บทที่ 22 ขั้นกลั่นลมปราณขั้นที่หกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบห้า

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 22 ขั้นกลั่นลมปราณขั้นที่หกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบห้า

เมื่อประตูเปิดออก ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูก็เห็นไป๋ชิวหรานเดินออกมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย เขาไม่สังเกตเห็นกลุ่มคนที่รอคอยอยู่ด้วยซ้ำ แต่กลับเดินช้า ๆ ราวศพเคลื่อนที่ไปยังบริเวณริมหน้าผาที่ปริแตกเป็นซากปรักหักพัง ชายหนุ่มหยิบก้อนหินแหลมคมขึ้นมาจากพื้นและวาดลงบนกำแพงที่มีรอยด่างพร้อย

จากนั้นไป๋ชิวหรานก็โยนก้อนหินทิ้งไป ก่อนเดินไปนั่งบนหินก้อนใหญ่ที่ด้านข้างของขอบหน้าผา ทอดสายตามองไกลไปที่กลุ่มเมฆสีขาวบนท้องฟ้า

“ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์ลุงจะล้มเหลวอีกหนหนึ่งแล้ว” เมื่อสังเกตเห็นแววตาสงสัยใคร่รู้ของถังรั่วเวย ผู้อาวุโสหกชิงอวิ๋นจึงอธิบาย “ที่แห่งนั้นเดิมทีเป็นที่ตั้งของหอคอยปราบมาร หลายปีก่อนมีภูตมารปีศาจถือกำเนิดขึ้นมากมาย ศิษย์สำนักกระบี่ต่างลงเขาไปกำจัดมาร ทว่ามารบางตนมีจิตแข็งแกร่งยากที่จะกำจัด ศิษย์ทั้งหลายจึงจับดวงจิตของพวกมันขังไว้ในหอคอยปราบมารนี้ ให้เหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่ทำการกลั่นกรองและกำจัดด้วยตนเอง ต่อมาท่านอาจารย์ลุงได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ ทุกครั้งที่เขาบรรลุไปอีกหนึ่งระดับ เขาจะทำสัญลักษณ์บนกำแพงหอคอยนั้นเสมอ”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” ถังรั่วเวยเอ่ยถาม

“หลังจากนั้นหอคอยก็พังทลายลงตามกาลเวลา” ผู้อาวุโสหกเผยรอยยิ้มอย่างจนปัญญา “แต่จนถึงทุกวันนี้ ท่านอาจารย์ลุงยังคงยึดติดความเคยชินเช่นเดิม บนกำแพงที่แตกหักแล้วยังมีร่องรอยที่เขาสลักไว้อยู่”

“ในเมื่อหอคอยล้มลง เช่นนั้นวิญญาณของพวกมารปีศาจในหอคอยจะไม่หลบหนีออกไปหรอกหรือ?” ถังรั่วเวยเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“ไม่หรอก” ชิงอวิ๋นมองไปที่ไป๋ชิวหรานผู้กำลังเหม่อลอยอย่างระแวดระวัง ก่อนกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “วันนั้นท่านอาจารย์ลุงเกิดโทสะ ทำให้พวกมันที่พยายามมุดหนีออกมาจากช่องลมล้มตายอย่างอนาถ”

ถังรั่วเวยแลบลิ้นเหมือนจะอาเจียนออกมา ขณะเดียวกันนั้นเอง หลังจากไป๋ชิวหรานออกจากการเก็บตัว เหล่าผู้อาวุโสสำนักกระบี่หลายคนจึงหันมองหน้ากัน เมื่อผลักไสกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็ถูกใครสักคนใช้ขาถีบให้เซถลาออกจากแถวไปตรงหน้า

เขายกมือกุมบั้นท้ายก่อนหันขวับไปจ้องเขม็งศิษย์น้องของตนด้วยสายตาอาฆาต เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเข้าไปใกล้ไป๋ชิวหรานอย่างระมัดระวัง

“ท่านลุง ท่านอาจารย์ลุง” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อฉีกยิ้มประจบทันที “ท่านออกจากการเก็บตัวฝึกตนเสียที”

“อืม” ไป๋ชิวหรานเกียจคร้านแม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง “เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด?”

