ตอนที่ 66 หนิงเซียนเซิงสยบคุณชายเจ็ด (4)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 66 หนิงเซียนเซิงสยบคุณชายเจ็ด (4)

รถม้าได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เถ้าแก่เซวียเพียงออกคำสั่ง รถก็ออกเดินทางทันที

ผู้จัดการเลี่ยวนั่งอยู่ด้านในรถม้ากับเถ้าแก่เซวียด้วย จ้าวต้าเฟยบุตรชายของสองสามีตระกูลจ้าวนั่งบอกทางอย่างจริงจังอยู่ข้างสารถี

วันนี้อากาศดีนัก รถม้าของอิ๋งเค่อเซวียนได้มุ่งหน้าไปทางหมู่บ้านหวังจยา

เถ้าแก่หลี่ที่นั่งอยู่ในไป๋อวิ๋นจวีตรงหน้าต่าง เมื่อมองเห็นรถม้าของพวกเขาวิ่งออกไปก็รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก

เขารอจนกระทั่งรถม้านั้นหายไปจากสายตาจึงได้ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาบรรดาลูกน้องตกอกตกใจกันมากมาย

แต่ไหนแต่ไรมาเถ้าแก่หลี่เป็นผู้มีจิตใจดี ในวันนี้เขาเป็นอะไรไปนะ

มั่วเชียนเสวี่ยและจวี๋เหนียงเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านหวังจยาไม่ทันไร ก็มีอาซ้อคนหนึ่งเข้ามารายงานว่ามีแขกมารอนางอยู่ ได้ยินอาซ้อคนนั้นกล่าวว่าผู้เดินทางมาเรียกตนเองว่าเถ้าแก่เซวีย มั่วเชียนเสวี่ยพยายามครุ่นคิดแต่คิดไม่ออกว่าเป็นผู้ใด แต่นางพอจะเดาออกว่าคงเดินทางมาเพื่อซื้อเต้าหู้

บัดนี้เต้าหู้ของนางขายให้เพียงไป๋อวิ๋นจวีเท่านั้น เรื่องนี้ได้ทำการตกลงไว้แต่แรก จะให้นางเป็นคนผิดสัญญาเช่นนั้นไม่ได้

อยากซื้อหรือ ย่อมได้! แต่ค่อยมาใหม่ปีหน้าแล้วกัน

เมื่อคิดได้ดังนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้ถอดเสื้อคลุมตัวหนาที่ดูไม่ค่อยทะมัดทะแมงนักออกมาแล้วขมวดคิ้ว ฝีมือของภรรยาอวิ๋นซานกับอาซ้อกุ้ยฮวาช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน หนิงเซ่าชิงนั้นรูปร่างดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะสวมใส่อะไรล้วนสง่างาม

แตกต่างไปจากนาง เมื่อนางสวมชุดนี้ทำให้รู้สึกอวบอ้วน นางตั้งตารอคอยเสื้อผ้าที่หนีจื่อบุตรสาวซ้อกุ้ยฮวาทำให้เหลือเกิน

เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็เห็นจ้าวต้าเฟยยืนอยู่ด้านข้าง มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเข้าหากัน ชายผู้ที่นั่งตรงตำแหน่งหัวโต๊ะลุกขึ้นเดินตรงเข้ามากล่าวทักว่า “หนิงเหนียงจื่อ”

คนคนนี้มองไปดูคุ้นตายิ่งนัก มั่วเชียนเสวี่ยพยายามครุ่นคิดว่าเขาเป็นใคร อ้อ ผู้จัดการเลี่ยวผู้เย่อหยิ่งแห่งอิ๋งเค่อเซวียนนั่นเอง หึๆ รู้แล้วสินะว่าเต้าหู้ขายดีเพียงไร บัดนี้จะเดินทางมาขอร้องนางหรือ

เชอะ!

นางแอบสบถอยู่ในใจ แต่สีหน้ายังคงเป็นดังเดิม “ใช่แล้ว เป็นข้าเอง”

ผู้จัดการเลี่ยวยังคงจำนางไม่ได้ บัดนี้ท่าทางของเขายังคงดูเย่อหยิ่งยโส เขากล่าวแนะนำขึ้นว่า “ท่านผู้นี้คือเถ้าแก่เซวียแห่งอิ๋งเค่อเซวียนในเมืองเทียนเซียง”

เถ้าแก่เซวียนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ใบหน้าของเขายิ้มออกมาอย่างจอมปลอม เขานั่งรอให้มั่วเชียนเสวี่ยคารวะเขาอยู่ แต่คาดมิถึงว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะเดินผ่านไปเช่นนี้แล้วเดินตรงเข้าไปนั่งในตำแหน่งตรงกลางฝั่งขวาของห้องนั้น ถอนหายใจออกมาช้าๆ กล่าวว่า “เถ้าแก่เดินทางมาที่นี่มีเรื่องอันใดงั้นหรือ”

