บทที่ 58 เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เห็นได้ชัดว่าการมาถึงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นทำให้บรรยากาศของงานเลี้ยงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ครั้งนี้ เจ้าสำนักไม่ได้มา ดังนั้นจิ้งอู๋วั่งจึงเป็นผู้ดูแลตลอดทั้งงาน

อาจารย์หลายคนต่างก็สงสัยว่าเจ้าสำนักกำลังจะสูญเสียอำนาจหรืออย่างไรกัน

นี่เป็นงานคัดเลือกพระชายา แต่องค์ชายสามกลับไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

ขันทีซุนเป็นผู้ที่คอยดูแลหน้างาน และจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย โดยที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ต้องพูดอะไร และยังสามารถติดตามจิ้งอู๋วั่งได้อย่างแนบเนียนอีกด้วย

เดิมที จิ้งอู๋วั่งต้องการที่จะพูดคุยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่เมื่อเขามองชายผู้นี้ เขาก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย

แน่นอนว่าเขาไม่ใช่มือใหม่ที่ไม่เคยได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายผู้นี้แล้ว เขากลับรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก

ในงานเลี้ยงแห่งนี้ ที่นั่งถูกแบ่งออกเป็นหญิงและชาย โดยฝั่งซ้ายจะมีเพียงเหล่าคุณชายจากหอชั้นเลิศ ในขณะที่ฝั่งขวานั้น จะเป็นที่นั่งของเหล่าหญิงสาวจากตระกูลขุนนาง

ในยุคสมัยใหม่นั้น เรียกงานเลี้ยงประเภทนี้ว่าอาหารค่ำของคนชั้นสูง

แล้วพวกเราควรทำอะไรในงานเลี้ยงอาหารค่ำเล่า

แน่นอนว่าจะต้องกินน่ะสิ

แต่ไม่มีผู้ใดขยับตะเกียบของตนเองเลย นั่นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกขัดใจอย่างมาก

นางมาที่นี่เพื่อตั้งใจจะมากินอาหารฟรี แต่นางยังไม่ได้กินอาหารเรียกน้ำย่อยเลยแม้แต่คำเดียว ช่างเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังยิ่งนัก

แต่ก่อนที่นางจะรู้สึกทุกข์ใจไปมากกว่านี้ เด็กชายที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ลุกขึ้นยืน และร่างเล็กๆ ของเขาก็พูดขึ้นอย่างน่ารัก แต่มีพลังว่า “อาจารย์จิ้ง เมื่อไหร่พวกเราจะเริ่มทานอาหารกันสักทีขอรับ ข้าหิวแล้ว”

สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่เด็กน้อยคนนั้นในทันที

นอกจากเหล่าคุณชายและคุณหนูที่เป็นศิษย์จากหอชั้นเลิศแล้ว ศิษย์ใหม่ทุกคนต่างก็แสดงท่าทีประหลาดใจออกมา

พวกเขายังไม่ลืมว่าเด็กชายร่างเล็กคนนี้คือใคร

ตอนที่พวกเขาเข้ามาในสำนักศึกษาแห่งนี้ เด็กชายคนนี้ยังถือซาลาเปา ขณะที่เตะคนลอยขึ้นไปบนอากาศอยู่เลย

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นหลักคือเขากล้าขัดจังหวะอาจารย์จิ้งในเวลานี้ได้อย่างไร

แม้ว่าเขาจะมีเจ้าสำนักคอยสนับสนุน แต่เขาก็ทำตัวไร้มารยาทเกินไปหน่อยหรือเปล่า

ในตอนแรก ขันทีซุนอยากจะถามว่าเด็กเหลือขอคนนี้มาจากไหน จึงทำตัวไม่มีกาลเทศะเช่นนี้ แต่เมื่อเขามองดูอีกฝ่ายดีๆ เขาก็แทบจะทำของที่ถืออยู่หล่นลงมาเพราะมือที่สั่นเทา

นั่น นั่นคือ นั่นคือองค์ชายเล็กมิใช่หรือ

ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้

ท่านแม่ช่วยข้าด้วย ทำไมหัวของเขาถึงล้านเช่นนั้นเล่า

เกิดอะไรขึ้นกับผมสีดำราวกับเส้นไหมขององค์ชายเล็กกัน

พวกมันไปไหน พวกมันหายไปไหนหมด

เด็กชายตัวเล็กไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร ขาอันอ้วนท้วมราวกับรากบัวที่โผล่ออกมาจากชุดฝึกวิชาการต่อสู้สีขาว และแก้มอ้วนๆ ของเขาเอ่ยถามอย่างจริงจังอีกครั้งว่า “เมื่อไหร่พวกเราจะได้กินข้าวกันสักที หากจะต้องรอนานกว่านี้ ข้าจะได้ขอตัวไปกินข้าวในครัวก่อน แล้วค่อยกลับมา”

ขันทีซุน “…”

ฮือๆๆ หลังจากที่องค์ชายเล็กเข้ามาที่สำนักไท่ไป๋ เขาก็กลายเป็นผู้หิวโหยที่ไร้ยางอายไปเสียแล้ว

