ตอนที่ 132 ความสามารถในการสร้างภาพลวงตา

Marvel : The King ราชาของโลกมาเวล

ตอนที่ 132 ความสามารถในการสร้างภาพลวงตา

“วันนี้คุณมีนัดอะไรไหม ?”

ถึงแม้ว่าตอนนี้อีเดนจะเป็นเลขาของซู่เจิน แต่เธอก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับซู่เจินเลยแม้แต่น้อย และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเลขาเขาทําหน้าที่อะไรกันบ้าง

“ไปกินข้าวกันก่อน หลังจากนั้นก็ดูอารมณ์ของผม”

ในตอนนี้ซู่เจินไม่มีอะไรให้ทํามากนักนอกจากรอให้ร่างกายมันฟื้นตัว ซึ่งมันก็เหมือนกับการพักผ่อนดี ๆ นี่เอง เพราะไม่ว่าจะเป็นในโลกมาเวลหรือดันเจี้ยน เขาก็ไม่ค่อยจะมีเวลาผ่อนคลายแบบนี้สักเท่าไหร่

อีเดนยักไหล่ขึ้นมาอย่างเฉยเมย และเรียกชาวเฮติให้เตรียมรถให้พร้อมสําหรับการออกไปกินอาหาร ซึ่งในเรื่องของร้านอาหารอีเดนก็รู้จักอยู่มากมาย และเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงร้านอาหารที่อีเดนแนะนํา พวกเขาก็พบว่าที่นี่มันดูดีมากเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันชาวเฮติก็เดินแยกออกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งอย่างรุ้งาน เพื่อปล่อยให้ซู่เจินและอีเดนนั่งทานอาหารด้วยกัน

หลังจากที่อีเดนสั่งอาหารให้ซู่เจินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็วางแผนที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อสอบถามเกี่ยวกับความเป็นมาของซูเงิน ซึ่งอย่างน้อยเธอก็อยากรู้ว่าคนที่เป็นเจ้านายของเธอเขาเป็นใครกันแน่ และกําลังทําอะไรอยู่

แต่ในเวลาเดียวกันจู่ ๆ ก็มีคนสองสามคนเดินเข้ามาในร้าน โดยมีผู้หญิงผมบลอนด์แสนสวยเดินนําเข้ามา พร้อมกับบอดี้การ์ดอีกหลายคนที่เดินตามมาด้านหลังของเธอ และเมื่ออีเดนเหลือบมองไปที่เธอ เธอก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าผู้หญิงคนนี้มีพื้นหลังไม่ธรรมดา และไม่ง่ายที่จะยั่วยุเธอ หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาแล้วเธอก็มองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นซู่เจินและอีเดนอย่างรวดเร็ว รวมถึงชาวเฮติที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ของพวกเขาด้วย

เธอเหลือบมองไปที่ชาวเฮติด้วยความกังวลใจ และไม่กล้าที่จะเดินไปตรงนั้น

ทันใดนั้นซู่เจินก็กวักมือเรียกไปที่ผู้หญิงคนนั้น พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงที่ราวกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมาก่อนด้วยรอยยิ้มว่า “คุณมาที่นี่เพื่อมาหาผมไม่ใช่หรอ ? ทําไมคุณไม่เดินมาหาผมล่ะ ?”

“คุณรู้จักผู้หญิงสวย ๆ มากมายจริง ๆ!” อีเดนพูดขึ้นมาด้วยความอารมณ์เสีย

ซู่เจินเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า ” ถ้าเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นคนนี้ … คุณลืมมันไปเถอะ เพราะถ้าเกิดว่าคุณเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเธอ คุณจะไม่พูดขึ้นมาแบบนี้อย่างแน่นอน”

” หน้าตาที่แท้จริงของเธออย่างงั้นหรอ ?” อีเดนพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าซู่เจินเริ่มทักทายเธอขึ้นมาก่อน กันดิสก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินเข้าไปหาซูเงินอย่างช้า ๆ และเธอก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิด

“คุณไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นหรอก เพราะผมไม่ปล่อยให้เขาปิดกั้นความสามารถของคุณอย่างแน่นอน” เมื่อเห็นว่ากันดิสดูหวาดระแวง ซู่เจินก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

ใบหน้าของกันดิสกันยังไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดิม เธอหันไปมองที่ซู่เจินและพูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าฉันจะไม่จําเป็นที่จะต้องแนะนําตัวกับคุณสินะ เจ้านายของฉันต้องการพบคุณ”

“ได้สิ ผมก็อยากเจอเขาเหมือนกัน” ซู่เจินพูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ

กันดิสเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เพราะเธอก็ไม่คิดเหมือนกันว่าซู่เจินจะตอบตกลงง่าย ๆ แบบนี้ เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เจ้าของนายของเธอต้องการพูดกับเขามันคืออะไร ? หรือว่าเขามั่นใจในตัวของตัวเองว่าไม่มีใครสามารถทําอะไรเขาได้ ? หรือว่าเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าบอสของเธอเป็นคนแบบไหน ? เมื่อเห็นท่าที่สบาย ๆ และไม่แยแสของซู่เจิน กันดิสก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมาว่า “ไปกันตอนนี้เลยได้ไหม ?”

“ตอนนี้ ? คุณไม่เห็นหรอว่าผมกําลังกินอาหารอยู่ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันตอนผมกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว” ซู่เจินส่ายหัวขึ้นมาและหันไปพูดกับอีเดนว่า “ช่วงนี้ผมไม่มีอะไรทํามาสักพักแล้ว ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวล ผมจัดการได้”

อีเดนไม่ได้พูดตอบอะไรออกมา และเธอก็เห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้กังวล เพราะเธอรู้ถึงความแข็งแกร่งของซู่เจินเป็นอย่างดี บวกกับการที่ซู่เจินยังมีท่าทางที่สงบแบบนี้ ซึ่งเธอก็แค่รู้สึกสงสัยเล็กน้อยเท่านั้น

” ทําไมคุณถึงยังยืนอยู่ที่นี่อีก 2 ผมจะกินข้าวลงได้ไงเมื่อมีคนกําลังยืนมองอยู่ รีบออกไปไกล ๆ เลย” ซู่เจินเงยหน้าขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่ากันดิสยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

กันดิสขมวดคิ้วและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง และเมื่อซู่เจินเห็นท่าทางเช่นนั้นเขาก็พูดขี้นมาต่อว่า “อย่าได้สร้างปัญหาให้กับผม ไม่งั้นผมจะให้ชาวเฮติจัดการกับคุณ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซู่เจินพูด กัสดิสก็แทบที่จะเป็นลมในทันที เธอเหลือบมองไปที่ซ่เงินอย่างขมขื่น และค่อย ๆ หันหลังเดินออกจากไป

” เธอกลัวอะไร ?” อีเดนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

” ชาวเฮติมีความสามารถอยู่สองอย่าง อย่างแรกเลยก็คือการลบความทรงจํา และอีกอย่างหนึ่งก็คือการปิดกั้นความสามารถพิเศษของคนอื่น ๆ ได้” ซู่เจินอธิบายขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

อีเดนเหลือบมองไปที่ชาวเฮติที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความแปลกใจ เพราะเธอไม่นึกเลยว่าคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นบอดี้การ์ดจะมีความสามารถมากมายขนาดนี้ “ถึงแม้ว่าความสามารถจะถูกปิดกั้น แต่กันดิสก็ไม่น่าจะกลัวสิ่งนี้ไม่ใช่หรอ ? แล้วเรื่องที่คุณพูดมันหมายความว่าอย่างไรกับการที่คุณบอกว่านั่นไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของเธอ ?”