เถ้าแก่เซวียเห็นท่าทางอันไร้มารยาทของนาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันใด เขาทำเสียงฮึดฮัดแล้วนึกอยู่ในใจว่า พวกบ้านนอกคอกนาไร้การศึกษา

ทว่าวันนี้เขาเดินทางมาเจรจาการค้า จะเอ่ยมากความไม่ได้

ผู้จัดการเลี่ยวเห็นสีหน้าของเถ้าแก่ไม่สู้ดีนัก น้ำเสียงของเขาจึงกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจว่า “พวกเรามาซื้อเต้าหู้ของเจ้า เสนอราคามา พวกเราเอาทั้งหมด”

ท่าทางของเขาดุจดั่งนางติดค้างบุญคุณอย่างไรอย่างนั้น เหมือนว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะต้องคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณ ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจทดแทนบุญคุณได้

บ้าเอ้ย! เดินทางมาบ้านนาง มีเรื่องร้องขอนาง แต่กลับทำท่าทางต่ำทรามกับนาง?! มองดูแล้วพวกคนกลุ่มนี้คงจะติดนิสัยคนตระกูลจ้าวมาไม่น้อย น้ำเข้าสมองกันหรือไร!

มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นทำสีหน้าเย็นชา กล่าวอย่างไม่สนใจว่า “ขออภัยด้วย เต้าหู้ของเรานั้นขายให้เฉพาะไป๋อวิ๋นจวี มิอาจขายให้ผู้อื่นได้ หากว่าท่านทั้งหลายไม่มีธุระอื่น ขอเชิญกลับไปได้ ข้าขอตัว”

จ้าวต้าเฟยพบว่าการค้าขายครั้งนี้เจรจาไม่สำเร็จจึงร้อนใจขึ้นมา “นางโกหก ที่ด้านนอกเมือง นางใช้ถั่วสามชั่งแลกเต้าหู้หนึ่งชั่ง” ผู้จัดการเลี่ยวได้บอกไว้แล้วว่าหากการเจรจาในครั้งนี้สำเร็จ เขาจะได้ประโยชน์ไม่น้อย

“เจ้าก็บอกเองนี่ นั่นคือการแลกเปลี่ยน ไม่ได้ขาย”

มั่วเชียนเสวี่ยตบโต๊ะตนทำให้จ้าวต้าเฟยสะดุ้งโหยง

เถ้าแก่เซวียหันไปขยิบตาให้ผู้จัดการเลี่ยว ในเมื่อไม้แข็งใช้ไม่ได้ผล คงต้องใช้ไม้อ่อน ผู้จัดการเลี่ยวเปลี่ยนสีหน้าทันใด เขายักคิ้วหลิ่วตาแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าขอแลกเปลี่ยนด้วย คนอื่นเอาถั่วสามชั่งแลกเต้าหู้หนึ่งชั่ง อิ๋งเค่อเซวียน…”

ผู้จัดการเลี่ยวชะงักลงเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะเพิ่มปริมาณให้มากกว่าผู้อื่นไม่น้อย “อิ๋งเค่อเซวียนของข้าใช้ถั่วสามชั่งครึ่งแลกเต้าหู้หนึ่งชั่ง เป็นเยี่ยงไร”

ช่างขี้เหนียวสิ้นดี!

มั่วเชียนเสวี่ยแทบจะกระอักเลือด เขาเพิ่มให้เพียงครึ่งชั่งยังกล้าเสนอมา ดูจากท่าทางแล้วคิดว่าเขาจะเพิ่มให้มากเสียอีก

การจะเสียเวลาถกเถียงกับคนเช่นนี้ไม่คุ้มค่า “ผู้จัดการช่างใจกว้างนัก เพียงแต่ใช้มันผิดที่เท่านั้น”

การที่นางกล่าวว่าเขาใจกว้างเป็นเพียงการประชดประชัน “แต่การที่ข้าให้เต้าหู้แลกเปลี่ยนเป็นการตอบแทนที่ชาวบ้านนำถั่วมาให้ข้าเท่านั้น มิใช่เพื่อกำไร ไป๋อวิ๋นจวีซื้อเต้าหู้จากข้าชั่งละห้าอีแปะ…”

เถ้าแก่เซวียได้ยินดังนั้นก็เริ่มทนไม่ไหว เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอย่างหมดความอดทนว่า “เอาล่ะ ไป๋อวิ๋นจวีซื้อในราคาเท่าใด เราจะเพิ่มให้อีกหนึ่งอีแปะ และให้เงินเจ้าอีกสิบตำลึงเพื่อเป็นรางวัลตอบแทน ต่อจากนี้เจ้าอย่าได้ขายเต้าหู้ให้คนอื่นอีก”

เขาไม่เชื่อว่าในโลกนี้ยังมีเรื่องที่เงินไม่อาจจัดการได้ เขายอมยื่นเงินจำนวนมากมายขนาดนี้ไปให้ นางเป็นเพียงสตรีธรรมดา จะเอาชนะไม่ได้เชียวหรือ