ไม่ได้ เป็นเช่นนั้นไม่ได้ หากเขากลับไปที่วังคราวนี้ เขาจะต้องพาองค์ชายเล็กกลับไปด้วยให้ได้

จิ้งอู๋วั่งเห็นว่าขันทีซุนขมวดคิ้วตลอดเวลาที่มองเด็กชายคนนั้น ก็คิดว่าอีกฝ่ายรู้สึกไม่ชอบใจในความหยาบคายของเด็กชายคนนั้น เขาจึงเริ่มทำตัววางอำนาจทันที

เขาไม่พอใจเด็กชายหัวโล้นที่ตู๋ซูเฟิงพามาด้วยคนนี้ตั้งนานแล้ว ดังนั้น เขาจึงฉวยโอกาสนี้แสดงให้เห็นว่าใครคือผู้นำกันแน่

จิ้งอู๋วั่งหรี่ตาลง ใบหน้าของเขาแสดงความไม่พอใจออกมา “คงเฉิน นั่งลง!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าอ้วนยุ้ยแต่ดูดีของเขาก็บูดบึ้ง แต่เขาก็ไม่ได้นั่งลงตามคำสั่งของจิ้งอู๋วั่งแต่อย่างใด แต่ยังคงยืนอยู่เช่นนั้น พร้อมกับแสดงท่าทีว่าเขาอยากจะกินอาหารแล้วจริงๆ

หลังจากที่ถูกตอบโต้เช่นนี้ จิ้งอู๋วั่งก็รู้สึกเสียหน้าอย่างมาก ใบหน้าชรานั้นแทบดูไม่ได้ จนเขาเกือบจะลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ

เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ฟางถิงถิง และเฮ่อเหลียนเหมยเห็นเช่นนั้น ก็มองหน้ากันและหัวเราะอย่างแผ่วเบา “น้องชายคนนี้ เจ้าควรนั่งลงก่อน หากเจ้ายังยืนอยู่เช่นนี้ ก็จะดูหยาบคาย และเมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังรู้สึกอับอายไปด้วย”

“เชื่อฟังพวกพี่เถอะ เจ้าไม่ควรแสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมาในสถานการณ์เช่นนี้” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พูดต่อว่า “โชคดีที่อาจารย์จิ้งเป็นคนใจดี มิเช่นนั้น เจ้าคงจะถูกลงโทษไปแล้ว”

คำพูดของทั้งสองคนนั้นฟังดูราวกับกำลังช่วยเด็กน้อยให้รอดพ้นจากสถานการณ์ตรงหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกนางกำลังทำหน้าที่แทนจิ้งอู๋วั่ง และตำหนิเด็กโง่เขลาคนนี้ที่ไม่รู้จักสำนึกในความมีน้ำใจของคนอื่น

เขาเป็นลูกศิษย์ที่เจ้าสำนักพาเข้ามา แต่เขากลับก่อเรื่องไปทั่วสำนักศึกษา แม้ว่าพลังปราณของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ควรจะฝึกฝนและลงโทษเขาตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเขาโตขึ้น ก็จะได้ไม่เมินเฉยต่อคำแนะนำของคนอื่นๆ และหากสั่งสอนเขาตั้งแต่ตอนนี้ ก็จะได้เป็นบทเรียนให้เขารู้ว่าใครเป็นผู้นำของสำนักไท่ไป๋แห่งนี้กันแน่

เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายจากหอชั้นเลิศนั้นไม่มีใครพูดอะไรเลย ประการแรก เพราะเป็นการปกป้องตัวเอง และประการที่สองคือพวกเขารู้ดีว่าคนที่เจ้าสำนักพาเข้ามานั้น ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

ในตอนแรก เหล่าผู้อาวุโสในสำนักศึกษาต่างก็ถูกเขาทุบตี แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร แต่ก็พอคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าเขาจะต้องมาจากตระกูลที่มีอิทธิพลอย่างมาก นอกจากนี้ เขายังมีโอกาสมากกว่าแปดส่วนที่จะเป็นทายาทจากตระกูลใหญ่อีกด้วย

เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาเข้ามาในสำนักไท่ไป๋ เด็กชายตัวน้อยคนนี้ก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ในสำนักศึกษาแห่งนี้อยู่แล้ว และน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้

นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถทำได้ เว้นแต่ว่าเขามีภูมิหลังที่โดดเด่นอย่างมาก

แต่ไม่ว่าภูมิหลังของเขาจะโดดเด่นเพียงใดก็ไร้ค่า ในเมื่อตอนนี้อาจารย์จิ้งรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาก็ไม่อาจช่วยเหลือเด็กชายคนนี้ แล้วเข้าไปโต้เถียงกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพนับถือในสำนักศึกษาแห่งนี้ได้

