บทที่ 48 ของขวัญจากจอมมาร

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 48 ของขวัญจากจอมมาร
[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 158/3007]

[เผ่าพันธุ์: มนุษย์]

[ตบะ: ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่ง]

[วิชายุทธ์: วิชาวัฏจักรหกวิถี (สามารถสืบทอดได้)]

[วิชาเวท: ดรรชนีกระบี่เทพ ย่างก้าวลวงตาเจ็ดชั้น สามกระบี่แยกเงา (ที่สุดแห่งยุค) ตราประทับเก้ามังกรขจัดมาร มหาวายุอัสนี วิชาเทพวายุ]

[พลังวิเศษ: พลังดูดวิญญาณหกสาย กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจ ค้ำฟ้าเสมือนพสุธา เมฆตีลังกา พลังเทพหมื่นกระบี่ (สามารถสืบทอดได้)]

[อาวุเวท: อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทอง (สมบัติวิญญาณระดับเจ็ด) เข็มขัดเก็บสมบัติ กระบี่กิเลน เชือกพันธนาการปีศาจ ระฆังเพลิงอัคคี (สมบัติวิญญาณระดับหก)]

[คุณสมบัติรากวิญญาณ: ร่างวิญญาณหกสาย ประกอบไปด้วยรากวิญญาณวายุ อัคคี วารี พสุธา พฤกษา และอัสนี เสริมดวงชะตาอีกหนึ่งขั้น]

[ดวงชะตาแต่กำเนิดมีดังนี้]

[ไม่เป็นสองรองใคร: คุณสมบัติเซียน มหาเสน่ห์ขั้นสูงสุด]

[ชะตาเซียนกระบี่: มรรคกระบี่ขั้นสูงสุด ความเข้าใจมรรคกระบี่ขั้นสูงสุด]

[ความไวของท่าร่าง: คุณสมบัติท่าร่างขั้นสูงสุด]

[ทายาทจักรพรรดิเซียน: ได้รับวิชายุทธ์บำเพ็ญเซียนชั้นเลิศหนึ่งชุด หินวิญญาณชั้นสูงหนึ่งพันก้อน]

[ตรวจสอบค่าความสัมพันธ์]

……

ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่ง!

อายุขัยสามพันปี!

หานเจวี๋ยประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ระดับปราณก่อกำเนิดยังแค่หนึ่งพันต้นๆ ระดับเปลี่ยนวิญญาณกลับพุ่งไปถึงสามเท่า!

ดีใจยิ่งนัก!

ทันใดนั้น หานเจวี๋ยก็นำระฆังเพลิงอัคคีออกมาคลุมตนเอง หลังจากนั้นรวมตบะต่อ

สองวันต่อมา

หานเจวี๋ยเริ่มสืบทอดพลังเทพหมื่นกระบี่

พลังเทพหมื่นกระบี่เป็นพลังวิเศษประเภทสังหารในวงกว้าง กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจจะเป็นการสังหารไปแนวเส้นตรงมากกว่า ทั้งสองต่างก็มีจุดเด่นของตนเอง

อาศัยคุณสมบัติและความเข้าใจมรรคกระบี่ขั้นสูงสุด หานเจวี๋ยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ก็เข้าใจพลังเทพหมื่นกระบี่แล้ว

เขาลุกขึ้นเดินจากไป

เขามาถึงหน้าค่ายกลส่งตัว ศิษย์ที่ดูแลค่ายกลแห่งนี้มองมาที่เขาด้วยสายตาเคารพเลื่อมใส

การเคลื่อนไหวของการฝ่าด่านเคราะห์ก่อนหน้านี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ทำให้ศิษย์ผู้นี้พลันนึกถึงผู้อาวุโสสังหารเทพขึ้นมา

เวลาไม่นาน

หานเจวี๋ยกลับมาถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน

พอเห็นเขากลับมา ไก่คุกรัตติกาลก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที พุ่งเข้ามาเอ่ยว่า “นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ข้านึกว่าท่านถูกสตรีผู้นั้นกินไปแล้วเสียอีก!”

หันเจวี๋ยถลึงตามองมัน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ “สมองไก่ของเจ้านี่วันๆ เอาแต่คิดอะไรอยู่”

“นายท่าน ข้าไม่ใช่หงส์หรอกหรือ”

“แต่ตอนนี้เจ้าเป็นแค่ไก่ ต้องตั้งใจฝึกฝนถึงจะกลายเป็นหงส์ได้”

“ตกลง”

ไก่คุกรัตติกาลหน้าม่อยคอตกทันที

ตั้งใจฝึกฝน ต้องฝึกฝนถึงเมื่อไรกัน

หานเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่ง ตั้งใจฝึกฝนต่อ

ขณะที่เขาทำการดูดซับปราณก็เปิดฟังก์ชันจำลองการทดสอบไปด้วย

เขาตั้งค่าตบะของหวงจี๋เฮ่าให้อยู่ที่ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า

สังหารได้ภายในหนึ่งวินาที!

หานเจวี๋ยพอใจเป็นอย่างมาก

มั่นใจแล้ว!

รอลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณมาโจมตี เมื่อถึงเวลานั้นจะสั่งสอนความเป็นคนให้กับพวกเขา!

หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตั้งค่าตบะของหวงจี๋เฮ่าเป็นระดับสุญตาขั้นหนึ่ง

ใช้เวลาห้านาทีเต็มๆ หานเจวี๋ยถึงสังหารเขาได้

เขาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

ไม่ได้!

ใช้เวลานานเกินไป!

ยังต้องมุมานะฝึกฝนอีก!

ความรู้สึกภาคภูมิใจของหานเจวี๋ยสลายไปหมดสิ้น กลับแทนที่ด้วยความรู้สึกถึงวิกฤตอันหนักหน่วง

หากไม่สามารถสังหารศัตรูได้ภายในพริบตา ศัตรูก็จะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้!

……

ภายในวังใต้ดินอันมืดสลัว

โจวฝาน หยางเทียนตงกำลังนั่งขัดสมาธิตรงมุมหนึ่ง

โจวฝานกำลังสังเกตดูผู้บำเพ็ญของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ เขากล่าวเสียงเบาว่า “เหตุใดคนของพวกเขาถึงหายไปกว่าครึ่ง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางเทียนตงก็ลืมตา เอ่ยพึมพำว่า “อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง”

เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

หรือว่าอาจารย์จะมาช่วยข้าแล้ว?

โจวฝานหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ กล่าวเสียงเบา “น้องชาย จะหนีอีกครั้งหรือไม่”

ร่างของหยางเทียนตงสั่นสะท้าน กล่าวอย่างหวาดผวา “ศิษย์พี่ ช่างมันเถิด พวกเราก็สงบใจรอทางสำนักมาช่วยดีกว่า”

“ไม่มีทาง!”

“แต่ข้าไม่อยากโดนตีอีกแล้ว…”

“ความเจ็บปวดแค่นี้ยังกลัว เจ้าจะบรรลุมรรคได้อย่างไร จะแสวงหาเส้นทางแห่งเซียนได้อย่างไร”

“เหตุผลข้าล้วนเข้าใจ แต่ว่ามันเจ็บปวดจริงๆ…”

สีหน้าของหยางเทียนตงราวกับสวมหน้ากากแห่งความทุกข์ทรมานไว้ เมื่อหวนนึกถึงการถูกทรมาณที่ผ่านมา เขาก็ไม่อาจควบคุมแม้กระทั่งร่างที่สั่นสะท้าน

โจวฝานรู้สึกรำคาญใจ รู้สึกว่าหยางเทียนตงไร้ประโยชน์เป็นอย่างมาก

เสียงโครมดังขึ้น!

วังใต้ดินเกิดความสั่นไหวอย่างรุนแรง

หลังจากนั้นเสียงของหลี่ชิงจื่อดังขึ้นมา “เหล่าศิษย์ของสำนักหยกพิสุทธิ์เตรียมตัวต่อต้าน สังหารให้หมด ร่วมกันทลายลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณให้ย่อยยับ!”

โจวฟานกับหยางเทียนตงดีใจขึ้นมาโดยพลัน

มาแล้วจริงๆ!

……

หลังจากทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณแล้ว เพียงพริบตา เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหนึ่งปี

หานเจวี๋ยยังคงอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกฝน

เขาเปิดดูจดหมายเป็นครั้งคราว ดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว สำนักหยกพิสุทธิ์ได้เปิดศึกกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณแล้ว

กวนโยวกัง หลี่ชิงจื่อได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ช่างน่าอนาถยิ่งนัก

หยางเทียนตงศิษย์ของเขาก็ถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณโจมตีตลอด ดูท่าใกล้จะเข้ารวมกับกองทัพใหญ่ได้แล้ว เช่นนั้นถึงยังสามารถต่อสู้ได้อยู่ตลอด

หานเจวี๋ยได้แต่ส่งกำลังใจให้เท่านั้น

เขามีความรับผิดชอบที่สำคัญกว่านั้น นั่นคือการปกป้องสำนักหยกพิสุทธิ์

ตอนนี้หานเจวี๋ยไม่กังวลว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะลอบเข้ามาโจมตีเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขากังวลคือศัตรูที่อยู่ไกลกว่านั้น

ที่น่าพูดถึงก็คือ ตบะของไก่คุกรัตติกาลได้เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานแล้ว ระดับการฝึกฝนรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้มันนอนหมอบอยู่ในมุมราวกับช้างตัวหนึ่ง ขนบนกายงดงามเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นไก่ แต่กลับมีลีลาของไก่เทพ

ขณะที่หานเจวี๋ยมองประเมินไก่คุกรัตติกาลด้วยความพอใจนั้น จู่ๆ เซวียนฉิงจวินก็พลันมาเยี่ยมเยียน

