บทที่ 19 เปล

เหยาเล่ย เป็นคนที่ซื่อสัตย์ที่สุดในหมู่บ้านตระกูลเหยา เขาอายุมากกว่าเหยาซูสองปี ทว่าเหยาซูกลับเป็นแม่ลูกสามไปแล้ว ตัวเขายังไม่ได้แม้แต่แต่งงาน แต่ถูกลากไปลากมาเพราะสถานการณ์ภายในบ้าน

“อาการป่วยของท่านพ่อข้ายังคงเหมือนเดิม ตอนนี้น้องสาวก็โตขึ้นมาก ท่านแม่ของข้าเองคิดว่าปลายปีจะให้นางแต่งงาน”

หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง เหยาเฟิงก็หยิบเงินออกมาหนึ่งตำลึงและยัดมันเข้าไปในเสื้อของชายหนุ่ม “วันก่อนข้าได้ตกลงกับท่านปู่สามแล้วว่ากล่องขัดมันหนึ่งร้อยกล่อง รวมเป็นเงินหนึ่งตําลึง ซึ่งสมควรมอบให้เจ้า”

เหยาเล่ยกำลังแบกกล่องใบใหญ่ไว้บนไหล่ของเขา จึงไม่มีมือเหลือจะปฏิเสธ เขาส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พี่เฟิงท่านกำลังทำอะไร! ท่านปู่สามได้จ่ายเงินค่าแรงให้กับข้าแล้ว เอามันคืนไปเถอะ!”

เหยาเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “ของท่านปู่สามก็ของท่านปู่สาม แต่นี่เป็นส่วนของเจ้า!”

เหยาเล่ยยังคงยืนกราน “หลายปีมานี้พี่เฟิงช่วยเหลือข้ามาไม่น้อย ตราบใดที่ท่านปู่สามมีงาน เขาก็เรียกข้ามาทำด้วย ดังนั้นพี่เฟิงเอาเงินคืนไปเถิด ข้าไม่ต้องการจริง ๆ”

เหยาซูได้ยินทั้งสองคุยกันอยู่ตลอด เมื่อเห็นดังนั้นนางจึงพูดกับเหยาเล่ยว่า “พี่เล่ยเก็บมันไว้เถิด พวกเรายังมีเรื่องอีกมากที่ต้องรบกวนท่าน!”

เหยาเล่ยไม่เข้าใจ “อาซู เจ้าหมายความว่า…”

เหยาซูไม่รอให้เหยาเล่ยพูดจบ หญิงสาวอมยิ้มและพูดต่อว่า “พี่เล่ย พี่ทำ ‘เปล’ ได้หรือเปล่า?”

เหยาเล่ยตกตะลึง “เปล คืออะไร?”

เหยาซูยิ้มและกล่าวว่า “ซานเป่าของข้าพึ่งอายุได้ร้อยกว่าวัน ข้าอยากทำเตียงเล็ก ๆ ให้ลูก มันมีรูปร่างคล้ายตะกร้า สามารถวางเขาเอาไว้แล้วแกว่งไกวเพื่อกล่อมให้เขาหลับ”

เหยาเล่ยมองไปที่ร่างเล็ก ๆ และใบหน้าที่งดงามของเหยาซู พลันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางเป็นมารดาแล้ว

น้ำเสียงของเขาค่อนข้างคลุมเครือ ไม่มีใครสามารถได้ยินยกเว้นตัวเอง “ข้าสามารถทำได้”

เหยาซูกล่าวด้วยความยินดี “ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปวาดรูป พี่เล่ยทำตามแบบภาพวาดก็พอแล้ว”

…..

เมื่อเหยาซูกลับมาถึงบ้าน นางใช้เวลาในการวาดภาพเปลแล้วฝากให้เหยาเฟิงนำไปให้เหยาเล่ย

จากนั้นหญิงสาวก็ยุ่งอยู่กับการนำชาดใส่กล่อง และทิ้งเรื่องเปลไว้เบื้องหลัง

พี่สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยามักจะเดินไปห้องปีกตะวันออกเพื่อคอยช่วยเหลือเหยาซู

หลังจากทั้งสามทำงานมาได้สองวัน ในที่สุดพวกนางก็สามารถเก็บชาดทาหน้าทั้งหมดที่ตากไว้เรียบร้อย!