ผู้จัดการเลี่ยวกล่าวว่า “เถ้าแก่ของเราใจดีตกรางวัลให้เจ้ามากมายเพียงนี้ ยังไม่รีบก้มหัวคารวะอีก”

จ้าวต้าเฟยก็กล่าวว่า “นั่นสิ หนิงเหนียงจื่อยังไม่รีบคารวะขอบคุณอีก เงินจำนวนสิบตำลึงเชียว เต้าหู้ของเจ้าขายไม่ได้เดือนละสิบตำลึงหรอก อีกอย่าง เงินมหาศาลนี้พวกเราเป็นคนนำมาให้เจ้า ควรจะขอบคุณพวกเราสักหน่อย”

นางจะลืมเขาไปได้อย่างไร มั่วเชียนเสวี่ยจ้องมองไปอย่างเย็นชา ครั้งที่แล้วเมื่อหวังอวี๋ซานเดินทางออกจากหมู่บ้านไป นางก็ได้ยินคนเล่าลือกันว่าตัวการที่แท้จริงซึ่งให้เขาทำเช่นนั้นก็คือจ้าวต้าเฟยผู้นี้

ได้ยินมาว่าหลังจากพวกเขาทั้งครอบครัวถูกขับไล่ออกไปจากหมู่บ้าน ก็ไม่มีหมู่บ้านใดยินดีต้อนรับเขา จ้าวเอ้อร์นั่นจึงทำได้เพียงกลับไปยังหมู่บ้านจ้าวจยาอย่างหน้าด้านๆ กลับไปเบียดเสียดอาศัยอยู่กับผู้อาวุโสจ้าวต่อไป

จ้าวเอ้อร์และภรรยาของเขาอาศัยอยู่ที่นั่นและทำงานทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่กล้าบ่นออกมาสักคำ จ้าวต้าเฟยผู้นี้ยิ่งไร้น้ำอกน้ำใจ เขาเอาเงินไปจนสิ้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ที่แท้ เขาได้เดินทางเข้าไปในเมืองนี่เอง

พวกคนที่สมองกลวงเช่นนี้ นางควรจะให้การขอบคุณอย่างดี!

จ้าวต้าเฟยชะงักลงด้วยสายตาเยือกเย็นนั้น เขาหุบปากลงโดยไม่รู้ตัว

มั่วเชียนเสวี่ยละสายตากลับมาแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าได้ให้สัญญากับไป๋อวิ๋นจวีแล้ว ในปีนี้ข้าไม่อาจขายให้ได้หรอก ปีหน้าหรือปีต่อๆ ไป ต่อให้ขายแก่คนภายนอก ก็ไม่ขายให้แก่อิ๋งเค่อเซวียนเด็ดขาด”

เถ้าแก่เซวียโมโหยิ่งนัก เขาเบิกตากว้างมองดูนาง

ผู้จัดการเลี่ยวเห็นว่าน้ำเสียงของนางเย็นเยือก เขาจึงชักสีหน้า “แม่นางคิดจะต่อต้านอิ๋งเค่อเซวียนของเรา คงจะดูถูกพวกเราเกินไปแล้ว พวกเราไม่เล็กไปกว่าไป๋อวิ๋นจวีเลย การค้าขายรุ่งเรืองกว่าไป๋อวิ๋นจวี เหตุใดเจ้ามีอาหารจานใหม่แต่ไม่นำเสนอให้พวกเรา”

อาซ้อฟางกำลังวุ่นอยู่ก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินมีคนกล่าวว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับมาแล้วและกำลังต้อนรับแขกอยู่ นางจึงวางงานในมือลง ล้างหน้าล้างมือ จัดเตรียมน้ำชาเดินเข้าไป

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่านางไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร จึงรับถาดน้ำชาไปวางไว้ที่ข้างโต๊ะของตน กล่าวว่า “ท่านวุ่นอยู่กับงานเสียจนลืมเรื่องราวมากมายไปหรือ ในวันนั้นที่เราเดินทางไปยังอิ๋งเค่อเซวียนของท่าน แต่ท่านกล่าวว่าพวกเราเป็นนักต้มตุ๋น แล้วสั่งให้คนนำวอโถวสองชิ้นไล่พวกเราไป”

เถ้าแก่เซวียมองไปทางผู้จัดการเลี่ยวด้วยความโมโห

ผู้จัดการเลี่ยวตัวสั่นสะท้าน ปากขยับคล้ายจะกล่าวบางอย่างออกมา

บัดนี้อาซ้อฟางเพิ่งจะเห็นทุกคนอย่างชัดเจนและจำหน้าผู้จัดการเลี่ยวได้ เมื่อพอจะเดาถึงที่มาที่ไปออก นางจึงชี้หน้าด่าผู้จัดการเลี่ยวด้วยความโมโหว่า “นี่…นี่มันผู้จัดการที่ไล่พวกเราออกจากอิ๋งเค่อเซวียนมิใช่หรือ”