บทที่ 54 ช่วยชีวิต

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 54 ช่วยชีวิต

ฉินปู้เข่อรีบยกแขนขึ้นโดยไม่รู้ตัวและปัดเสาไปด้านข้าง

“โอ๊ย…” ทันใดนั้นอาการปวดแสบปวดร้อนก็เกิดขึ้นที่แขน จึงอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ๆ

เพลิงที่โหมกระหน่ำทำให้ใบหน้าของฉินปู้เข่อแดงก่ำและเหงื่อออกท่วมตัว

หญิงสาวที่อยู่บนหลังของนางลื่นไถลลงมาเล็กน้อย ฉินปู้เข่อจึงยกตัวนางขึ้นราวกับจะปลอบโยนนางและให้กำลังใจตัวเองก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “อีกเพียงสามก้าว เราจะออกไปได้แน่นอน”

ใบหน้าของนางแสบร้อนจากเปลวเพลิง กลิ่นเส้นผมไหม้ไฟก็เข้าจมูกของนาง นางจับก้นของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ แล้วรีบพุ่งตัวข้ามแนวไฟที่อยู่ข้างหน้านาง

ฟึ่บ…

ฉินปู้เข่อถอนหายใจยาวก่อนจะวางหญิงสาวบนหลังของนางลงบนพื้น แล้วตบหน้านางเบา ๆ เพื่อพยายามปลุกนางให้ตื่น “นี่ นี่…”

“ไม่มีทางเลือกแล้ว” เมื่อฉินปู้เข่อเห็นว่านางไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน นางจึงเอื้อมมือไปแตะหน้าอกของหญิงสาวแล้วกดหลายรอบ ก่อนจะโน้มตัวมาบีบจมูกของหญิงสาวแล้วผายปอด

“แค่ก แค่ก…” หญิงสาวค่อย ๆ ตื่นขึ้นและรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดบนริมฝีปากของนาง ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นนั่งแล้วผลักฉินปู้เข่อออกไปไกล

“เหตุใดเจ้าต้องผลักข้าด้วย? ข้าใช้ความพยายามอย่างมากในการช่วยชีวิตเจ้า” ฉินปู้เข่อถูกผลักจนหงายหลังและใช้เวลานานกว่าจะลุกขึ้นได้

“ขอบคุณพี่สะใภ้ พระชายาของอ๋องเจ็ดที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยข้า”

“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?!” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นนั่งอย่างเหน็ดเหนื่อยแล้วมองดูหญิงสาวแก้มแดงตรงหน้า นางคิดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่รู้จักนาง

“ข้ามีนามว่าหมี่เสวี่ยหลี และข้าก็อยู่ที่นั่นในวันที่ท่านแต่งงานกับอ๋องเจ็ดผู้เป็นพี่ชายของข้า” เนื่องจากหมี่เสวี่ยหลีสำลักควัน เสียงของนางจึงแหบแห้งเล็กน้อย

“อ๋อ”

ขณะที่นางกำลังพูด จานหานชิวก็วิ่งมาพร้อมกับกลุ่มขันทีและถังน้ำ

“เสี่ยวเข่อ เจ้าได้รับบาดเจ็บ” จานหานชิวมาหาฉินปู้เข่อแล้วทรุดตัวลง

จากนั้นหมี่เสวี่ยหลีก็สังเกตเห็นว่ามีแผลไฟไหม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่แขนขวาของนาง ซึ่งมันสาหัสนัก

“ด้วยความเร็วที่เจ้าไปตามคนมาช่วย อาการบาดเจ็บเท่านี้ยังถือว่าเล็กน้อย” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นยืนแล้วพยายามปิดบาดแผล

ก่อนที่นางจะเข้าไป ร่างกายของนางเต็มไปด้วยโซดาห้ามเลือดฉุกเฉิน และเสื้อผ้าของนางก็เปียกชุ่มไปด้วยโซดาห้ามเลือดฉุกเฉินด้วย ดังนั้นนางจึงไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บ

