บทที่ 52 ขออภัยอ๋องหลี่ชิน

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 52 ขออภัยอ๋องหลี่ชิน

เขากำลังสนทนากับอ๋องจั่วเสียนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ขันทีก็รีบรายงานเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโถงตะวันตก แม้ว่าเขาจะรู้สึกแย่ที่ฉินชิงเหยียนถูกทุบตีและพ่ายแพ้ต่อหน้าทุกคน แต่เขาก็ยังคิดหาวิธีที่จะช่วยล้างมลทินให้จวนมหาเสนาบดีและตัวเขาเองไม่ออกจริงๆ

เขาต้องขอบคุณฉินปู้เข่อที่ทุบตีฉินชิงเหยียนอย่างหนักในที่สาธารณะ

ฉินปู้เข่อก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า และฉินชิงเหยียนที่มีใบหน้าบวมผิดรูปก็ค่อย ๆ เดินไปยังโถงทิศตะวันออกพร้อมกับถ้วยชาในมือ

“ท่านอ๋องเพคะ น้องสาวยังเด็กและหยาบคายนัก หม่อมฉันหวังว่าท่านอ๋องจะให้อภัยนาง เมื่อหม่อมฉันกลับไปแล้วจะขอให้ท่านแม่ใหญ่ช่วยสั่งสอนนางอย่างแน่นอนเพคะ” ฉินปู้เข่อก้มศีรษะแล้วโค้งคำนับ คำพูดของนางเต็มไปด้วยการตำหนิตนเองและความรู้สึกผิด

ฉินชิงเหยียนที่อยู่ด้านข้างคุกเข่าลงพลางถือถ้วยชาไว้ในมือ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ “ท่านอ๋องโปรดรับชานี้ไว้เถิดเพคะ”

เขารู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโถงทิศตะวันตก รวมไปถึงฉินเฉิงหย่งที่จัดการให้คนมารายงานเขาด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เขาพึงพอใจอย่างยิ่งก็คือพระชายาเข้าใจเจตนาของตนจริง ๆ และแสดงบทบาทนี้ได้เป็นอย่างดี

หมี่โม่หรู่รีบพยุงฉินปู้เข่อขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะมองนางแล้วยกยิ้มอ่อน “ขอบใจพระชายา เดิมทีข้าคิดว่าเรื่องนี้จะสร้างความบาดหมางระหว่างเจ้ากับน้องสาวของเจ้า แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีเหตุผลกับน้องสามมากถึงเพียงนี้”

อะไรนะ? สภาพเช่นนี้แล้วยังจะเรียกว่า ‘มีเหตุผล’ ได้อีกหรือ หมี่ฉงที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะมองหน้าฉินชิงเหยียน แม้ว่านางจะปกปิดใบหน้าส่วนใหญ่ของตนด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าไหม แต่ก็เห็นได้ว่าใบหน้าทั้งสองข้างของนางบวมปูด

ฉินชิงเหยียนที่ยังคงคุกเข่าอยู่พูดขึ้นอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ชิงเหยียนได้กล่าววาจาที่โง่เขลา ท่านอ๋องได้โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”

“ตกลง” หมี่โม่หรู่รับถ้วยน้ำชาอย่างสง่างาม ก่อนจะยกขึ้นเป่าและจิบแล้วพูดอย่างใจเย็น

ฉินชิงเหยียนพยายามลุกยืนขึ้นและหันหลังกลับเพื่อจะจากไป

ฉินปู้เข่อเอื้อมมือไปจับไหล่ของฉินชิงเหยียนไว้ นิ้วราวกับกรงเล็บเหล็กจับไปที่ไหล่ของนาง หญิงสาวดึงอีกฝ่ายให้กลับมา แล้วกล่าวอย่างสดใสว่า “ท่านอ๋องเพคะ ท่านกำลังยุ่งอยู่ หม่อมฉันขอตัวพาน้องสามกลับไปยังโถงตะวันตกก่อนนะเพคะ”

หลังจากที่ทั้งสองจากไป หมี่ฉงก็ชื่นชมนาง “ข้ามั่นใจว่าข้าพ่ายแพ้ น้องสะใภ้ของข้าอารมณ์ร้ายเกินไป โชคดีที่เราหยุดการทดสอบนางไว้ได้ทันและไม่ได้ทดสอบนางต่อไป จุ๊ จุ๊ ราคาที่ต้องจ่ายเมื่อต้องต่อกรกับนางนั้นช่างแพงอย่างแสนสาหัส”

หมี่โม่หรู่วางถ้วยน้ำชาในมือของเขาเบา ๆ แล้วเหลือบมองหมี่ฉง “สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการจะเห็นใช่หรือไม่”

“ข้าอยากเห็นสถานการณ์เช่นไร ฉินชิงเหยียนพ่ายแพ้หรือ? ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้คาดหวังเช่นนั้น” หมี่ฉงโบกมือ เขาไม่ได้คาดหวังให้น้องสะใภ้ของเขาฆ่าฮูหยินฉินและฉินชิงเหยียนเลยจริง ๆ

“สิ่งที่ข้าจะบอกคือแม่นางเข่อเป็นที่สะดุดตา ตำหนักของอ๋องหลี่ชินได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในสถานการณ์ที่ผู้คนต่างรู้เห็น”

สีหน้าของหมี่ฉงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะหันออกไปด้านข้าง “ฮ่า ฮ่า น้องเจ็ด ข้าจะไปที่อื่นเพื่อดูว่าเหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นจะแต่งบทกวีและวาดภาพอย่างไร”

กลับมาที่โถงทิศตะวันตก ฮูหยินฉินก็รีบพาฉินชิงเหยียนหาข้ออ้างที่จะออกไปทันที

ฉินปู้เข่อเดินไปข้างหน้ามหาเสนาบดีฉินด้วยท่าทียำเกรง “ท่านพ่อเจ้าคะ เมื่อกลับไปวันนี้แล้ว ลูกจะขอให้ท่านแม่สั่งสอนน้องสาม และลูกหวังว่าความวุ่นวายเล็กน้อยนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อท่านพ่อของลูกนะเจ้าคะ”

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจของพระชายาหลี่ชิน” สีหน้าของมหาเสนาบดีฉินกลับมาเป็นปกติ เขายังไม่รู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงเรียกอ๋องหลี่ชินมาที่งานเลี้ยงในพระราชวังครั้งนี้ แต่การเคลื่อนไหวนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ซึ่งเขาเกรงว่าตนจะทำให้อ๋องหลี่ชินขุ่นเคืองในอนาคตได้

ในช่วงนี้มีข่าวอื้อฉาวระหว่างท่านอ๋องและจวนมหาเสนาบดีว่า อ๋องจั่วเสียนกลับมาพร้อมกับบุญญาธิการและอ๋องหลี่ชินมีความคิดบางอย่าง ซึ่งเป็นเช่นนี้แล้วสถานการณ์ก็อาจจะวุ่นวาย

เมื่อมหาเสนาบดีฉินจากไปแล้ว จานหานชิวก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อสักครู่นี้หม่อมฉันกลัวแทบแย่ หม่อมฉันคิดว่าพระชายาจะต้องเดือดร้อนแต่ก็โล่งใจจริง ๆ นางและพี่สาวของนางรังแกท่านมาโดยตลอด แต่ในที่สุดครั้งนี้นางก็ได้รับบทเรียน!”

………………………………………………………………………..