บทที่ 63 ที่อื่นยังดีอยู่เลย

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 63 ที่อื่นยังดีอยู่เลย
หลิวหยิ่งมองดูพระชายาที่บางครั้งก็ดูฉลาด บางครั้งก็ดูโง่เขลาคนนี้ด้วยความจนใจ กลับไม่รู้สักนิดเลยว่าตนเองทำให้ท่านนางรู้สึกโกรธเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลิวหยิ่งทำได้เพียงพูดเตือนขึ้นเป็นนัยว่า : “พระชายา นายท่านยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านเอาตั๋วเงินของนายท่านไปใช้จ่ายมือเติบ แต่นายท่านกลับไม่ได้เห็นแม้เพียงฟางสักเส้น ท่านยังไม่รีบปลอบใจอีกหรือ อย่าทำตัวโ.เขลาเสียล่ะ ไม่อย่างนั้นเขาอาจต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “ยังไม่กินมื้อเย็น พอดีเลย ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย”
หลิวหยิ่งมองดูเฟิ่งชิงหัวเดินเข้าประตูไป แววตาแฝงไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ
เฟิ่งชิงหัวค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องนอนของจ้านเป่ยเซียว แววตาพิจารณามองสิ่งที่อยู่รอบข้างอย่างสนอกสนใจ จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้ามาในห้องขอจ้านเป่ยเซียว กลางดึกเมื่อคืนที่ถูกจับตัวเข้ามาถือว่าไม่นับ
ดูการตกแต่งจืดชืดเหมือนกับตัวเขาไม่มีผิด สิ่งของที่อยู่ข้างในล้วนเป็นสีขาวดำและเทา บนผนังแขวนภาพวาดเอาไว้สองภาพ ลายมือชื่อที่ลงเอาไว้ก็ยังเป็นชื่อของตัวเขาเอง นับว่าไม่ได้เป็นคนหยิ่งผยองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังหลงตัวเองอีกด้วย
ด้านหลังฉากกั้นรูปทิวทัศน์มีเตียงวางอยู่หนึ่งหลัง สายตาอันแหลมคมของเฟิ่งชิงหัวยังสังเกตเห็นเข้าอีกว่า แม้กระทั่งเตียงที่ผู้ชายคนนั้นนอนก็เป็นสีขาวดำ จึงอดขำไม่ได้ คนผู้นี้สมเป็นชายแท้จริง ๆ เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้ายืนทำลับ ๆ ล่อ ๆ อะไรอยู่ที่ประตู ?” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากทางด้านข้างอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เฟิ่งชิงหัวถูกทำให้ตกใจ จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า จ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ด้านหลังประตูอย่างเงียบ ๆ มาตลอด เมื่อครู่นางสนใจเพียงแค่ภาพที่อยู่ด้านหน้า จนลืมคำนึงถึงมุมอับตรงประตูทางเข้า
“ข้าทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ที่ไหนกัน ท่านต่างหากที่ชอบทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ที่ดี ๆ ไม่อยู่ กลับจำเพาะต้องไปยืนอยู่ตรงนั้น” เฟิ่งชิงหัวหันไปกลอกตาใส่เขา แล้วเดินออกจากห้องไป จากนั้นจึงวางกล่องสองสามใบที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ
“หึ อย่าหาว่าข้าไม่ดูแลท่านล่ะ ของเหล่านี้เป็นของที่ข้าเลือกให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะ”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “ข้าให้ตั๋วเงินกับเจ้าจนซื้อของมาได้หนึ่งคันรถม้า แต่เจ้ากลับให้ของไร้สาระแค่สองสามชิ้นนี้กับข้าอย่างนั้นหรือ ?”
“ของไร้สาระที่ไหนกัน ? นี่คือของที่ข้าตั้งใจเตรียมโดยเฉพาะเลยนะ” เฟิ่งชิงหัวชักไม่สบอารมณ์ กล่องที่แต่เดิมถูกห่อไว้อย่างประณีต แต่กลับถูกมือใหญ่ของเขาปักจนกระจัดกระจาย
หยิบหน้ากากดินเผาออกมาจากด้านนสองชิ้น ชิ้นหนึ่งใช้ปกปิดใบหน้าส่วนบน ส่วนอีกชิ้นหนึ่งใช้ปกปิดใบหน้าส่วนล่าง มีการวาดลวดลายดอกบัวสีน้ำเงินเอาไว้ด้านบนเหมือนกันทั้งสองชิ้น
“ท่านดูสิ ท่านเอาแต่สวมหน้ากากสีเงินนี้อยู่ทั้งวัน จริงอยู่ที่อาจจะดูหล่อเหลา แต่ต้องสวมใส่อยู่ทุกวันไม่รู้จักเบื่อบ้างหรืออย่างไร ดังนั้นเมื่อข้าเห็นหน้ากากคู่นี้ก็นึกถึงท่านทันที หากท่านสวมใส่แล้วจะต้องดูดีมากอย่างแน่นอน”
มือของจ้านเป่ยเซียววางอยู่บนพนักวางแขน ปลายนิ้วของเขาขยับ และหันมองเฟิ่งชิงหัวด้วยแววตาที่ซับซ้อน
