าวเช่นนั้น อาวุโสสองเพียงยืนหยัดเฉยเมยอยู่ที่เดิมก็สร้างแรงกดดันอันกร้าวแกร่งอย่างมหาศาล ถึงขั้นเหนือล้ำกว่าประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์อีก

ม่อไซ่ถีชัดเจนว่าไม่อาจสัมผัสถึงรัศมียอดคนของอาวุโสสองได้ เรื่องต่อยหมัดเตะเท้าเป็นผู้เยาว์มีเปรียบ ตาแก่นี่อายุปูนนี้ได้แต่กวาดลานวัดแล้ว คงมิใช่ยอดฝีมืออันใด “ตาแก่ ไม่เห็นหรือว่าศิษย์ของพวกเจ้าเข้ามารุมพวกเราก่อนน่ะ?”

คิ้วยาวของอาวุโสสองกระตุกคราหนึ่ง ช่างเถอะ ตนเองเป็นถึงชนชั้นกลั่นดวงธาตุ ไม่ต้องถึงรอบมันจัดการเด็กน้อยเซ่อซ่าชั้นปราณสุริยันด้วยตนเอง ยังคงทิ้งไว้ให้ฉินจิ่วเกอเก็บกวาดเถอะ

“พวกมันไม่ได้ลงมือ” อาวุโสสองกล่าวอย่างไม่ยินดี

เหิงโหย่วเฉียนถลึงตาปรามม่อไซ่ถีคราหนึ่ง ดวงตาเจ้าถูกกระทืบไปแล้วหรือไร ถึงมองไม่เห็นว่าขนาดข้ายังต้องหดหัว?

ที่จริงไม่อาจโทษว่าม่อไซ่ถีได้ มันถูกเบื้องสูงเบื้องต่ำของพรรคหลิงเซียวตีจนตาบวมเป่งเหลือเพียงเส้นขีดเล็กๆ ให้มองได้ แน่นอนว่าต้องมองไม่เห็นท่วงท่าข้ายินยอมเหินลอยละล่องกลับสู่ฟ้าของอาวุโสสองได้

“แล้วพวกมันรุมล้อมพวกเราทำอะไร?” ม่อไซ่ถีซักไซ้ เจ้าอ้วนน่าตายยังถือคราดเก้าซี่ หรือจะบอกว่าพวกมันคิดช่วยพรรคจอกประกายสิทธิ์ปลูกข้าวโพดกัน?

อาวุโสสองมองดูฉินจิ่วเกอ ฉินจิ่วเกอต้องกระแอมกระไอออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติสองคำ

ศิษย์ทั้งหลายเก็บมีดพร้ากระบองกระบี่ในมือลงไปแล้วควักเอาป้ายต้อนรับที่ถูกเตรียมมาเป็นอย่างดีออกมาแทน

ยินดีต้อนรับพรรคจอกประกายสิทธิ์มาเยือนพรรคหลิงเซียว การมาของพรรคจอกประกายสิทธิ์แต่งแต้มสีสัน พรรคหลิงเซียวแห่งแผ่นดินใหญ่ร่วมกันบลาบลาบลา ป้ายข้อความถูกกางออก บรรยากาศที่พร้อมจรดกระบี่เข้าหากันเมื่อครู่ล้วนสลายหาย ทุกคนต่างแย้มยิ้มยินดี

“ทุกท่าน พวกเราพรรคหลิงเซียวถือคุณธรรมน้ำมิตร นี่เป็นพิธีแสดงความนับถือ ไหนเลยจะเป็นการลงมือทำร้ายคน เมื่อได้ยินว่าพรรคจอกประกายสิทธิ์คิดมาเยี่ยมเยือน พวกเราจึงเตรียมการต้อนรับเป็นการเฉพาะ”

ฉินจิ่วเกอทางหนึ่งกล่าววาจา อีกทางก็ชี้นิ้วไปยังเจ้าอ้วนน่าตาย “นี่คือวัตถุมงคลของพรรคเรา เรียกว่าก้อนเนื้อกลม แสดงถึงความสุขสงบอุดมสมบูรณ์”

“เลิกเพ้อเจ้อไร้สาระได้แล้ว”

เกาฟู่ส่วยตัดบทวาจาเรื่อยเจื้อยไร้แก่นสารของฉินจิ่วเกอ สายตาไม่เป็นมิตร “พรรคจอกประกายสิทธิ์เราไหนเลยจะกล้าชี้แนะพรรคหลิงเซียวท่าน ทว่าผู้น้อยคือศิษย์พี่ใหญ่พรรคจอกประกายสิทธิ์ เมื่อมีคนข่มเหงรังแกศิษย์พรรคเรา มิอาจไม่ขอแลกกระบวนท่ากับท่านที่นับถือสักครา”

อาวุโสทุบตีศิษย์รุ่นเยาว์ไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ประมือกับศิษย์พี่ใหญ่น่าจะได้กระมัง

ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะ “ข้าเป็นแค่ตัวแทนศิษย์พี่ใหญ่ ผู้ที่ทุบตีทำร้ายม่อไซ่ถีสองพี่น้อง จึงจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ตัวจริงของพรรคเรา”

