ตอนที่ 62 เสียงกรีดร้อง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 62 เสียงกรีดร้อง

ตบตีสามีในคืนเข้าหอ งามหน้านัก! ไป๋เหยาถอนใจเบาๆ โอดครวญอยู่ในใจ มิน่าเล่าถึงขายไม่ออก มิเช่นนั้นคงได้ออกเรือนไปนานแล้ว ไหนเลยจะลงเอยด้วยการถูกคลุมถุงชนแบบนี้ได้ เจ้าเป็นแบบนี้บุรุษคนไหนจะกล้าแต่งด้วย อีกทั้งเจ้าก็มิได้งดงามดั่งบุปผาอันใด ทำตัวให้สมเป็นสตรีหน่อยมิได้หรือ?

ถูกภรรยาทุบตีในคืนเข้าหอ เป็นถึงชายชาตรีแต่กลับถูกภรรยาข่มเหงรังแกเช่นนี้ ขายหน้านัก! หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ดูเหมือนหยวนกังจะว่าไว้ไม่ผิด ซางเฉาจงสู้เฟิ่งรั่วหนานไม่ได้จริงๆ เขาหันไปส่งสายตาให้หยวนกังแวบหนึ่ง

หยวนกังลากหยวนฟางออกไปทันที พาไปสอบถามอย่างลับๆ ทางด้านข้าง

หลานรั่วถิงและซางเฉาจงก็ฟังออกเช่นกัน ซางเฉาจงที่อยู่ในห้องหอถูกเฟิ่งรั่วหนานจัดการแล้ว

ซางซูชิงมีสีหน้ากังวลนึกห่วงความปลอดภัยของพี่ชาย

หลานรั่วถิงขมวดคิ้วขึ้นมา เรื่องที่กังวลที่สุดเกิดขึ้นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เฟิ่งรั่วหนานกล้าลงมือกับซางเฉาจงในห้องหออย่างไร้ความเกรงกลัวเช่นนี้ หลังจากนี้จะมีท่าทีอย่างไรแค่นึกดูก็รู้แล้ว ต่อให้ยืมไพร่พลไปถึงอำเภอชางหลูได้ ก็เกิดปัญหาอยู่ดี อย่าฝันเลยว่านางจะยอมให้ความร่วมมือ

“เจ้าปล่อยนะ!”

“ไม่ปล่อยแล้วจะทำไม? กล้าทำรุ่มร่ามกับข้า ไม่ถอดเล็บเจ้าก็นับว่าไว้หน้ามากแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นสตรีอ่อนแอประเภทที่จะยอมให้คุณชายจับจดอย่างเจ้าข่มเหงได้ตามใจชอบอย่างนั้นเรอะ?”

“น่าขันนัก เจ้าคือสตรีที่แต่งเข้าตระกูลข้า อึก…”

“แต่งเข้าแล้วอย่างไร? เจ้าสามารถแตะต้องได้อย่างนั้นเหรอ?”

ซางซูชิงได้ยินพี่ชายส่งเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด จึงรีบตะโกนออกมาด้วยความร้อนใจ “พี่สะใภ้ ต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่าทำให้วุ่นวายเลย!”

“ที่อยู่ด้านนอกคงเป็นน้องซูชิงกระมัง? ครอบครัวเดียวกันจะวุ่นวายไปได้อย่างไร คนที่ก่อความวุ่นวายก็คือพี่ชายเจ้า เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะช่วยอบรมพี่ชายไม่ได้เรื่องคนนี้ของเจ้าแทนเจ้าเอง รับรองว่าต่อไปเขาจะต้องว่านอนสอนง่ายแน่นอน” น้ำเสียงที่เฟิ่งรั่วหนานพูดกับซางซูชิงไม่ถือว่าแย่ เนื่องจากนางรู้ตัวดีว่ารูปโฉมของตนไม่โสภา ทว่าซางซูชิงกลับย่ำแย่กว่านางเสียอีก อย่างน้อยขอเพียงตัวนางเข้มแข้งที่จะเผชิญหน้า นางก็ยังพอจะเปิดเผยใบหน้าของตนออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่ซางซูชิงกลับไม่กล้าเปิดเผยกระทั่งหน้าตาด้วยซ้ำ ได้ยินว่าอัปลักษณ์อย่างยิ่ง ทำให้คนตกใจได้ นางย่อมใจกว้างต่อผู้มีชะตากรรมเดียวกันเป็นธรรมดา ประกอบกับซางซูชิงตกอับระหกระเหินไปทั่ว นางรู้สึกเห็นใจซางซูชิงจากใจจริง เทียบกับซางซูชิงแล้ว ตนนับว่าโชคดีกว่ามากนัก

หยวนกังกลับมาอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า เอ่ยกระซิบข้างหู “คล้องแขนดื่มสุราไปแล้ว เขารับประกันว่าได้ผลแน่นอน เขาคาดการณ์ว่าจะออกฤทธิ์ในอีกไม่ช้านี้…”

ซางซูชิงเดินไปหยุดหน้าประตูห้องหอ เอ่ยกับไป๋เหยา “ผู้อาวุโส ให้ข้าเข้าไปเจรจาดีหรือไม่?”

ไป๋เหยากอดกระบี่ไว้พลางเบี่ยงตัวเปิดทางให้ มิได้ขัดขวาง เขาหวังให้เรื่องวุ่นวายนี้ยุติลงโดยเร็ว หากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับซางเฉาจงจริงๆ เช่นนั้นจะเป็นปัญหาเอาได้ ไม่ว่าจะเป็นทางจวนผู้ว่าการ หรือทางสำนักเขาล้วนแต่ไม่สามารถมอบคำอธิบายให้ทั้งคู่ได้

ทว่าเฟิ่งรั่วหนานที่อยู่ในห้องเอ่ยเตือนทันที “น้องซูชิง อย่าเข้ามาจะดีกว่า ด้านในคือห้องหอ ข้ากับพี่ชายเจ้าประกอบกิจของสามีภรรยาต่างไม่สวมเสื้อผ้ากันทั้งคู่ สาวน้อยแรกรุ่นอย่างเจ้าคงไม่เหมาะจะเข้ามาเห็น”

ซางซูชิงรู้ดีว่านางกำลังพูดปด จึงกล่าวไปว่า“พี่สะใภ้ ข้าจะเข้าไปแค่ครู่เดียว…”

เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยขัดคอ “ข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ตัวข้าเป็นคนประหม่าง่าย หากประหม่าขึ้นมาจะควบคุมมือเท้าตนไม่ได้ หากเจ้าเข้ามา มีความเป็นไปได้สูงที่ข้าจะเผลอเตะเป้าพี่ชายเจ้า ถ้าทำให้ตระกูลเจ้าไม่อาจสืบทายาทได้คงไม่ดีแน่ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ขำแทบไม่ออก เขาพบว่าสตรีนางนี้ช่างดุนัก!

วาจาเช่นนี้คงมีเพียงสาวน้อยวัยแรกรุ่นอย่างเฟิ่งรั่วหนานเท่านั้นที่พูดออกมาได้ ช่วยไม่ได้จริงๆ นางคลุกคลีอยู่ทกับเหล่าบุรุษในกองทัพมาเป็นเวลานาน ได้ฟังเรื่องเหลวไหลจากเหล่าชายฉกรรจ์มามากมาย แถมยังร่วมวงคุยเล่นกับลูกน้องเป็นครั้งคราวด้วย บางครั้งกระทั่งตัวนางเองก็เกือบลืมไปแล้วเช่นกันว่าตนเป็นสตรีคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่รู้สึกกระดากอายอันใดเลยเวลาที่พูดจาเช่นนี้ออกมา หากจะกล่าวว่านางเป็นชายในร่างหญิงก็ไม่เกินไปเลยสักนิด

สรุปคือวันนี้จะต้องเล่นงานซางเฉาจงให้หนัก ช่วงที่ผ่านมานางคับข้องหมองใจนัก ไม่ได้ร้องไห้มาหลายปีแล้ว หลายวันมานี้ร้องไห้ไปไม่น้อย ตอนนี้ตัวต้นเหตุตกอยู่ในมือนางแล้ว อย่าฝันว่านางจะปล่อยตัวเขาไปง่ายๆ เลย นางไหนเลยจะยอมปล่อยให้คนอื่นเข้ามาช่วยซางเฉาจงไปได้ง่ายๆ ไม่มีทาง!

