บทที่ 67 ถ้าคิดว่ามันถูกต้องก็ทำเลย

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 67 ถ้าคิดว่ามันถูกต้องก็ทำเลย

บทที่ 67 ถ้าคิดว่ามันถูกต้องก็ทำเลย

ชายสวมแว่นตาเป็นเลขานุการของสำนักงานจังหวัด ชื่อว่าหยวนหงหลี่

แตกต่างจากตำแหน่งของเลขานุการของบริษัททั้งหลายในยุคหลัง ๆ เพราะตำแหน่งนี้จัดว่าอยู่ในระดับสูงมากกว่า

เสิ่นอี้โจววางมือบนเข่าของเขาอย่างสบาย ๆ พลางเคาะนิ้วเบา ๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ผมต้องขอขอบคุณเซี่ยทิงกับเลขาหยวนที่ให้ความสำคัญกับผมมากนะครับ ผมจึงไม่กล้าชักช้านัก”

เขาสามารถพูดได้อย่างอิสระ แม้สีหน้าของเขาจะสงบก็ตาม ใช่ แม้จะอยู่ต่อหน้าหยวนหงหลี่ซึ่งมีตำแหน่งสูงกว่า เสิ่นอี้โจวก็ไม่ได้แสดงความขลาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย แต่รัศมีรอบตัวของเขากลับจะข่มอีกฝ่ายไว้ด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มโน้มตัวลง นัยน์ตาประหนึ่งนกฟีนิกซ์ของเขาเย็นชาและไม่แยแส “ถ้าอย่างนั้น ผมต้องขอบคุณเซี่ยทิงและเลขาธิการหยวนแล้ว”

ทีแรก หยวนหงหลี่คิดว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการโน้มน้าวใจอีกฝ่าย ถึงอย่างไร ในการอภิปรายในเมืองหลวงครั้งก่อน ชายหนุ่มคนนี้ก็ได้แสดงทัศนคติที่แน่วแน่ของตัวเองออกมาแล้ว

แต่ก็นับเป็นสิ่งที่ดี เพราะเขาสามารถเติมเต็มภาระงานของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หยวนหงหลี่ยื่นมือออกไป “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมขอแสดงความยินดีกับคุณก่อนล่วงหน้า”

เสิ่นอี้โจวยื่นมือออกไปจับมือของอีกฝ่ายเช่นกัน “ถือได้ว่าเป็นเกียรติของผมมากเช่นกันครับ”

ชายวัยกลางคนกล่าว “เซี่ยทิงบอกกับผมไว้ว่า ให้ย้ายคุณออกจากสถาบันวิจัยก่อน จากนั้นก็ไปเรียนรู้ที่ศาลากลางจังหวัดหนึ่งปี ปีหน้า เราจะเปิดแผนการจ้างงานและจะเลื่อนตำแหน่งให้คุณเข้าสู่สำนักงานจังหวัด”

การโอนย้ายจากศาลากลางจังหวัดเข้าสู่สำนักงานประจำจังหวัดภายในหนึ่งปี ความเร็วในการเลื่อนตำแหน่งเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเสิ่นอี้โจวที่มีต่อหน่วยงานระดับสูง

ชายหนุ่มยังคงสงบนิ่ง “ถ้าอย่างนั้นมันก็ต้องยุ่งยากแน่นอนครับ”

หยวนหงหลี่ยิ้มและพูดว่า “ประเทศต้องการความสามารถของคุณ เซี่ยทิงกับผมจะคอยเปิดประตูสำนักงานจังหวัดรอเมื่อคุณมาถึง!”

เขาหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนเรื่องผู้เชี่ยวชาญด้านนรีเวชวิทยาและการเจริญพันธุ์ที่คุณเคยขอให้ผมไปสอบถาม กรุณาให้เวลาผมอีกหน่อยนะ”

ตอนที่เสิ่นอี้โจวเอ่ยขอให้เขาช่วยเหลือเรื่องนี้ หยวนหงหลี่ก็ประหลาดใจมาก

เสิ่นอี้โจวแต่งงานมากว่าหนึ่งปีแล้วแต่ยังไม่มีลูก เขาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน

นั่นก็เพราะผู้จะมารับงานของพวกเขาจะต้องเป็นพวกคนที่รักษาความลับได้ดีเยี่ยม

ดังนั้นหากอีกฝ่ายไม่เอ่ยถึงรายละเอียดอื่น ๆ เขาก็จะไม่ซักไซ้

เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ขอบคุณครับ เลขาหยวน”

เสิ่นอี้โจวเดินออกไปส่งหยวนหงหลี่ และเมื่อกลับถึงบ้าน ชายหนุ่มก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารแล้ว

