เหล่าเณรน้อยเคยได้ยินคำพูดสองแง่สามง่ามของคนตัดฟืนหลังเขาอยู่สองสามหน แต่จำท่อนหลังสามคำนั้นไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ มีเพียงเสี่ยวจิ้งคงเท่านั้นที่จำได้แม่น

เขาเข้าใจความหมายตามตัวอักษร เกี๊ยวก็อร่อยจริงอย่างที่ว่า และเขาก็อยากจะเล่นสนุกกับเจียวเจียวจริงๆ

“คราวหน้าอย่าได้พูดเช่นนี้อีก” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงจริงจัง

“เพราะเหตุใดหรือ” เสี่ยวจิ้งคงถามพลางเบิกตาโพลง

เซียวลิ่วหลังปริปากเอ่ย “เจียวเจียวคงไม่ชอบใจนัก”

พูดจบก็หันไปมองทางห้องครัวโดยพลัน

ไกลขนาดนั้น คงไม่ได้ยินที่เรียกนางเจียวเจียวเมื่อครู่หรอกกระมัง

ยามกู้เจียวยกอาหารออกมาจากห้องครัว ชายสองคนในเรือนต่างก็ตกลงความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันลงตัวแล้ว

เซียวลิ่วหลังชี้ไปที่กู้เจียวแล้วเอ่ยขึ้น “นางเป็นพี่สาวเจ้า พี่สาวแท้ๆ”

เรื่องแบบนี้จะมาพูดเองเออเองคงไม่ได้

อีกอย่างกู้เจียวก็มีน้องชายอยู่แล้วทั้งคน เพิ่มมาอีกคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

เสี่ยวจิ้งคงเข้าใจความสัมพันธ์ในครอบครัวของกู้เจียวแล้ว เขาทอดถอนใจราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย “เช่นนั้นก็ได้ แม้ข้าจะไม่ใช่น้องชายเพียงคนเดียวของนาง แต่ท่านก็ไม่ใช่ชายเดียวของนางเช่นกัน”

เขาตบหน้าออกตัวเอง บ่งบอกว่าตนเป็นหนึ่งในหนุ่มน้อยของเจียวเจียว!

เซียวลิ่วหลัง “…”

เจ้าเณรน้อย เพิ่งมาอยู่บ้านได้วันแรก ก็อวดดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ

เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นหนุ่มน้อยผู้เอาการเอางาน เสี่ยวจิ้งคงจึงช่วยกู้เจียววางชามและตะเกียบ

ความจริงแล้วเณรน้อยในวัดนั้นลำบากกว่าเด็กทั่วไปนัก พวกเขาต้องฝึกลมปราณ เรียนหนังสือ ทั้งยังต้องทำงาน ไม่เคยขาดตกบกพร่องสักเรื่อง เพราะอย่างนั้นอย่าเห็นว่าเขาเป็นแค่เด็กน้อย พอทำการทำงานก็คล่องแคล่วพอตัวอยู่เหมือนกัน

มื้อเย็นวันนี้มีเห็ดป่ากระทะร้อน พริกหวานผัดไข่ น้ำแกงเกอต่าแป้งข้าวโพด และซาลาเปาไส้ผักกาด อันที่จริงครอบครัวก็พอมีเงินทองซื้อเนื้อสัตว์กินตั้งนานแล้ว เพียงแต่วันนี้วุ่นวายนัก จึงไม่ทันได้เข้าอำเภอไปซื้อเนื้อ

เณรน้อยมองอาหารที่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ แววตาผิดหวังนั้นไม่อาจปกปิด “ไม่มีเนื้อหรือ”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเย้ย “เจ้าไม่ใช่พระหรอกหรือ เป็นพระจะกินเนื้อสัตว์ได้อย่างไร”

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเสียงจริงจัง “แต่ข้าลงจากเขาแล้ว ก็ไม่ใช่พระแล้วสิ!”