“อื้อ…” ซางเฉาจงครวญครางด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง

ซางซูชิงเอ่ยด้วยความร้อนใจ “พี่สะใภ้ ท่านอย่าวู่วามเลย มีอะไรก็คุยกันดีๆ เถิด”

เฟิ่งรั่วหนานตอบโต้กลับมา “น้องสาว เจ้าไม่เข้าใจหรอก อย่างข้ากับพี่ชายเจ้าเรียกว่าตีเพราะห่วงด่าเพราะรัก เป็นการแสดงความรักไงล่ะ เจ้าอย่ามายุ่งเลย ถ้าไม่อยากให้พี่ชายเจ้าต้องลำบาก ก็ทำตัวว่าง่ายถอยออกไปซะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ”

“ต่ำช้า!” ซางเฉาจงร้องด่า

“เพียะ!” มีเสียงตบปากดังชัดแจ๋วลอยออกมา เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยว่า “ลองพูดพล่อยๆ อีกทีสิ ฟันเจ้าได้ร่วงแน่!”

ไป๋เหยาที่อยู่ข้างประตูได้ยินก็ลอบส่ายหน้า รู้สึกว่าซางเฉาจงหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่งใครไม่แต่ง ดันมาแต่งกับสาวน้อยคนนี้ คงไม่นึกว่าจะลำบากขนาดนี้สินะ?

พอได้ฟังรายงานลับจากหยวนกัง หนิวโหย่วเต้าแอบทอดถอนใจ ด่าซางเฉาจงอยู่ในใจว่าสมน้ำหน้า รู้ดีอยู่แล้วว่าเฟิ่งรั่วหนานมีความสามารถด้านการต่อสู้ อีกทั้งไม่มีความรู้สึกดีต่อเจ้า จะใจร้อนเช่นนั้นไปไย รูปโฉมก็หาได้งดงามไม่ ต้องทำขนาดนั้นเชียวหรือ? อดใจรออีกสักนิดก็คงไม่ลำบากเช่นนี้แล้วหรือเปล่า?

เขาคาดคะเนสถานการณ์ในห้องดูเล็กน้อย หลังจากประมาณการณ์ไว้ในใจแล้ว ก็เปล่งเสียงดังๆ ขึ้นมาว่า “ท่านหญิง พระชายาพูดถูกแล้ว นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรแทรกแซง เรื่องราวในห้องหอ ปล่อยให้พวกเขาจัดการไปเถอะ ไม่เป็นเรื่องใหญ่หรอก พวกเราสมควรทำสิ่งใดก็ไปทำสิ่งนั้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงหันไปมองเขาทันที หลานรั่วถิงที่ขมวดคิ้วอยู่ก็หันมองไปตามเสียงเช่นกัน

น้ำเสียงเบิกบานของเฟิ่งรั่วหนานแว่วมาจากในห้อง “หนิวโหย่วเต้า ในที่สุดจอมโป้ปดอย่างเจ้าก็พูดภาษามนุษย์เป็นแล้ว อนาคตยังอีกยาวไกล วันหลังพวกเราค่อยมาทำความรู้จักกันให้ดีสักหน่อยแล้วกัน”

หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก ทันทีที่เขาอ้าปากพูดอีกฝ่ายก็จำได้แล้วว่าเป็นเสียงเขา ดูเหมือนสตรีนางนี้จะจดจำเขาไว้แล้ว วาจานี้หมายความว่าวันหน้าจะมาคิดบัญชีกระมัง?

“เฮ้อ พระชายา พวกท่านค่อยๆ เสพสุขกันไปเถิด พวกเราไม่รบกวนแล้ว” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ จากนั้นกวักมือเรียกซางซูชิง “ท่านหญิง ไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางซูชิงฉงน จะปล่อยพี่ชายไว้เช่นนี้น่ะหรือ? หากเกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไร?

หนิวโหย่วเต้ากวักมือเรียกนางอีกครั้ง

ซางซูชิงลังเลเล็กน้อย แต่เนื่องจากนางรู้สึกเชื่อใจอย่างไร้สาเหตุ จึงยอมเดินกลับไปจริงๆ

จากนั้นหนิวโหย่วเต้าก็โบกมือให้คนอื่นๆ พลางกล่าวว่า “แยกย้ายกันไปเถอะ สลายตัวซะ คนเขาจะเข้าหอกัน พวกเราจะมารอชมเรื่องครื้นเครงอันใดเล่า” หลักๆ แล้วคือโบกมือไปทางไป๋เหยา แล้วก็เหวินซินและเหวินลี่ “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมาคอยดูแลแล้ว แยกย้ายกันไปเถอะ”

มีเขาคอยเกลี้ยกล่อมอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดทุกคนก็ทยอยออกจากเรือนไป หยวนฟางหดหัวก้มหน้า ตามหลังหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ แววตาเลื่อนลอยเล็กน้อย

เมื่อเห็นทุกคนจากไปแล้ว ไป๋เหยาหันกลับไปเอ่ยกำชับคนในห้องประโยคหนึ่งว่า “รั่วหนาน ข้าจะพูดอีกครั้งนะ รู้ขอบเขตบ้าง!”