ไฟในห้องครัวเปิดอยู่และเซี่ยชิงหยวนก็กำลังง่วนอยู่ในนั้น

เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นในทันที

เซี่ยชิงหยวนเพิ่งผัดผักจานสุดท้ายเสร็จ เมื่อเห็นเสิ่นอี้โจวยืนอยู่ที่ประตูห้องครัว เธอก็พูดพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ล้างมือเร็ว ได้เวลากินข้าวแล้วค่ะ”

เสิ่นอี้โจวรีบวางกระเป๋าเอกสารและล้างมือในอ่างข้าง ๆ เขา และจับจานที่อยู่ในมือของเซี่ยชิงหยวน “ผมช่วย”

อาหารมื้อเย็นคือหมูตุ๋น มันฝรั่งตุ๋น และผัดผักตามฤดูกาล

คู่หนุ่มสาวทานอาหารบนโต๊ะตัวเล็กในครัว พวกเขาพูดคุยกันเป็นครั้งคราว

ดวงตาของเสิ่นอี้โจวสงบ เขายังไม่ได้บอกกับเซี่ยชิงหยวนเรื่องที่เขาเพิ่งตัดสินใจเกี่ยวกับงานของเขา

เขาฟังเซี่ยชิงหยวนพูดเกี่ยวกับสิ่งที่น่าสนใจในการทำธุรกิจของเธอและเมื่อเกือบจะกินข้าวเสร็จแล้ว เขาก็ตัดสินใจบอกเธอว่า “วันนี้ผมพบคนของสำนักงานจังหวัดมา”

เซี่ยชิงหยวนวางชามตะเกียบลง “สำนักงานจังหวัด?”

ในชาติที่แล้ว เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าเสิ่นอี้โจวทำงานเกี่ยวข้องกับคนจากสำนักงานจังหวัดด้วย

เสิ่นอี้โจวพิจารณาคำพูดของตนและมองเธอ “ผมวางแผนจะไปทำงานที่สำนักงานจังหวัด”

ชายหนุ่มหยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้ผมจะย้ายไปที่ศาลากลางก่อนเป็นเวลาหนึ่งปี จากนั้นค่อยย้ายตำแหน่งเข้าไปที่สำนักงานจังหวัด”

ข่าวสำคัญนี้ทำให้หญิงสาวตกใจมาก

ในความทรงจำของเธอ เสิ่นอี้โจวรักงานในสถาบันวิจัยนี้มาก

เธอเคยเอะอะโวยวายเพราะงานของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยงานในสถาบันวิจัยไปเลยไม่ใช่เหรอ?

แต่ทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจตอนนี้ล่ะ?

ขณะที่เธอกำลังจะถามอีกครั้ง ก็มีเสียงร้องเรียกมาจากประตู “ชิงหยวน!”

เจียงเพ่ยหลานยืนอยู่ที่ประตูด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง

เซี่ยชิงหยวนรีบลุกขึ้นและเดินออกไป จึงพบว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ

เธอขมวดคิ้ว “เขาตีเธออีกแล้วเหรอ”

เจียงเพ่ยหลานกระวนกระวายมากจนเอาแต่ร้องไห้ “ชิงหยวน ลูกสาวของฉันถูกพวกเขาส่งตัวไปแล้ว โปรดช่วยฉันที!”

เสิ่นอี้โจวก็เดินออกมาเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น?”

เจียงเพ่ยหลานร้องไห้ “พวกเขาส่งลูกสาวของฉันไป ตอนที่ฉันกลับไปบ้านแม่วันนี้ ตอนแรกพวกเขาพยายามโกหกฉัน โดยบอกว่าลูกฉันออกไปเล่น แต่พอฉันไปถามเพื่อนบ้านจึงได้รู้ว่าไม่เห็นลูกสาวของฉันมาทั้งวันแล้ว”

เมื่อกลับถึงบ้าน เจียงเพ่ยหลานเห็นว่าเสื้อผ้าของลูกสาวหายไปจากตู้เสื้อผ้าจนหมดและพบซองจดหมายสีแดงที่มีเงินหนึ่งร้อยหยวนอยู่ในลิ้นชัก ซึ่งมันบาดตาเธอมาก

เธอจับมือเซี่ยชิงหยวน “ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมาหาเธอ”

อาการบาดเจ็บบนร่างกายของอีกฝ่ายทำให้เธอจินตนาการได้ว่าเหตุการณ์นี้เลวร้ายเพียงใด

เมื่อรู้ว่าเด็กอยู่กับญาติและไม่มีการคุกคามใด ๆ เซี่ยชิงหยวนจึงโล่งใจ

เธอไม่ตอบคำพูดของเจียงเพ่ยหลาน แต่ถามแทนว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เราพบเด็ก? เธอจะฟังคำสารภาพและอยู่กับพวกเขาต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า?”