ได้พบเจอกับนางอีกครั้ง สีหน้าของหานเจวี๋ยดูไม่เป็นธรรมชาติเป็นอย่างมาก

แม้เซวียนฉิงจวินจะมีตบะแค่ระดับสร้างฐาน แต่ในส่วนลึกของวิญญาณซ่อนจอมมารระดับมหายานไว้ตนหนึ่ง ไม่อาจล่วงเกินได้

“ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสสังหารเทพของพวกเราทะลวงระดับในแดนหมื่นปีศาจแล้วรึ” เซวียนฉิงจวินนั่งลงข้างๆ หานเจวี๋ย และถามด้วยรอยยิ้ม

หนึ่งปีนี้เล่าลือกันว่ามีผู้ทรงพลังฝ่าด่านเคราะห์ในแดนหมื่นปีศาจ แม้กระทั่งผู้อาวุโสระดับปราณก่อกำเนิดก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ บรรดาศิษย์ต่างก็คาดเดาได้ว่าเป็นผู้อาวุโสสังหารเทพที่ดูลึกลับผู้นั้น

หานเจวี๋ยไม่เป็นตัวของตัวเอง ร่างของเขาแข็งทื่ออยู่บ้าง แต่แสร้งทำเป็นเอ่ยถามอย่างสงบ “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”

คงจะไม่ได้เริ่มอันนั้นหรอกนะ…

ร่างกายที่ยังไม่รู้ประสาของข้า…

หานเจวี๋ยรู้สึกลนลานเป็นยิ่งนัก

“ข้าจะไปแล้ว จึงมาบอกลาท่านสักหน่อย” เซวียนฉิงจวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยนิ่งอึ้ง

ไปไหน

เซวียนฉิงจวินถาม “ก่อนไปท่านอยากได้สิ่งใด ข้าจะพยายามทำให้ท่านสมปรารถนา พบเจอกันคราวหน้าไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปี”

หานเจวี๋ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าจะไปเช่นนี้หรือ ไม่…กับข้า”

เซวียนฉิงจวินกรอกตามองเขา แค่นเสียงเอ่ย “ท่านกลับรีบร้อนนัก ฝันไปเถิด ข้าต้องการท่านแต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ อย่าคิดว่าข้าจะขลุกอยู่กับท่านทุกวัน โอกาสยังมาไม่ถึง”

เช่นนั้นก็ดี!

หานเจวี๋ยรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

เกือบจะเสียความบริสุทธิ์แล้ว

เขาเอ่ยงึมงำ “มีโอสถเสริมตบะระดับเปลี่ยนวิญญาณหรือไม่”

เซวียนฉิงจวินควักโอสถสี่ขวดออกมาจากแขนเสื้อทันที “นี่คือโอสถเพิ่มพลังเปลี่ยนวิญญาณ ที่ข้ามีแค่สี่ขวดนี้ มอบให้ท่านทั้งหมด”

หานเจวี๋ยรีบกล่าวขอบคุณ

เซวียนฉิงจวินใช้ปลายนิ้วเชิดคางของเขาขึ้น ยิ้มกล่าว “หลังจากนี้จะไม่ได้เห็นใบหน้ารูปไข่ของท่านอีกหลายปี ข้ารู้สึกอาวรณ์อยู่บ้างจริงๆ แต่ข้าไม่สะดวกพาท่านไปด้วย ต่อไปท่านก็พยายามฝึกฝนอยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์ อย่าได้เดินเพ่นพ่าน แดนบำเพ็ญพรตอันตรายมาก แม้ว่าจะบรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณแล้ว แต่ใช่ว่าจะไร้คู่ต่อสู้”

หานเจวี๋ยพยักหน้าอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

เซวียนฉิงจวินพูดจายั่วเย้าเขาไม่กี่ประโยคแล้วจากไป

หานเจวี๋ยเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

จอมมารสร้างความกดดันให้เขายิ่งนัก

ดูท่าจอมมารเพียงแค่ผ่านมาทางสำนักหยกพิสุทธิ์จริงๆ ไม่ได้ต้องการวางแผนอันใด คาดว่าหลังจากนี้คงไปทำความเข้าใจหลักสัจธรรมยังสถานที่อื่น สัมผัสกับทุกสรรพสิ่ง

เฮ้อ เสน่ห์อันหาที่เปรียบมิได้ของข้า แม้แต่จอมมารยังไม่อาจยับยั้งใจได้

แต่จะว่าไปแล้ว…

หอมยิ่งนัก!

หานเจวี๋ยมองโอสถโอสถเพิ่มพลังเปลี่ยนวิญญาณทั้งสี่ขวดข้างกาย ในใจเต็มไปด้วยความชื่นมื่น

หลังเซวียนฉิงจวินจากไปแล้ว ไก่คุกรัตติกาลก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ยินดีด้วยนายท่าน นายท่านไม่ต้องกลัวว่าจะถูกนางกินอีกแล้ว!”

หานเจวี๋ยคร้านที่จะสนใจมัน ทำการฝึกฝนต่อ

เขาอยากฝึกวิชาวัฏจักรหกวิถีขั้นห้าให้สำเร็จเสียก่อน จากนั้นค่อยรับประทานโอสถเพิ่มพูนตบะ

……………………………………….