“ข้าขอต้อนรับท่านอาจารย์ลุงออกจากการเก็บตัวในครั้งนี้” ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตำหนักใหญ่ส่วนตัว น้ำเสียงของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋ชิวหรานเข้าจริงก็เริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“มีสิ่งใดให้ควรค่าแก่การต้อนรับ?” ไป๋ชิวหรานตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ แววตาเลื่อนลอยราวตายตกไปแล้ว

เมื่อต้องจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของไป๋ชิวหราน ความทรงจำที่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเกือบหลงลืมไปเมื่อหลายปีก่อนก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งราวกับเมฆหมอกเบาบาง เงามืดที่ฝังแน่นอยู่ภายจิตใจเช่นนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นผสานร่างอย่างเขาก็ยังอดรู้สึกอ่อนไหวไม่ได้ ข้อบกพร่องบางอย่างก่อตัวขึ้นในสภาวะจิตใจของเขาในชั่วพริบตา

ท่ามกลางความตื่นตระหนกและสับสน ทำให้เขาเผลอเอ่ยถึงประโยคที่ไม่ควรหลุดออกมาจากปากด้วยซ้ำ

“ข้าขอแสดงความยินดีกับท่านอาจารย์ลุงที่สามารถบรรลุการฝึกตนไปได้อีกหนึ่งระดับ ความแข็งแกร่งของท่านเพิ่มขึ้นอีกขั้นแล้ว ขอให้ท่านอาจารย์ลุงคงอยู่ค้ำแผ่นฟ้า อายุยืนหมื่นหมื่นปี”

‘โธ่เว้ย! นี่ข้าพูดพล่ามอันใดกัน?!’

ทันทีที่เขากล่าวจบ เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็เม้มริมฝีปากแน่นสนิทฉับพลัน หัวใจทั้งดวงเย็นเฉียบ

“ฮึ่ม!”

เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ ทันทีที่ได้ยินคำพูดจากปากเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ไป๋ชิวหรานก็หันหน้ากลับมา ดวงตาทั้งคู่ของเขาทอประกายสีแดงกล้าดุจโลหิตอย่างโหดร้าย

“ไอ้หนู! เจ้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักมาหลายร้อยปี บัดนี้ปีกของเจ้าคงกล้าแข็ง บินทะยานขึ้นสูงพอตัวแล้วสินะ!” ไป๋ชิวหรานแค่นเสียงคำรามพลางกำหมัดแน่นกระทั่งเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

“ผู้ฝึกตนเช่นเจ้าควรควบคุมฌานให้มั่นคง เพื่อป้องกันความหยิ่งยโสและใจร้อนไม่ทันคิดคำนึง วันนี้เห็นทีอาจารย์ลุงคงต้องสั่งสอนเจ้าให้ทบทวนความจริงข้อนี้ให้ดี!”

“ทะ…ท่านอาจารย์ลุง! โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”

ยอดเขาชีซิงที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาชิงหมิงจึงเกิดการต่อสู้ทางวิชายุทธ์ขึ้น เจ้าสำนักกระบี่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อได้แต่เปล่งร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช

“เฮ้อ การตัดสินใจของศิษย์น้องสามนับว่าถูกต้องแล้ว” ผู้อาวุโสสองเงยหน้ามองเจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่ถูกแขวนห้อยอยู่บนต้นไม้ทั้งที่ใบหน้าบวมช้ำ พลางกล่าวกับผู้อาวุโสสามที่มีสีหน้ากระวนกระวายใจ

“เวลาเช่นนี้ควรให้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นผู้เปิดหัวข้อการสนทนาแท้ ๆ”

“ข้าไม่ขอข้องเกี่ยวใด ๆ ทั้งสิ้น” ผู้อาวุโสสามโบกมือ “ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า ‘หากผู้ใดเห็นด้วยก็ให้ล่วงหน้าไปก่อน’ พวกเจ้าต่างถีบศิษย์พี่ใหญ่ออกไปรับเคราะห์แทน ทว่าข้าไม่ได้แตะต้องเขาเลยด้วยซ้ำ”

“ศิษย์พี่สามรังแต่จะหลีกเลี่ยงความยุ่งเหยิงไปเสียทุกครั้ง” ผู้อาวุโสสี่กล่าวอย่างเนิบช้า “พวกเราทั้งเจ็ดคนมาถึงที่นี่พร้อมกัน หากมีสิ่งใดย่อมต้องออกรับด้วยกันจึงจะเหมาะสม”