ขณะที่หญิงสาวพูดก็วางหน้ากากลงข้าง ๆ จากนั้นจึงหยิบถุงมือสีขาวคู่หนึ่งขึ้นมา : “นี่ได้ยินมาว่าทอมาจากไหมฟ้า ข้าพบว่าท่านเป็นคนรักสะอาดอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะสัมผัสเข้ากับสิ่งใดก็ต้องล้างมือ หากท่านสวมนี่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องล้างมืออีก ซักมันให้สะอาดก็สามารถใช้ได้อีกครั้งแล้ว”
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นแค่กล่องธรรมดา ๆ แต่หลังจากได้ยินคำอธิบายของทีละชิ้น ๆ จากผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก็ทำให้จ้านเป่ยเซียวมองแล้วรู้สึกสบายตาขึ้นไม่น้อย อารมณ์ที่แต่เดิมรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย มาบัดนี้กลับสบายใจขึ้นอย่างมาก
“ตอนนี้ท่านคงเชื่อแล้วนะว่าข้าไม่ได้ปฏิบัติต่อท่านแบบขอไปที ? ท่านให้เงินข้าหนึ่งพันตำลึง ข้าเองก็ไม่ใช่คนตระหนี่ เรื่องการตอบแทนซึ่งกันและกันข้าเองก็พอเข้าใจอยู่บ้าง” เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นกอดอกแล้วพูดขึ้น
จ้านเป่ยเซียวหันหน้าไปมอง แล้วพูดขึ้นอย่างไม่แยแส : “นับว่าเจ้าฉลาด”
เฟิ่งชิงหัวหรี่ตาแล้วพูดว่า : “ดังนั้น ตอนนี้ท่านก็ขอโทษข้าได้แล้ว”
“อะไรนะ ?” จ้านเป่ยเซียวหันกลับไปมองเฟิ่งชิงหัวด้วยความประหลาดใจ
“ขอ……โทษ !” อาจารย์ของพวกท่านไม่ได้สอนหรืออย่างไรว่า หากเข้าใจผู้อื่นผิดก็ต้องขอโทษ ? เมื่อครู่ท่านเข้าใจข้าผิด ไม่คิดว่าควรขอโทษหน่อยหรือ ?”
“ล้อเล่นน่า ! ข้าไม่เคยเรียนคำสองพยางค์นี้มาก่อน” จ้านเป่ยเซียวพูดเหยียดหยาม เขาเป็นคนที่ทั้งฉลาดและมีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ผู้คนที่ได้ยินต่างต้องกล่าวสรรเสริญอย่างไม่รู้จบ มีเพียงแค่คนอื่นเท่านั้นที่จะต้องเอ่ยขอโทษกับเขา การที่ผู้หญิงคนนี้ต้องการให้เขาขอโทษ ถือเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อสิ้นดี
เฟิ่งชิงหัวหรี่ตามองเขา : “ท่านจะไม่ขอโทษจริง ๆ หรือ ?”
“ฝันไปเถอะ !”
“ดีมาก !” เฟิ่งชิงหัวพูดพลางหัวเราะร่า จากนั้นจึงสะบัดเข็มเงินที่คีบอยู่ในมือออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วปักเข้าระหว่างเอวและหน้าท้องของจ้านเป่ยเซียวทันที
จ้านเป่ยเซียวรู้สึกแสบร้านที่ท้องส่วนล่าง ไม่ช้าก็มีเหงื่อไหลอาบเต็มหน้าผาก
“หนานกงเยว่ลั่ว เจ้าทำอะไรกับข้า ?” จ้านเป่ยเซียวรู้สึกหงุดหงิดใจกับความรู้สึกเช่นนี้ไม่น้อย
เฟิงชิงหัวยกมือขึ้นกอดอกและพิงตัวลงบนวงกบประตู : “ไม่มีอะไรนี่เพคะ เพียงแต่ข่าวลือต่างพูดกันว่า ร่างกายของท่านอ๋องไม่สามารถใช้การได้แล้ว หม่อมฉันจึงรู้สึกเป็นห่วง เดิมทียังรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อตอนนี้ท่านอ๋องไม่ยอมขอโทษหม่อมฉัน เช่นนั้นหม่อมฉันจึงทำเรื่องที่ทำให้ท่านอ๋องทรงรู้สึกโมโหอย่างหนัก เพื่อเป็นการหักล้างกัน”
ขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดออกมา กลับทำสีหน้าไร้เดียงสาอย่างยิ่ง ผู้ฟังอย่างจ้านเป่ยเซียวจึงรู้สึกอยากลงไม้ลงมือจนแทบทนไม่ไหว
ทว่า เข็มเงินของเฟิ่งชิงหัวไม่ได้ปักอยู่ในจุดที่อันตรายอย่างยิ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเชื่อมต่อความแข็งแกร่งอีกด้วย แม้กระทั่งจ้ายเป่ยเซียวคิดจะลุกขึ้นก็ยังทำไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น
เฟิ่งชิงหัวสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตรงนั้น จึงหัวเราะร่าด้วยท่าทีขบขัน : “ท่านอ๋อง ท่านวางใจเถอะเพคะ หลังจากออกจากประตูไปแล้ว หม่อมฉันจะช่วยแก้ต่างให้ท่านอ๋องเอง โดยจะพูดว่าท่านอ๋องทรงได้รับบาดเจ็บที่ขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตรงส่วนอื่นยังใช้การได้ดีอยู่”
“หุบปาก !” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน จากนั้นจึงหลับตาลงแล้วเริ่มเคลื่อนไหวพลังลมปราณ ทว่า ต่อให้ลองดูสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล ราวกลับพลังในร่างกายถูกดูดไปจนหมดสิ้น ยกเว้นตรงจุดนั้นเท่านั้น