เฟิ่งรั่วหนานตอบกลับมา “ท่านอาไป๋ ท่านวางใจเถอะ ถ้าหากเรื่องแค่นี้ข้ายังไม่รู้ขอบเขต แล้วจะคุมทัพออกศึกได้อย่างไร?”

ไป๋เหยาส่ายหน้าถอนหายใจ ไหวกายทะยานขึ้นไป ร่อนลงบนหลังคาเรือนฝั่งตรงข้ามอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง กอดกระบี่เฝ้าคุ้มกันอยู่ภายใต้แสงจันทร์อย่างเงียบๆ

ทว่าผ่านไปได้ไม่นาน พลันมีเสียงโครมครามแว่วออกมาจากห้องหออีกครั้ง คล้ายจะต่อสู้กันอีกแล้ว เพียงแต่การต่อสู้ครั้งนี้กลับใช้เวลาสั้นยิ่งนัก จบลงอย่างรวดเร็ว ไป๋เหยาที่ยืนอยู่บนหลังคาจ้องมองครู่หนึ่ง รออยู่พักใหญ่ก็ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ อีก อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หมดคำพูดกับสาวน้อยคนนี้แล้วจริงๆ…

“เต้าเหยี่ย พี่ชายข้าจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?

หนิวโหย่วเต้าขึ้นมายังหอชมทิวทัศน์สูงสามชั้นหลังหนึ่ง ยืนสองมือไพล่หลังอยู่ริมราวกั้น เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า หลานรั่วถิงและซางซูชิงเดินตามขึ้นมา ซางซูชิงพะวงถึงความปลอดภัยของพี่ชาย อดไม่ได้ที่จะซักถาม

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะพลางเอ่ยว่า “สิ้นใจคาอกสตรี แม้นเป็นผีก็ไม่เสียดาย!”

ซางซูชิงพูดไม่ออก เวลานี้นางร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง อีกฝ่ายยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง คนผู้นี้ช่างจำนรรจาโดยแท้ วลีนี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

หลานรั่วถิงถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ตอนนี้มิใช่เวลามาล้อเล่นกันนะ ท่าทีของเฟิ่งรั่วหนานท่านเองก็เห็นแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่านางจะกระทำเรื่องเลวร้ายอันใดต่อท่านอ๋องหรือเปล่า”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะเกิดเรื่องอันใดได้? นางไม่กล้าสังหารท่านอ๋องหรอก อย่างมากท่านอ๋องก็คงต้องเจ็บตัวบ้างเท่านั้น”

หลานรั่วถิงและซางซูชิงล้วนคิดว่าเขาจะมีความมั่นใจและทำการคาดการณ์อันใดมาแล้วถึงได้กล้าป่าวร้องบอกให้ทุกคนวางใจแยกย้ายกันไปเสีย วุ่นวายกันมานานขนาดนี้กลับพูดออกมาเพียงเท่านี้ หลานรั่วถิงจำต้องเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง “เต้าเหยี่ย การเจ็บตัวก็แบ่งแยกได้หลายอย่าง หากเฟิ่งรั่วหนานลงมือโหดเหี้ยมทำให้ท่านอ๋องพิการไป นั่นมิเท่ากับว่ากว่าจะนึกเสียใจมันก็สายไปแล้วหรอกหรือ?”

“ไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าทั้งๆ ที่หันหลังให้อยู่ เอ่ยเนิบๆ ว่า “ท่านหลาน ท่านไปใคร่ครวญดูดีกว่าหลังจากไปถึงอำเภอชางหลูแล้วควรตั้งหลักกันอย่างไร”

ถามไปก็ไม่ได้คำตอบอะไร ทั้งสองผิดหวังเล็กน้อย สุดท้ายจึงขอตัวลาไป หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่บนหอมองส่งพวเขาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เห็นทั้งสองมุ่งหน้าไปทางเรือนที่ใช้เป็นห้องหออีกครั้ง เขาถอนใจดัง “เฮ้อ” ออกมา จากนั้นทอดสายตามองออกไป แสงจันทร์ส่องสว่างทั่วปฐพี ทำให้คนนึกอยากจะทอดตามองเข้าไปยังส่วนลึกของรัตติกาลอันมืดมิดอย่างอดไม่ได้…

……

“มีด ใครมีมีดบ้าง?”