บางทีโซดาห้ามเลือดฉุกเฉินนี้อาจใช้ได้เฉพาะกับบาดแผลที่เกิดจากคมดาบเท่านั้น ไม่อาจรักษาและป้องกันผิวหนังจากไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกได้

จานหานชิวดูรู้สึกผิด นางพันแผลด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยแล้วพูดว่า “ไปหาหมอหลวงกันก่อนเถิด”

“หากพี่สะใภ้ไม่รังเกียจ ท่านสามารถไปที่ตำหนักของข้าเพื่อทำความสะอาดแผลก่อน มีหมอหญิงผู้ชำนาญการในตำหนักเหลียวหลีที่สามารถรักษาบาดแผลของพี่สะใภ้ได้” หมี่เสวี่ยหลีชี้ไปที่ร่างกายของนางเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินปู้เข่อมองดูตนเอง

ฉินปู้เข่อก้มหน้าลง นางเพิ่งรู้ตัวว่าบัดนี้สภาพของนางน่าอับอายเพียงใด

เสื้อผ้าของนางเป็นสีดำสนิทและชายกระโปรงของนางก็ขาดรุ่งริ่งเพราะถูกไฟเผา นอกจากนั้นยังมีบาดแผลเท่าฝ่ามือ เส้นผมที่ไหม้เกรียมและใบหน้าที่เปื้อนฝุ่น หากบอกว่านางเป็นผู้ลี้ภัยทุกคนก็คงจะเชื่อ

ณ ตำหนักเหลียวหลี

หลังจากที่จานหานชิวช่วยฉินปู้เข่อทำความสะอาดร่างกายแล้ว นางก็สวมชุดราชสำนักที่หมี่เสวี่ยหลีจัดเตรียมเอาไว้ให้

“พี่สะใภ้ หมอหญิงมาแล้ว ขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ” หมี่เสวี่ยหลีเคาะประตูเบา ๆ แล้วเอ่ยถาม

“เข้ามาได้”

จากนั้นหมี่เสวี่ยหลีก็พาหมอหญิงวัยราวสามสิบหรือสี่สิบเข้ามาในห้อง

“หม่อมฉันคำนับองค์หญิงเก้าเพคะ เมื่อสักครู่นี้หม่อมฉันกังวลมากเสียจนไม่ได้ทักทายองค์หญิง หวังว่าท่านจะให้อภัยหม่อมฉันนะเพคะ” จานหานชิวกล่าวทักทาย

“ไม่เป็นอะไรหรอกแม่นางจาน” หมี่เสวี่ยหลีนั่งลงข้างฉินปู้เข่อแล้วเหลือบมองบาดแผลที่แขนของนาง ราวกับว่านางทนไม่ได้ที่จะมองไปที่อื่น

ขณะนั้นเองฉินปู้เข่อก็ตระหนักได้ว่าองค์หญิงเก้านั้นมีอายุใกล้เคียงกับตน นางมีใบหน้าที่เล็กและบอบบางราวกับแตงอ่อน ท่าทางเฉลียวฉลาด คิ้วบางและแววตาของนางก็ดูค่อนข้างเย็นชาและห่างเหิน

หมอหญิงทำการล้างแผลแล้วทายาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพันแผลใหม่

จานหานชิวจ้องมองหมอหญิงทุกย่างก้าวด้วยใจระทึก นางหยุดถอนหายใจไม่ได้ราวกับว่านางกำลังถูกทำความสะอาดแผลเสียเอง

“พี่สะใภ้ไม่เจ็บหรือเพคะ?” หมี่เสวี่ยหลีมองฉินปู้เข่อที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย

แผลขนาดเท่าฝ่ามือเต็มไปด้วยตุ่มน้ำพุพอง หมอหญิงเจาะตุ่มน้ำให้แตกก่อนแล้วจึงใช้ยาทาแผล ในระหว่างนี้พี่สะใภ้ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วเลย

………………………………………………………………………..