ในฐานะแม่ ลูกสาวควรเป็นเหมือนเกล็ดย้อนที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะมาแตะต้องได้

สำหรับเซี่ยชิงหยวน ถ้าใครแตะต้องลูกของเธอ เธอจะต่อสู้กับคนคนนั้นแบบแลกชีวิต

ส่วนเรื่องของหลินจื่อเฉียงและคนอื่น ๆ หากเจียงเพ่ยหลานไม่ตระหนักได้เสียที ไม่ว่าหญิงสาวจะช่วยเธอกี่ครั้งมันก็ไร้ประโยชน์

ความลังเลฉายวาบในดวงตาของเจียงเพ่ยหลาน จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นทันทีราวกับว่าตัดสินใจได้แล้ว “ฉันจะหย่ากับเขา”

สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดกับเธอก่อนหน้านี้ หลังจากที่เธอกลับบ้านไป เธอคิดซ้ำ ๆ อยู่ในใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน

เธออดทนกัดฟันต่อการถูกปฏิเสธและดูถูกมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

แต่นั่นคือลูกสาวที่เธอให้กำเนิดด้วยแรงกายของเธอ และเธอเป็นคนที่ดูแลลูกให้เติบโตขึ้นมาเพียงลำพัง

นั่นคือลูกที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่เยาว์วัยด้วยเลือดและน้ำตา เธอทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

หลังจากได้รับคำตอบของเจียงเพ่ยหลาน เซี่ยชิงหยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

จากนั้นเธอจึงพูดว่า “แจ้งตำรวจกันเถอะ”

หญิงสาวมองไปที่เสิ่นอี้โจว “อี้โจว เรื่องนี้จะไม่ทำให้คุณลำบากใช่ไหม”

ตัวเธอน่ะไม่เป็นไร แต่เสิ่นอี้โจวกับหลินจื่อเฉียงเป็นเพื่อนร่วมงานกัน

คิ้วและดวงตาของเสิ่นอี้โจวอ่อนโยนลงทันที “ไม่เป็นไร ทำในสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้องเถอะ แค่ทำมันแล้วผมจะคอยสนับสนุนคุณทุกอย่าง”

เซี่ยชิงหยวนส่งยิ้มขอบคุณไปให้อีกฝ่าย

จากนั้นระหว่างที่แม่สามีกับหลินจื่อเฉียงคิดว่าเจียงเพ่ยหลานไปซ่อนตัวร้องไห้อยู่ที่ไหนสักแห่ง เสิ่นอี้โจวก็ขี่สามล้อมุ่งตรงไปที่สถานีตำรวจ

เมื่อตำรวจมาเคาะประตูบ้าน หลินจื่อเฉียงก็ยังไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ

เขายังคงควบคุมน้ำเสียงและพูดอย่างประจบประแจงว่า “สหายตำรวจ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”

ตำรวจแสดงเอกสารที่เกี่ยวข้องและพูดกับหลินจื่อเฉียง “มีคนรายงานว่าคุณกับติงเหม่ยเซียนทุบตีผู้หญิงและส่งเด็กไปค้ามนุษย์ ทางเรารบกวนพวกคุณช่วยมากับเราด้วยครับ”

“อะไรนะกันครับสหายตำรวจ? ต้องมีเรื่องผิดพลาดแน่นอน ผมจะไปทำเรื่องเลวร้ายพรรค์นั้นได้ยังไง” หลินจื่อเฉียงตื่นตระหนกเมื่อได้ยินสิ่งนี้

เขายังคาดเดาในใจว่านังหญิงเลวเจียงเพ่ยหลานต้องเป็นคนทำแน่ ๆ!

ดีจริง ๆ! เดี๋ยวนี้นังนั่นเรียนรู้ที่จะเรียกหาตำรวจแล้วเหรอ

เขายังไม่ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ และกำลังคิดว่าจะจับตัวเจียงเพ่ยหลานมาทุบตียังไงเมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน

ใช่ หลังจากทุบตีเธอไปหนึ่งครั้ง เขาก็พบว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของเจียงเพ่ยหลาน และเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเธอ ความกดดันที่เขามักจะได้รับจากการทำงานกลับบรรเทาลงอย่างอธิบายไม่ได้

เขาดูจะรู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการยืนยันในฐานะลูกผู้ชาย

เมื่อเขาไปที่สถานีตำรวจกับแม่ชรา เขาก็พบว่าคู่สามีภรรยา เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวอยู่ที่นั่นด้วย จนทำให้สีหน้าของเจ้าตัวเปลี่ยนไปในทันที