สายตาของเซียวลิ่วหลังจ้องมองไปที่หัวโล้นของเขา

เสี่ยวจิ้งคงรีบยกมือขึ้นมากุบหัวของตัวเอง “ผม…ผมข้าแค่ยังไม่งอกก็เท่านั้น!”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม “บ้านข้าไม่มีเงินกินเนื้อหรอก”

เสี่ยวจิ้งคงร้องเสียงหลง พลางมองเรือนอันผุพัง จนขนาดนี้เชียวหรือ ท่าทางเหมือนจะจนมากเสียด้วย

“อื้อ” เขาไม่รบเร้าจะกินเนื้ออีกต่อไป ก่อนจะลดฝ่ามือน้อยลงจากศีรษะแล้วคีบผักกิน

อย่างว่าง่าย

เขาไม่ใช่เสี่ยวจิ้งคงที่เลือกกิน เขาเลี้ยงง่ายจะตายไป!

กู้เจียวหัวเราะคิกคัก “พี่เขยเจ้าหยอกเจ้าหรอกน่า วันพรุ่งนี้เจ้าก็ได้กินเนื้อแล้ว”

“ยอดไปเลย!” เสี่ยวจิ้งคงยิ้มด้วยความดีใจ เขาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง ก่อนจะหันหน้าปั้นปึ่งมองไปทางเซียวลิ่วหลัง “พี่เขยนิสัยเสีย!”

อย่าได้ดูถูกกระเพาะของเสี่ยวจิ้งคงเชียว โชคดีที่กู้เจียวทำซาลาเปาไว้มากพอ

หลังจากกินข้าวเสร็จ กู้เจียวก็เก็บชามตะเกียบ เสี่ยวจิ้งคงยืนยันว่าจะล้างชามและตะเกียบของตัวเอง

นี่เป็นความเคยชินที่สั่งสมมาตั้งแต่ยามอยู่ที่วัด เพื่อให้เขารู้จักช่วยเหลือตัวเอง เหล่าศิษย์พี่จึงให้เขาอาบน้ำล้างจานชามเองทั้งหมด

ทว่าเรื่องอาบน้ำนั้นยังต้องมีคนช่วยอยู่บ้าง เพราะว่าเขายังเด็ก สูงยังไม่พ้นอ่างอาบน้ำด้วยซ้ำ

เพียงแต่เรือนหลังนี้ไม่มีอ่างอาบน้ำ มีเพียงอ่างไม้ แต่เขาเด็กขนาดนั้น ถึงจะตวงน้ำไปให้ก็คงตักอาบไม่เป็น

กู้เจียวไม่เคยอาบน้ำให้เด็กมาก่อน จึงรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย

นางยกอ่างเข้าไปในครัว ครัวที่เพิ่งทำอาหารเสร็จ บนเตายังเหลือถ่านที่ยังไม่มอดดี แต่ก็อบอุ่นกว่าในห้องของหญิงชรานัก แถมในหม้อยังมีน้ำร้อนด้วย หากน้ำในอ่างเย็นแล้วก็เติมน้ำร้อนได้ตลอด

กู้เจียวกลับเข้าไปในเรือนเพื่อหยิบเสื้อผ้าให้เสี่ยวจิ้งคง

เสี่ยวจิ้งคงนั่งรอกู้เจียวบนตั่งเตี้ยอย่างว่าง่าย

หารู้ไม่ว่าคนที่เขาเฝ้ารอให้เข้ามานั้นไม่ใช่กู้เจียว แต่เป็นเซียวลิ่งหลัง

หากเทียบกับเซียวลิ่วหลังที่แสนเย็นชาและดูท่าทางไม่ชอบขี้หน้าเขาแล้ว เสี่ยวจิ้งคงย่อมชอบ

กู้เจียวที่ใจดีกับเขาอย่างไร้เงื่อนไขและเอ็นดูกับความน่ารักของเขาอยู่เสมอ

“เฮ้อ” เสี่ยวจิ้งคงทอดถอนใจ

ผิดหวังชะมัด

เซียวลิ่วหลัง “…”

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลานอนของเสี่ยวจิ้งคงแล้ว

ในเรือนมีทั้งหมดสามห้อง ไม่มีห้องเหลือสำหรับเขา กู้เจียวคิดว่าเขาตัวเล็กนิดเดียว หากจะนอนเบียดกันสักหน่อยก็คงไม่เป็นปัญหา

แต่ห้องของหญิงชรานั้นอุ่นที่สุด จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับแรก

“เจ้าไปนอนกับท่านย่าเถิด” กู้เจียวยื่นหมอนใบเล็กให้เขา

เสี่ยวจิ้งคงกอดหมอนเดินมาถึงห้องของหญิงชรา เขาไม่ได้เข้าไปในทันทีแต่กลับยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะสำรวจอย่างจริงจังแล้วเอ่ยขึ้น “หากท่านตกลงว่าจะแบ่งผลไม้เชื่อมที่ซ่อนไว้ให้ข้าครึ่งหนึ่ง ข้าจะยอมนอนกับท่าน”

หญิงชราไม่พูดพร่ำทำเพลง ปิดประตูดังโครมในทันใด!