“67 68 69…”

พี่สะใภ้ใหญ่นับไปพลางวางกล่องชาดทาหน้าอย่างเป็นระเบียบ

หลายวันมานี้ห้องปีกตะวันออกล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมันชักเงา ทำให้นางกลัวว่าเด็กจะสูดดมมากเกินไป

เหยาซูจึงส่งซานเป่าไปยังห้องหลักของมารดาเพื่อช่วยดูแลสักวันสองวัน

เมื่อครู่นางพึ่งไปเยี่ยมลูก พอกลับมาก็เห็นพี่สะใภ้ทั้งสองคนกำลังเก็บกวาดห้องจนสะอาดสะอ้าน และกำลังนับกล่องอยู่

พลันใดนั้นเหยาซูรู้สึกตื้นตันในใจ “พี่สะใภ้ ท่านนับได้เท่าไหร่แล้วหรือ?”

พี่สะใภ้ใหญ่ยกกล่องสุดท้ายลงแล้วเงยหน้าพูดขึ้นว่า “74 กล่อง”

“บวกกับกล่องที่แกะสลักอีก 40 กล่อง” พี่สะใภ้รองรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “อาซู เราทำได้ทั้งหมด 114 กล่อง!”

มีโต๊ะเล็ก ๆ วางอยู่ตรงหน้าต่างห้องฝั่งตะวันออก ตอนนี้บนโต๊ะมีแต่กล่องชาดทาหน้าวางอยู่ แต่ละกล่องมีรูปร่างขนาดเท่ากัน แสงแดดยามบ่ายส่องเข้ามาในห้อง สาดส่องลงบนกล่องชาดที่เรียงรายกันอยู่ สะท้อนให้เห็นแสงระยิบระยับออกมา

เหยาซูก้มหน้าคำนวณ จากนั้นยิ้มและกล่าวว่า “ใส่ชาดไว้ในกล่องที่แกะสลักก่อน ส่วนที่เหลืออีก 74 กล่อง หากคำนวณจากราคากล่องแล้วกล่องละ 500 เหรียญ พวกเราจะสามารถหาเงินได้ 38 ตำลึง!”

เมื่อพี่สะใภ้รองได้ยินคำพูดนี้ นางก็หัวเราะออกมา “38 ตำลึง! พี่สะใภ้ใหญ่ 38 ตำลึง ร้านขายเสื้อผ้าของพี่หาเงิน 38 ตำลึงต้องใช้เวลานานเท่าไร?”

พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองแต่งเข้าตระกูลเหยาเกือบจะพร้อม ๆ กัน พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ค่อยได้เห็นน้องสะใภ้รองและน้องเล็กมีชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อน นางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าต้องใช้เวลาเดือนกว่าจึงจะหาเงินได้มากมายเช่นนี้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในร้านก็ไม่น้อยเลย…”

ทั้งสามคนพูดคุยเกี่ยวกับกิจการของตัวเอง ที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

เหยาซูถามพี่สะใภ้ทั้งสองว่า “ข้าเห็นว่าราคาที่ขายในตลาดส่วนใหญ่อยู่ประมาณ 200 – 300 เหรียญ พี่สะใภ้ใหญ่พี่สะใภ้รอง พวกท่านเติบโตมาในเมืองตั้งแต่เด็ก น่าจะรู้กว่าข้าว่าหากราคาที่ขายในตลาดขาย 500 เหรียญจะมีคนซื้อหรือไม่?”

หลายวันมานี้ที่พวกนางทั้งสามช่วยกันเก็บชาดทาแก้มลงในกล่อง ทำให้พี่สะใภ้ทั้งสองได้ค้นพบว่าชาดที่น้องเล็กทำนั้นบริสุทธิ์และเข้มข้นกว่า แม้แต่ผงก็ละเอียดกว่ามาก ตอนนี้มันถูกบรรจุในกล่องที่วิจิตรบรรจง หากจะบอกว่าชาดทาแก้มนี้ถูกส่งมาจากเมืองหลวงก็ต้องมีคนเชื่ออย่างแน่นอน

ทั้งสองพยักหน้าอย่างมั่นใจ “หากขายในเมืองย่อมขายดีอยู่แล้ว ไม่เพียงของของเราจะเป็นของดี แต่ยังมีประโยชน์ จะต้องขายได้อย่างรวดเร็วแน่นอน!”

จากนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ก็ถามต่อว่า “อาซู เจ้ากำหนดราคาเท่าไหร่สำหรับกล่องที่แกะสลักเหล่านี้ล่ะ?”

เหยาซูยิ้ม “10 ตำลึงต่อกล่อง”

พี่สะใภ้ทั้งสองสูดลมหายใจเข้าลึก “10 ตำลึง?!”