“เฮ้อ หยุดพูดพล่ามเสียที” ผู้อาวุโสเจ็ดหลิวอวิ๋นซึ่งมีอายุน้อยที่สุดกล่าวเตือนเขา “ท่านอาจารย์ลุงมาแล้ว”

ทุกคนเงยหน้าขึ้นและพบว่าไป๋ชิวหรานที่จัดการกับเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเสร็จสิ้นกระบวนแล้วกำลังเดินมาทางพวกเขา ชายหนุ่มเรือนผมสีขาว คิ้วสีขาว ระบายอารมณ์โทสะลงกับผู้น้อยที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ยามนี้ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเขาจะดีขึ้นแล้ว ชายหนุ่มปัดฝ่ามือพร้อมสาวเท้าเดินเข้ามา

“ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้า วันนี้พวกเจ้าแห่มาที่นี่กันด้วยเหตุใด?” ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม “ช่างเจ้าสวะเจวี๋ยอวิ๋นจื่อนั่นเถอะ เหล่าผู้อาวุโสอย่างพวกเจ้าไม่มีเรื่องภายในสำนักให้จัดการหรืออย่างไร? ถึงได้สละเวลามาดูแลชายชราผู้โดดเดี่ยวเช่นข้า?”

“ท่านอาจารย์ลุง” ผู้อาวุโสสองเอ่ยขึ้น “แท้จริงแล้วเรื่องเป็นเช่นนี้ สำนักของพวกเรารับศิษย์เข้ามาใหม่ นางสามารถกล่าวชื่อแซ่ของท่านได้ถูกต้องจึงต้องการเข้าพบท่าน”

“มาพบข้าอย่างนั้นรึ?” ไป๋ชิวหรานตะลึงงัน “ผู้ใดกัน?”

“นางอยู่ที่นี่แล้ว” ผู้อาวุโสหกชิงอวิ๋นจูงถังรั่วเวยให้เดินเข้ามาสมทบกับเหล่าผู้อาวุโส

“เอ่อ…อืม…ว่าไง” ใบหน้าของถังรั่วเวยซับสีแดงเรื่อเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับไป๋ชิวหรานด้วยสถานะใหม่อย่างไรดี แววตาของนางวูบไหว ขณะยกมือขึ้นโบกทักทายไป๋ชิวหรานอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

“พวกเราพบกันอีกครั้งแล้ว”

“เอ๊ะ?” ไป๋ชิวหรานเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน “แม่นางถัง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

ถังรั่วเวยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางก้มหน้าใช้นิ้วม้วนเล่นปอยผมสลวยบนไหล่ตนเองพร้อมอธิบายเสียงแผ่วเบา

“ข้าได้ยินเรื่องราวจากท่านมหาราชครูว่าเจ้ามาจากสำนักกระบี่ จากนั้นข้าก็รับรู้เรื่องราวที่เล่าลือกันในเมืองเสวียนเจี้ยน ว่าการคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักของสำนักกระบี่ที่มักจัดขึ้นทุกยี่สิบปี ถูกเลื่อนออกไปหลายเดือนเนื่องจากอุบัติเหตุบางอย่าง ดังนั้นข้าจึงเดินทางออกจากเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือก”

“แล้วพระบิดาของเจ้าทรงเห็นด้วยหรือไม่?” ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามต่อไป “ถึงอย่างไรเจ้าก็มีฐานะเป็นถึงองค์หญิงแห่งรัฐซ่างเสวียน เจ้าพึงรู้ไว้ว่าทันทีที่เจ้าย่างก้าวเข้ามาในสำนักกระบี่แล้ว นับแต่นี้ไปโลกมนุษย์จะไม่มีผลผูกพันใด ๆ กับเจ้าอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วราชบิดาของเจ้าจะยินดีตัดใจจากเจ้าหรือ?”