เกาฟู่ส่วยกุมศีรษะ ความสัมพันธ์อันซับซ้อนนัก

“ดูสิ เจ้าเองยังพูดเองเลยว่าทำร้ายทุบตีพวกเรา !” ม่อไซ่ถีม่อไซ่เจี่ยงชี้นิ้วใส่ฉินจิ่วเกอ ดูว่ามันจะแก้ตัวอย่างไร

ฉินจิ่วเกอเก็บสีหน้า กล่าวเสริมว่า “นั่นไม่ใช่ทุบตี แต่เป็นการสั่งสอนด้วยความรัก”

“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว” เกาฟู่ส่วยคำราม “วันนี้ ข้าเกาฟู่ส่วยศิษย์พี่ใหญ่จอกประกายสิทธิ์ มาคารวะพรรคหลิงเซียว ทั้งพรรคหลิงเซียว มีผู้ใดกล้าประมือหรือไม่”

ขุนเขาโดยรอบหลายลูก ล้วนอยู่ในอาณาเขตพรรคหลิงเซียว

อาวุโสสองสายตาส่อแววอันตราย ที่เรียกว่าคารวะ แท้ที่จริงคือการท้าสู้ อาวุโสสองที่รักหน้ายิ่งชีพไหนเลยจะทานทนได้

“ได้ พรรคหลิงเซียวเราขอรับไว้” ยังไงซะตนเองก็ไม่ใช่คนลงมือ อาวุโสสองรับคำท้าโดยปราศจากแรงกดดัน

ฉินจิ่วเกอร้อนใจแล้ว ประเดี๋ยวก่อน ตาแก่ช้าก่อน คิดตกปากรับคำท้าต้องดูข้าศิษย์พี่ใหญ่ก่อน

“ประลองสามารถประลอง ดูพรรคจอกประกายสิทธิ์ท่าน ไม่ว่าด้านใดล้วนเฉิดฉาย โดดเด่นเป็นสง่ายิ่ง”

ฉินจิ่วเกอเลือกใช้คำอย่างพิถีพิถัน ยอมยกย่องอีกฝ่ายทั้งที่ใจไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่เกาฟู่ส่วยมีหรือจะหลงกล “เลิกพล่ามไร้สาระสักที อย่าคิดว่าพูดจาหวานหูเข้าหน่อยแล้วจะจบเรื่อง หากเจ้าไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายให้กับพรรคจอกประกายสิทธิ์เราเป็นจำนวนสามพันศิลาวิญญาณ ก็ส่งตัวคนร้ายที่ลงมือทำร้ายศิษย์น้องข้ามา หรือไม่ก็ออกมาประลองยุทธ์กับข้า!”

“ส่งตัวคนร้ายออกมา ไม่งั้นไม่เลิกรา!” ม่อไจ่ถีม่อไซ่ถีม่อไซ่เจี่ยงสองพี่น้องชูกำปั้นโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นยินดี

พรรคหลิงเซียวสีหน้าไม่สู้ดี ศิษย์พี่รองที่มีฝีมือร้ายกาจที่สุดยามนี้ก็ออกไปพเนจรนอกพรรค อาศัยเพียงศิษย์พี่ใหญ่จะไหวหรือ?

“ประลองนั้นย่อมได้ เดิมพันด้วยเงินสามพันศิลาวิญญาณ” ฉินจิ่วเกอลูบแหวนมิติบนมือตัวเอง ในเมื่อมีไก่มาถวายตัวถึงหน้าประตู มิอาจไม่จับมากินให้พุงกาง

“ตกลง ประลองก็ประลอง!” ในเมื่อชื่อเกาฟู่ส่วย แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่ปรมาจารย์จริงๆ แต่ด้านข้างก็ยังมีเหิงโหย่วเฉียนอยู่

“อะไร?” เหิงโหย่วเฉียนตะลึงจนโง่งม รายได้ทั้งปีของพรรคจอกประกายสิทธิ์ ยังแค่ไม่กี่พันศิลาวิญญาณเท่านั้น

“หา?” ฉินจิ่วเกอลงใจแสดงท่าทีหมิ่นหยาม “ที่แท้เป็นปีศาจยาจก สามพันศิลาวิญญาณล้วนไม่อาจควักกระเป๋าได้”

“เจ้า แล้วเจ้าเองเอาออกมาได้หรือ?” เหิงโหย่วเฉียนถามกลับ มันโมโหจนแทบระเบิดแล้ว เงินตั้งสามพัน พรรคจอกประกายสิทธิ์กิจการใหญ่โตบ้านช่องโอ่โถง ทำอันใดล้วนต้องใช้เงินทอง ไม่อาจนำออกมาใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย

“เฮอะ” อาวุโสสองหน้าใหญ่ ศิลาวิญญาณกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้นชิ้นแล้วชิ้นเล่า พอดีสามพันศิลาวิญญาณ

“ได้ ประลอง!” เหิงโหย่วเฉียนเข่นเขี้ยว วันนี้มาเพื่อถลกหนังหน้าของพรรคหลิงเซียว หากแสดงความอ่อนด้อยให้เห็น มิใช่ขายหน้าต่อหน้ายอดยุทธ์หรอกหรือ