หยวนฟางที่กลับมาถึงเรือนพำนักของตนเที่ยวสอบถามเหล่าสมณะไปทั่ว ทุกคนไม่ทราบเลยว่าเขาจะเอามีดไปทำอะไร

มีสมณะรูปหนึ่งหยิบมีดสั้นออกมา เอ่ยถามเขา “เจ้าอาวาส อันนี้ใช้ได้หรือไม่?”

ดวงตาของหยวนฟางเป็นประกาย พยักหน้าหงึกๆ “ใช้ได้ๆ” เขานั่งลงใกล้ๆ แสงเทียน ชี้หนวดเคราขาวโพลนบริเวณคางของตนพลางเอ่ยว่า “ช่วยโกนให้ข้าที โกนให้เกลี้ยงเลยนะ…”

…….

ยามที่ท้องนภาปรากฏแสงอุษาขึ้นมาเล็กน้อย เสียงกรีดร้องแหลมเสียดหูเสียงหนึ่งดังทำลายความเงียบสงัดยามรุ่งสาง “ไอ้คนถ่อยลามก!”

เสียงกรีดร้องนั้นแหลมคมประหนึ่งจะสามารถเจาะทะลวงกระดาษกรุหน้าต่างได้ เป็นเสียงของเฟิ่งรั่วหนาน

ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่บนหลังคารอบข้างต่างหันมองทันที หลานรั่วถิงและซางซูชิงที่นอนหลับสัปหงกเฝ้าอยู่นอกเรือนทั้งคืนสะดุ้งตื่นในทันใด

ไป๋เหยาที่เพิ่งหลับตาลงเมื่อรุ่งสางพลันลืมตาขึ้น เคลื่อนกายร่อนลงมาหน้าห้องหอ

เขายังไม่ทันอ้าปากถาม พลันมีเสียงโครมครามดังขึ้นในห้องอีกครั้ง ไป๋เหยาขมวดคิ้ว ทั้งคืนไม่เห็นตีกัน หลงนึกว่าสงบศึกกันแล้ว เหตุใดถึงตีกันอีกแล้วล่ะ?

เสียงกรีดร้องของเฟิ่งรั่วหนานไม่ได้เจาะทะลวงกระดาษกรุหน้าต่าง แต่กลับมีเงาร่างคนลอยเข้ามากระแทกบานหน้าต่างเสียงดังปัง! หน้าต่างถูกระแทกจนเศษไม้หักกระเด็นไปทั่ว

ซางเฉาจงทะลุหน้าต่างออกมา ร่วงลงบนพื้น เขาถูกเฟิ่งรั่วหนานเตะกระเด็นออกมา

ซางเฉาจงที่สองเท้าเปลือยเปล่า ร่างกายท่อนบนไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาในสภาพทุลักทุเล

ปัง! ประตูห้องถูกคนเตะเปิดออก เฟิ่งรั่วหนานที่สองเท้าเปล่าเปลือยเช่นกันพุ่งตัวออกมา ผมสยายรุ่ยร่าย ราวกับหญิงเสียสติ ทว่านางยังดีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็สวมชุดเจ้าสาวสีแดงตัวนั้นไว้ เพียงแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผูกสาบเสื้อให้ดี เผยให้เห็นผิวขาวผ่องรำไรใต้ลำคอ

“รั่วหนาน เกิดอะไรขึ้น?” ไป๋เหยาขวางนางไว้พลางรีบเอ่ยถาม

เฟิ่งรั่วหนานไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น และดูเหมือนจะไม่มีเวลาให้อธิบายด้วย ยื่นมือคว้าด้ามกระบี่ในมือเขา ชักกระบี่ออกจากฝักเสียงดังชิ้ง วิ่งไล่ล่าซางเฉาจงด้วยสองเท้าเปล่าเปลือย ปากก็ตะโกนว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า!”

ซางเฉาจงตื่นตระหนก ตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น สับเท้าวิ่งหนี!

……………………………………………..