ทั้งสองเบิกตากว้างมองหน้ากัน หันไปมองเหยาซูอีกครั้งจนพูดไม่ออก พวกนางรู้สึกว่ากล่องแกะสลักมันดูดีจริง ๆ ต่อให้แพงกว่านี้ก็อยากจะซื้อ ทว่าชาดทาหน้าธรรมดาขาย 10 ตําลึงจะแพงเกินไปหรือไม่?

“คือ… 10 ตําลึงไม่แพงเกินไปหรือ?”

เหยาซูไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นางเพียงยิ้มแล้วกล่าวออกมาว่า “หากข้าเอาไปขายในอำเภอหรือขายให้ญาติพี่น้องตระกูลขุนนางชั้นสูงเหล่านั้น ยังคิดว่าแพงอยู่หรือไม่?”

พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองต่างพูดไม่ออก

“พี่สะใภ้วางใจเถอะ” เหยาซูหยิบกล่องขึ้นมาพลิกดูแล้วชี้ไปที่อักษร ‘เหยา’ ที่ด้านล่างแล้วพูดอย่างมั่นใจ “ชาดทาหน้าของบ้านเรานั้นแตกต่างจากที่อื่น ข้ามีวิธีขายมัน รับประกันได้ว่าเราได้กำไรก้อนโตแน่นอน”

ในยุคปัจจุบันมีกลยุทธ์การตลาดหลากหลาย ในหัวของเหยาซูมีความคิดมากมายที่จะขายมัน ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วรอเพียงดำเนินการเท่านั้น!

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการเปิดตัวชาดทาแก้มที่ร้านผ้าในเมือง

เมื่อคิดถึงขั้นนี้ เหยาซูจึงเอ่ยปากถาม “พี่สะใภ้ เหตุใดวันนี้ไม่เห็นพี่ใหญ่ล่ะ? เขาอยู่ในเมืองเหรอ?”

สะใภ้ใหญ่ยังคงติดอยู่ในความคิดเรื่องราคากล่องชาดทาหน้าอยู่ นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “เขาไม่ได้เข้าไปในเมือง แต่ได้ยินว่าไปเอาเปลอะไรนี่แหละ…”

ห้องปีกตะวันออกไม่ได้ปิดประตู ในระหว่างที่พี่สะใภ้พูดอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงแม่เฒ่าเหยาพูดกับเหยาเฟิงที่กำลังเดินเข้ามาจากหน้าบ้าน

“อาเฟิง เจ้ายกอะไรมา? มันเหมือนตะกร้า…ทำไมมันมีขนาดใหญ่เช่นนี้?”

เหยาเฟิงยิ้มและตอบหญิงชรา “นี่เรียกว่าเปล อาซูได้ฝากให้เหยาเล่ยทำขึ้นมาขอรับ น้องบอกว่าวิธีใช้คือการเขย่าแขว่งไปมาเพื่อทำให้ซานเป่านอนหลับ”

“โธ่เอ๊ย ของสิ่งนี้ยังโยกไหวอีกด้วยหรือ? มันจะสู้การกล่อมลูกแบบอุ้มไปมาได้อย่างไร?”

“ใช้ได้ขอรับ! เมื่อครู่ข้าลองแล้วน้ำหนักเบาและใช้งานได้จริง ข้าเลยรีบนำกลับมาเพื่อจะให้อาซูได้ลอง”

เมื่อพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา พี่สะใภ้ต่างมองหน้ากัน ส่วนเหยาซูยังคงประหลาดใจ “เพียงแค่สองวันเปลก็เสร็จแล้วงั้นเหรอ?”

พี่สะใภ้ใหญ่ถามขึ้น “ข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเลย เจ้าสิ่งที่เรียกว่าเปลนี้ใช้กล่อมเด็กได้จริงเหรอ แล้วใช้อย่างไรล่ะ?”

พี่สะใภ้รองกล่าวขึ้นอย่างลังเล “ข้าได้ยินว่าให้เอาซานเป่าลงไปนอนและเขย่าเบา ๆ…”

นางเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมต้องทำแบบนั้น

เมื่อเหยาซูได้ยินบทสนทนาของพี่สะใภ้ทั้งสองก็อดหัวเราะไม่ได้ “พวกเราไปดูกันเถอะ! เมื่อพี่สะใภ้ทั้งสองเห็นเปลก็จะรู้ทันที”

…………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เห็นเค้าลางของความรวยแล้ว ผลิตภัณฑ์ดี บรรจุภัณฑ์สวยแบบนี้ต้องขายได้แน่นอน

ไหหม่า(海馬)