เสี่ยวจิ้งคงเดินกอดหมอนกลับเข้ามาในห้องของกู้เจียว “ท่านย่าไม่ยอมให้ข้านอนด้วย”

พอนึกถึงอารมณ์แปรปวนของหญิงชรา บวกกันเสียงปิดประตูดังลั่นเมื่อครู่ กู้เจียวจึงไม่ได้สงสัยเขาเลยสักนิด ก่อนจะเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้านอนกับข้าก็แล้วกัน”

“ยอดเลย!” เสี่ยวจิ้งคงยิ้มร่า เขาวางหมอนลงก่อนก้าวขาป้อมขึ้นบนเตียง ทว่าก้าวขึ้นไปได้แค่ข้างเดียวก็ถูกงเซียวลิ่วหลังหิ้วปีกขึ้นมา

เซียวลิ่วหลัง “เจ้ามานอนกับข้า”

เสี่ยวจิ้งคง “ข้าไม่อยากกับนอนกับท่าน”

เซียวลิ่วหลัง “ไม่หรอก เจ้าอยาก”

เสี่ยวจิ้งคงถูกเซียวลิ่วหลังอุ้มลอยกลับห้องไป

เตียงของเซียวลิ่วหลังไม่ได้ใหญ่เท่าของกู้เจียว แต่ก็ไม่ได้เล็ก ยังกว้างพอสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กอีกหนึ่งคน เพียงแต่เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้นอนชิดริมอีกฝั่งหนึ่งอย่างที่ควรจะเป็น แต่เขากลับนอนแผ่หรากางแขนกางของกลางเตียง

เซียวลิ่วหลังวางไม้เท้าลง เรียวคิ้วขมวดแน่น “นอนดีๆ”

เสี่ยวจิ้งคงกลิ้งไปมาบนเตียง “ไม่”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “หากยังทำเช่นนี้อีก ข้าจับเจ้าโยนลงมา ไม่ให้เจ้านอนที่นี่แล้ว”

เสี่ยวจิ้งคงกำลังจะอ้าปากพูด

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ประตูห้องลงกลอนแล้ว ไม่ให้เจ้าไปหรอก”

เมื่อไร้ทางหนีทีไล่ เสี่ยวจิ้งคงจึงได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัด

เซียวลิ่วหลังเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ย “ทางที่ดีเจ้าควรจะเชื่อฟังสักหน่อย บางทีข้าอาจจะยอมให้เจ้านอนเบียดด้วย”

เสี่ยวจิ้งคงตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพลิกตัวขึ้นนั่ง “ข้าควรเป็นคนพูดคำนั้นถึงจะถูก เจียวเจียวบอกว่า ข้าก็เป็นคนในบ้านคนหนึ่งเหมือนกัน! เพราะอย่างนั้นข้าต่างหากที่ต้องเป็นคนยอมให้ท่านนอนเบียดด้วย!”

ประโยคแรกนั้นเซียวลิ่วหลังพอจะเข้าใจ แต่สองประโยคหลังนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่

เขาเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ายอมให้ข้านอนเบียดงั้นหรือ หมายความว่าอย่างไร”

เสี่ยวจิ้งคงเท้าสะเอวมองเขา “ข้าก็เป็นคนในบ้านเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นห้องในเรือนนี้ก็มีส่วนของข้าเช่นกัน! ท่านกับเจียวเจียวแต่งงานกันแล้ว พวกท่านก็ควรนอนห้องเดียวกัน ห้องนั้นต่างหากที่เป็นของท่าน! ส่วนห้องนี้ก็เป็นของข้า! เจียวเจียวไม่ยอมให้ท่านนอนด้วย ตอนนี้ข้าต่างหากที่รับเลี้ยงท่าน!”