ยิ่งเมื่อมองดูจากชื่อแล้ว ฝ่ายเราเป็นเกาฟู่ส่วย (ปรมาจารย์ชั้นสูง) ปรมาจารย์จะพ่ายให้คนขายเพลง (ฉินจิ่วเกอ, จิ่วเกอ แปลว่าเก้าเพลง) ได้ยังไง

ศิษย์พรรคหลิงเซียวทั้งหลายเห็นเดิมพันมูลค่า ต่างต้องพากันฉีกยิ้มชั่วร้าย หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ฝ่ายตนรับประกันว่าชนะใส

“เข้ามา!” เกาฟู่ส่วยยืนอหังการอยู่กลางห้อง สองขาแยกออกเป็นท่าหยินหยาง รัศมีพลังไม่ต่ำทราม

ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะ เอ่ยกลั่วหัวเราะ “พวกเราสองต่างเป็นศิษย์พี่ใหญ่ หากลงมือลงไม้ค่อนข้างไม่เหมาะสม ทั้งในชีวิตของข้าตัดสินใจบำเพ็ญเพียร ล้วนเพื่อหยั่งรู้ขัดเกลาสังขารให้แข็งแรงสมบูรณ์ จรรโลงสัจจาแลมารยาท รักษายุติธรรมและเกียรติยศ ขาดไปหนึ่งเดียวล้วนไม่ได้ มิสู้พวกเราคัดเลือกศิษย์ออกมาหนึ่งคน ให้ม่อไซ่ถีและม่อไซ่เจี่ยงได้เทียบฝีมือดู?”

คนทั้งหมดตะลึงจนโง่งม ที่แท้การบำเพ็ญเพียรมีวัตถุประสงค์อันดีงาม ผลลัพธ์เลิศลอยถึงเพียงนี้

เมื่อหวนคิดถึงตนเอง นอกจากมุมานะบำเพ็ญเพียรอย่างทื่อด้าน คล้ายไม่เคยสนใจผลรับอื่นใด

ยามนั้น ศิษย์ทั้งหลายแทบหมอบราบคาบแก้วต่อหน้าศิษย์พี่ใหญ่แล้ว แม้แต่อาวุโสสองยังต้องชื่นชม คิดประคองส่งมอบแหวนมิติของตนให้ด้วยความเลื่อมใส เชื้อเชิญฉินจิ่วเกอขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขพรรคหลิงเซียว

ภาพเหตุการณ์ที่เบื้องหน้า ช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ฉินจิ่วเกอเช็ดน้ำลาย รักษาท่าทีต่อไป

เกาฟู่ส่วยทบทวน ม่อไซ่ถีม่อไซ่เจี่ยงทั้งสอง นับว่าเป็นยอดฝีมือชั้นปราณสุริยันระดับกลางที่ค่อนข้างเข้มแข็ง ส่วนพรรคหลิงเซียวนี้ ศิษย์ทั้งหลายขาดๆเกินๆ อย่างมากสามารถงอกเงยปราณสุริยันมาได้อีกหนึ่งคนในยอดยุทธ์รุ่นเยาว์เท่านั้น

มันส่งสัญญาณสื่อสารกับเหิงโหย่วเฉียนโดยไร้เสียง เกาฟู่ส่วยแยกเขี้ยว “ดี เอาแบบนั้นก็ได้ ทว่าพวกเจ้าไม่อาจคัดเลือกคนที่อายุเกินสามสิบได้”

“นั่นย่อมแน่นอน เจ้าอ้วนออกมา!” ฉินจิ่วเกอจิโห่ร้องก้องประกาศ ปรากฏลูกชิ้นเนื้อก้อนหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ออกมา ดังขุนเขาหมื่นจวินถล่มลงศีรษะ ภูติเทพไม่กล้าต้านรับ

“ศิษย์พี่ใหญ่!” ไขมันบนตัวเจ้าอ้วนน่าตายกองซ้อนเก้าชั้น ประดุจดังชั้นเจดีย์ที่ทับซ้อน

เกาฟู่ส่วยพอเห็นเจ้าอ้วนก็ยิ่งวางใจ เพียงหลอมวิญญาณขั้นเก้าเท่านั้น พี่น้องแซ่ม่อแค่ขยับนิ้วจิ้มทีเดียวก็เรียบร้อย

“ไปเชิญตัวศิษย์น้องเล็กมา เจ้าและนางรวมเป็นทีมเดียวกัน” ฉินจิ่วเกอออกคำสั่ง ศิษย์ทั้งหลายในที่นั้นต่างบังเกิดความงุนงง

รุ่นเยาว์ของพรรคหลิงเซียว มีเพียงฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินที่ทะลวงด่านปราณสุริยันแล้ว หากศิษย์พี่ใหญ่ไม่ออกหน้าลงมือด้วยตัวเอง เพียงคัดเลือกศิษย์สองคนที่หลอมวิญญาณขั้นเก้า จะเอาชนะปราณสุริยันได้อย่างไร?