เด็กชายคนนั้นมองไปรอบๆ และยิ่งใบหน้าเล็กๆ ของเขาพองออกมากเท่าไหร่ ท้องที่หิวโหยนั้นก็ยิ่งทำให้ความอดทนของเขาต่ำลงเท่านั้น แม้แต่หูของเขาก็ดูเหี่ยวแห้ง มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขากำลังจะเสียสติ

ขันทีซุนมองไปที่เขาอย่างกังวลใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาอย่างไร เขาทำได้เพียงแค่หันไปมองนายท่านของตนเองอย่างหมดหวัง

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังหลับตาเล่นกับแหวนบนนิ้วของตนเองโดยไม่แสดงความกระวนกระวายใจใดๆ เลยแม้แต่น้อย

เมื่อขันทีซุนเห็นเช่นนั้น เขาก็รู้ว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว

ไม่ได้หมายถึงจุดจบขององค์ชายเล็กแต่อย่างใด แต่มันคือจุดจบของตระกูลจิ้งต่างหากเล่า

ขันทีซุนยังคิดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็มีน้ำเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านล่าง มันเป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบไร้ความรู้สึกใดๆ “ในเมื่อท้องหิว แน่นอนว่าจะต้องกิน ยิ่งเป็นเด็กด้วยแล้ว เขาก็แค่ต้องการกินอาหารบ้างเท่านั้น แต่พวกเจ้ากลับพูดจาเหน็บแนมกันเช่นนี้ พวกเจ้าคิดว่าเจ้าสำนักไม่อยู่ที่นี่แล้ว จะรังแกศิษย์ตัวน้อยคนนี้อย่างไรก็ได้เช่นนั้นหรือ”

คนๆ นั้นคือเฮ่อเหลียนเวยเวย นางยืนอยู่ด้านหลังเด็กชายตัวน้อย มือข้างซ้ายของนางวางอยู่บนไหล่ของอีกฝ่าย

หญิงสาวกวาดตามองทุกคน และในที่สุด ดวงตาคู่นั้นก็หยุดลงที่จิ้งอู๋วั่ง “อาจารย์จิ้ง ท่านคงไม่คิดเช่นนั้นจริงๆ หรอกใช่หรือไม่”

จิ้งอู๋วั่งหน้าถอดสีหลังจากที่ถูกมองด้วยดวงตาคู่นั้น

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พูดต่อ “พี่ใหญ่ ทำไมท่านต้องกล่าวหาอาจารย์จิ้งอย่างไม่ยุติธรรมเช่นนี้ด้วย ข้าคิดว่าอาจารย์ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นอย่างแน่นอน”

“ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นอย่างนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเสียงดังและเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็อยากจะถามน้องรองแทนว่า ในเมื่อเขาไม่คิดจะรังแกศิษย์ตัวน้อยคนนี้ตอนที่เจ้าสำนักไม่อยู่ แล้วตอนนี้ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่” นางคิดว่าตนเองขี้เกียจและไม่อยากมีเรื่อง หากมีใครทุบตีนาง นางก็แค่เอาคืนกลับเป็นสิบเท่า แต่จุดประสงค์ในการมางานเลี้ยงครั้งนี้ของนางนั้นชัดเจนมาก นางเพียงแค่มาร่วมงานให้ครบจำนวนคนก็เท่านั้น ไม่ได้ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความวุ่นวายใดๆ เลย แต่เพราะนางไม่อาจทนดูผู้คนเหล่านี้เย้ยหยันเด็กชายแก้มซาลาเปาคนนี้ได้อีก พวกเขาช่างปากเก่งกับเด็กชายตัวน้อยคนนี้เสียจริง

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หงุดหงิดกับคำพูดของอีกฝ่าย และไม่รู้ว่าจะโต้เถียงอย่างไร นางจึงได้แต่เงียบ

แต่นี่อาจจะนับได้ว่าเป็นความโชคดีอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ นางพยายามยั่วยุผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้ให้โมโห แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตกหลุมพรางของนาง

แต่ตอนนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับลุกขึ้นมาปกป้องไอ้ขยะไร้ค่าตัวเล็กคนนี้แทน ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของนางจริงๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่องค์ชายสามรังเกียจที่สุดคือคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ

นางอยากจะเห็นนักว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนังแพศยาคนนี้

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก้มศีรษะลง นัยน์ตาของนางวาววับอย่างชั่วร้าย ต่อให้นังคนชั้นต่ำนั่นจะพัฒนาตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว แต่นางก็ยังเป็นคนเดิมที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดจาเช่นไร และไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่สามารถกำจัดนิสัยเสียข้อนั้นออกไปได้ จุดจบของนังแพศยาได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

จิ้งอู๋วั่งดูเหมือนจะเข้าใจประเด็นนี้ได้ดี จึงแสดงท่าทีของความเป็นผู้อาวุโส “เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจาเหลวไหลไร้สาระ ข้าเพียงแค่บอกเขาให้นั่งลง เพื่อจะได้ไม่ทำให้องค์ชายสามต้องขุ่นเคืองพระทัยก็เท่านั้น”

เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นมองจิ้งอู๋วั่งอย่างเชื่องช้า…