เซียวลิ่วหลัง ‘ไม่รู้จะเถียงเช่นไรจริงๆ …’

เด็กน้อยไม่ใช่คนที่จะตัดสินด้วยเหตุผลได้ วินาทีก่อนหน้ายังเป็นเสี่ยวจิ้งคงที่ต่อปากต่อคำกับเซียวลิ่วหลังไม่หยุด พริบตาเดียวก็หลับพริ้มน้ำลายไหลย้อยบนหมอนไปแล้ว

เซียวลิ่วหลังรักความสงบ ย่อมยังไม่คุ้นชินกับเจ้าตัวน้อยที่เจื้อยแจ้วได้ตลอดทั้งคืนเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้จับอีกคนโยนออกไปข้างนอกจริงอย่างที่พูด

เขาอุ้มเสี่ยวจิ้งคงลงจากหมอน ก่อนจะสอดตัวให้นอนให้ผ้าห่ม

เซียวลิ่วหลังมองเจ้าตัวแสบที่แย่งความสนใจจากเขาไป เพราะการมาถึงของอีกฝ่าย ทุกคนจึงลืมว่าเขานั้นสอบได้ที่หนึ่งของอำเภอ

แม้เขาไม่ได้สอบได้ที่หนึ่งจะได้รับคำชมเชย แต่ในใจกลับรู้สึกวูบโหวงเล็กน้อย ราวกับว่า…ขาดอะไรบางอย่างไป

แครก…

ประตูถูกเปิดแง้มออก กู้เจียวยืนชิดกรอบประตูก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “หลับแล้วหรือ”

“ยังหรอก” เซียวลิ่วหลังพูดจบก็นิ่งไป พลางมองเสี่ยวจิ้งคงที่กำลังนอนฝันหวาน “เขาหลับไปแล้ว”

“เช่นนั้นข้าขอเข้าไปนะ” กู้เจียวเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า ในมือถือตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่ง “ข้าเห็นว่าน้ำมันตะเกียงเจ้าใกล้จะหมดแล้ว คืนนี้ใช้ของเข้าก็แล้วกัน”

“อืม” เซียวลิ่วหลังนั่งลงบนขอบเตียง ขานตอบเสียงเรียบ

กู้เจียววางตะเกียงน้ำมันไว้บนโต๊ะของเขา “คือว่า…ยังไม่ได้ยินดีกับเข้าที่สอบได้ที่หนึ่งเลย”

เปลือกตาของเซียวลิ่วหลังค่อยๆ เลิกขึ้น

“ให้เจ้า” กู้เจียวยื่นของสิ่งหนึ่งให้กับเขา

“อะไรหรือ” เซียวลิ่วหลังถาม

กู้เจียวยิ้มบาง “เจ้าก้าวหน้าขนาดนี้ รางวัลให้เจ้าอย่างไรเล่า”

เซียวลิ่วหลังผินหน้าหนี “ข้าไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย จะให้รางวัลทำไม”

แม้จะพูดอย่างนั้น แต่เขาก็ยื่นมือออกไปรับ นั่นเป็นถุงบุหงาที่กู้เจียวทำเองกับมือ ภายในมีดอกไม้แห้งที่ช่วยให้หลับง่ายขึ้น ดอกไม้แห้งเหล่านั้นนางเป็นคนทำเองเช่นกัน

กู้เจียวเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พกถุงบุหงาติดตัวไว้ เจ้าก็จะหลับสบายแล้ว”

“เจ้า…” เซียวลิ่วหลังอยากถามว่านางรู้ได้อย่างไรว่าเขานอนหลับยาก

กู้เจียวเดาออกว่าเขาจะถามว่าอะไร จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าลืมไปแล้วหรือ เราเคยนอนด้วยกันแล้วนะ”

เซียวลิ่วหลังคิ้วกระตุก ทว่าสีหน้ากลับยังคงเรียบเฉย

กู้เจียวตั้งใจว่าจะกลับห้อง ทว่าพอเดินไปได้เพียงก้าวเดียวก็พลันหันหลังกลับมา ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้พลางเอ่ยกระซิบข้างหูด้วยท่าทางอ้อยอิ่ง “เมื่อครู่…เจ้าเรียกข้าว่าเจียวเจียวหรือ”