“เหตุใดจะไม่ได้…กว่าเสด็จพ่อจะล่วงรู้ว่าข้าได้เป็นศิษย์สำนักกระบี่ ก็สายเกินกว่าที่พระองค์จะทรงทัดทานเสียแล้ว” ถังรั่วเวยเอ่ยตอบ “ถึงอย่างไรพระองค์ก็ทรงมีพระโอรสคนโตที่ประสูติกับพระสนมเอก ต่อให้ข้าเติบโตขึ้นก็เป็นเพียงเครื่องมือที่พระองค์จะทรงใช้เพื่อเสกสมรสทางการเมืองเท่านั้น แทนที่จะให้ข้าต้องแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับรัฐอื่น หรือดึงข้าให้ถ่วงดุลกับอำนาจขุนนางภายใน มิสู้ยินยอมให้ข้ามาที่สำนักกระบี่ดีกว่าหรือ? ไม่แน่ว่าข้าอาจจะได้รับลิขิตสวรรค์ที่เหนือชั้นกว่าการเป็นเชื้อพระวงศ์ก็เป็นได้”

“เช่นนั้นเรายังต้องพูดคุยกันถึงอีกเรื่องหนึ่ง อย่าได้หุนหันพลันแล่นจนเกินไป” สีหน้าของไป๋ชิวหรานแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ความปรารถนาที่แท้จริงของเจ้าเล่า? เจ้ายอมสละทิ้งชีวิตสุขสบายขององค์หญิงที่ไม่ขาดแคลนแม้แต่อาภรณ์หรืออาหารเลิศรสเพื่อขึ้นมาหาข้าบนยอดเขาแห่งนี้ด้วยเหตุใด?”

กล่าวมาถึงขั้นนี้ ไป๋ชิวหรานก็เกิดความระแวดระวังในใจ ถึงแม้เขาจะช่วยชีวิตถังรั่วเวยไว้ แต่ในฐานะชายหนุ่มผู้ครองพรหมจารีมานานกว่าสามพันปี ผนวกกับการเป็นผู้ฝึกตนมาทั้งชีวิต เสน่ห์เฉกเช่นชายชาตรีทั่วไปย่อมอยู่ในสภาวะด้อยกว่า เขาไม่คิดว่าภายในไม่กี่วันถังรั่วเวยจะตกหลุมรักเขาจนยอมละทิ้งแม้แต่ฐานันดรศักดิ์เพื่อรับการทดสอบจนผ่านเข้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่

จากนั้นเขาก็นึกภาพครั้งสุดท้ายก่อนที่ตนเองจะลาจากนางมาอย่างไม่ดีเท่าไรนัก ด้วยเพราะเขากล่าวถึงเรื่องเพศสภาพจนทำให้นางโกรธเป็นฟืนไฟ

ครั้งนี้นางคงไม่ได้ตามมาล้างแค้นข้าหรอกใช่หรือไม่?

ไป๋ชิวหรานรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แม้ว่าเขาไม่เกรงกลัวถังรั่วเวย แต่การได้รับรู้ว่าตนถูกผู้อื่นคำนึงถึงเช่นนี้ อันที่จริงแล้วเขาเองก็รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย

“แน่นอน ข้ายืนหยัดอยู่ที่นี่ก็เพื่อเจ้า” เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ หลังจากได้ยินคำถามของไป๋ชิวหราน ถังรั่วเวยก็เผยรอยยิ้มสดใสออกมา

ไป๋ชิวหรานคุ้นเคยกับรอยยิ้มนั้นเป็นอย่างดี เพราะในวันที่นางชักกระบี่ออกมาฟาดฟันคน ใบหน้าฉายชัดซึ่งความอ่อนโยนไม่ต่างกัน

คิดเช่นนั้นแล้วไป๋ชิวหรานจึงก้าวถอยหลังและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่นางถัง โปรดระวังตัวไว้ให้ดี”

“หา?” ถังรั่วเวยมองหน้าเขาด้วยสีหน้างุนงง

“ข้ารู้ว่าที่เจ้ามาพบข้า นั่นเป็นเพราะเจ้าโกรธที่ข้ากล่าวถึงข้อบกพร่องทางร่างกายของเจ้าในวันนั้น ข้าต้องขออภัยสำหรับเรื่องนั้น ข้าเพียงสงสัยใคร่รู้ ไม่มีเจตนาจะแทะโลมแต่อย่างใด” ไป๋ชิวหรานพูดพลางพับแขนเสื้อขึ้น

“แต่หากเจ้าต้องการที่จะลงมือ ข้าก็ไม่ขัดศรัทธา ไป๋ชิวหรานผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาเชือดเฉือนได้โดยง่าย ฉะนั้นเจ้าอย่าได้บีบบังคับข้า!”