“คุณอยากรู้อย่างงั้นหรอ ? จูบผมสิแล้วผมจะบอกคุณ” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

อีเดนมองไปที่ซู่เจินด้วยความโกรธ และเธอก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าซู่เจินกําลังจะใช้ประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของเธอ! ทําให้เธอลึกขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเอนตัวเข้าไปจูบ … “เอาล่ะ บอกฉันมาสิ”

” เพราะว่าเธอมีความสามารถในการสร้างภาพลวงตาได้ เมื่อความสามารถของเธอถูกปิดกั้นภาพลวงตาของเธอมันก็จะหายไป จากนั้นทุกคนจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบหน้าที่แท้จริงของเธอมันแตกต่างกับสิ่งที่คุณเห็นในตอนนี้มากเลยล่ะ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทําให้เธอรู้สึกกลัว” ซู่เจินพยักหน้าขึ้นมาด้วยความพึงพอใจพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

“สร้างภาพลวงตา ? มันเป็นความสามารถที่สุดยอดมาก แล้วจริง ๆ แล้วเธอมีหน้าตาเป็นอย่างไร ?” อีเดนถามขึ้นมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง

“ไว้มีโอกาสผมจะบอกคุณในภายหลัง” ซู่เจินพูดขึ้นมา

” แล้วเจ้านายของเธอเป็นใครอย่างงั้นหรอ ? คราวนี้ ฉันจะไม่ยอมจูบคุณอีกครั้งแน่ ๆ” อีเดนถามขึ้นมา

ซู่เจินมองไปที่อีเดนและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะอยากรู้อยากเห็ นมากเป็นพิเศษ ผมขอเดาว่าคุณต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวผมใช่ไหม ?”

“ถ้าเกิดว่าคุณไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร” อีเดนไม่ได้พูดปฏิเสธ

“เจ้านายของเธอก็คือ ลินดามัน ชายชราคนหนึ่งหนึ่งที่มีอํานาจมากมาย และเขาก็เป็นคนที่รวยมาก ซึ่งตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือสมาชิกขององค์กรลึกลับ และเป็นบุคคลที่มีอํานาจมากที่สุดภายในองค์กร โดยที่องค์ลึกลับแห่งนี้มีเป้าหมายไปที่พวกคนที่มีความสามารถพิเศษโดยเฉพาะ และชาวเฮติก็เคยทํางานให้กับองค์กรนี้มาก่อน แต่เขาก็ถูกผมสะกดจิตเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ทําให้พวกเขาจึงส่งคนมาผมอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้”

“คุณมีความสามารถในการสะกดจิตอย่างงั้นหรอ ? ถ้าอย่างนั้น แล้วคุณสะกดจิตฉันไม่ได้อย่างงั้นหรอ ?” อีเดนถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

ซู่เจินยักไหล่ “คุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างงั้นหรอ ?”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซู่เจิน อีเดน และชาวเฮติ ก็เดินออกมาจากร้านอาหาร โดยที่มีกันดิสที่กําลังยืนรออยู่ด้านนอกรีบเดินเข้ามาหาซู่เจินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจว่า ” ทําไมพวกคุณออกมาช้ากันจัง!”

“แล้วไง ?”

ซู่เจินมองไปที่เธอด้วยรอยยิ้มอันสดใส และค่อย ๆ วางมือของเขาลงบนหัวของกันดิสพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงอันอ่อนโยนว่า “หลังจากนี้ ถ้าเกิดว่าคุณพูดอะไรขึ้นมาอีก ผมจะทําให้คุณกลายเป็นคนที่ไร้ความสามารถ เชื่อผมสิตอนนี้เลขาของผมกําลังอยากรู้ใบหน้าที่แท้จริงของคุณอยู่พอดี!”

กันดิสรีบปิดปากของเธอโดยไม่รู้ตัว เพราะเธอกลัวว่ามันจะมีเสียงเล็ดลอดออกมา