ตอนที่ 65 เจ้านายของนายแซ่กู้มาตลอดไม่ได้แซ่ซู

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 65 เจ้านายของนายแซ่กู้มาตลอดไม่ได้แซ่ซู

ตอนที่ 65 เจ้านายของนายแซ่กู้มาตลอดไม่ได้แซ่ซู

ด้วยคําพูดเหล่านี้กระตุ้นให้ซูเถาเริ่มต้องการผลิตภัณฑ์ยาอีกครั้ง แม้ว่าผู้รักษาจะมีพลัง แต่ก็ไม่ได้มีพลังเพียงพอทุกอย่าง อาการป่วยบางระดับก็ไม่สามารถแทนที่ยาและการผ่าตัดได้อย่างสมบูรณ์

แต่สําหรับคนในยุควันสิ้นโลกยามีราคาแพงเกินไป แค่ยาแก้หวัดลดไข้ธรรมดาเคยมีราคาถึง 40,000-50,000 เหลียนปังบวกกันคะแนนสมทบ 1,000 คะแนน

เธอจําได้ว่าตอนเด็กเธอมีไข้สูงเพราะซูเจี้ยนหมิงตัดใจซื้อยาลดไข้ให้เธอไม่ได้ และปล่อยให้เธอต้องป่วยอยู่อย่างนั้น หลังจากป่วยอยู่สองวันและแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ซูเจี้ยนหมิงก็กลัวว่าเพื่อนบ้านจะรู้แล้วมาต่อว่าเขา ดังนั้นจึงส่งตนไปโรงพยาบาลอย่างไม่เต็มใจ

หลังจากฟื้นตัวจากความเจ็บป่วย เธอได้รับการดูถูกจากคนตระกูลซูไม่น้อย หลังจากตกลงกันเสร็จแล้ว ซูเถาและจวงหว่านได้ประกาศ ‘เรื่องการพบแพทย์ของเถาหยาง’ ออกไป

จงเกาอี้อ่านคร่าว ๆ และถามอย่างสงสัย

“คุณไม่ได้แจ้งเรื่องมาตรฐานค่ารักษากับผู้เช่าเหรอ พวกเขาจะกล้ามาเหรอ?”

ตามราคาตลาดเช่นการรักษาเฉินซีให้หายต้องจ่ายราว 100,000-200,000 เหลียนปังโดยประมาณ อาการบาดเจ็บอื่น ๆ ก็จะแพงขึ้นหน่อย ความรู้สึกที่ไม่มีราคามาตรฐานก็เหมือนกับการเข้าไปในห้างระดับสูงแบบที่ไม่มีราคามาตรฐานซึ่งทำให้ผู้คนกลัวที่จะซื้อ

ซูเถากล่าวว่า “ตราบใดที่เป็นผู้เช่าของเถาหยาง ก็ไม่จําเป็นต้องมีจ่ายเงินเพื่อพบแพทย์”

อย่างไรก็ตาม การจัดหาน้ำให้กับกู้หมิงฉือทุกเดือนก็ใช้จ่ายไปไม่เท่าไหร่ อีกอย่างจงเกาอี้ก็มาที่นี่ตามคําสั่ง ทั้งที่ไม่ต้องจ่ายเงินเดือน

เมื่อจงเกาอี้ได้ยินเรื่องนี้ก็ตกใจมากจนเงียบลงไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้ถามขึ้น

“ดังนั้น ที่คุณเชิญผมมาที่นี่ คุณไม่ได้ต้องการที่จะทำเงิน และยังขาดทุนอีก”

“ฉันขาดทุนตรงไหน” ซูเถาถามอย่างสงสัย

“น้ำไม่ต้องจ่ายเงินเหรอ? มิหนำซ้ำคุณยังต้องจ่ายต้นทุนทางเวลาในการจัดการผู้เช่าในการเข้าพบแพทย์ ซึ่งเป็นต้นทุนทั้งหมด”

ซูเถาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหัวและพูดว่า “นี่ไม่ได้เรียกว่าขาดทุน เรียกว่าการลงทุน คุณคิดว่าผู้เช่าได้พบแพทย์ฟรี จะมีอีกกี่คนที่ต้องการมาอยู่เถาหยาง”

ในอนาคตเถาหยางจะไม่สามารถพึ่งพาเธอเพียงคนเดียวที่ทํางานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อสร้างมันได้อีกต่อไป

เธอต้องการผู้ที่มีพรสวรรค์ คนดี และผู้ที่พลัง เธอหวังว่าสักวันจะได้รับคนที่มีพรสวรรค์อย่างจงเกาอี้ ไม่ใช่เพราะการค้าหรือธุรกิจ แต่เป็นคนที่มาด้วยความคิดริเริ่มของตนเอง ด้วยกระแสแห่งพรสวรรค์จะสร้างมูลค่าอย่างต่อเนื่อง

นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ

จงเกาอี้ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง และพูดขึ้นเสียงแผ่ว “เถ้าแก่ซูมีวิสัยทัศน์ดีจริง ๆ”

เขามองออกไปยังสวนสาธารณะที่สวยงาม และมีความคิดว่าบางทีเถาหยางอาจเป็นเรือโนอาห์ลําสุดท้ายจริง ๆ

……

การประกาศ ‘เรื่องการพบแพทย์ของเถาหยาง’ ทําให้เกิดความโกลาหลขึ้นไม่หยุด

คนในเถาหยางไม่ได้ตกใจเป็นพิเศษ เพราะไม่กี่วันก่อนที่หมอจงจะมา พวกเขาก็ได้รับรู้เรื่องนี้ผ่านช่องทางภายในก่อนแล้ว และพวกเขาก็ได้เขียนแบบฟอร์มใบสมัครส่งให้จวงหว่านไปก่อนแล้ว เพื่อพร้อมที่จะได้รับประโยชน์มากมายจากการเป็นคนในเถาหยาง

ผู้คนนอกเมืองเถาหยางระเบิดเหมือนน้ำในหม้อไฟ

ที่แรกที่ได้รับข่าวคือตงหยางทีวี พนักงานหลายคนที่เคยวางแผนเรื่องอื้อฉาวของเถาหยางหันมองหน้ากัน ผางหงหน้าแดงก่ำและก็ไม่อยากจะเชื่อ

“จะมีเรื่องดี ๆ แบบนี้ได้ยังไง ใครในตงหยางไม่รู้บ้างว่าจงเกาอี้เป็นคนของคนตระกูลกู้ เขาจะยอมให้คนไปตรวจรักษาที่เถาหยางได้ยังไง แล้วยังเป็นแบบไม่คิดเงินอีก บางทีอาจเป็นเรื่องโกหก เพื่อรักษาชื่อเสียงไว้ก็ได้”

ไม่มีใครตอบคำถามเธอ

ไม่กี่วันที่ผ่านมามีคนเห็นขับรถของเขตตะวันออกพาจงเกาอี้ไปยังเถาหยาง และมีคนถ่ายรูปเอาไว้ได้

เถาหยางก็ได้ประกาศแล้ว และคนในก็เริ่มเข้าแถวกันแล้ว ยังได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่เสียโฉมก็ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว

หลักฐานที่ไม่สามารถหักล้างได้นี้ถูกโยนมาต่อหน้า ถ้ายังมีคนที่ไม่เชื่ออีกก็คงมีปัญหาทางสมองแล้ว

ผางหงกลับบ้านด้วยอารมณ์ฟืดฟาด ยังไม่ทันได้หายใจก็ถูกสามีดึงตัวไปต่อว่า

“เธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเถาหยางแล้วใช่ไหม ก่อนหน้านี้เธอก็ช่างเลอะเลือนจริง ๆ ที่ทิ้งโควตาของเถาหยางออกไปตามใจชอบ ตอนนี้เสียใจขึ้นมาแล้วใช่ไหม?”

“หรือเรายื่นใบจองไปใหม่ดีไหม พาพ่อแม่ของฉันไปใช้ชีวิตที่นั่น เธอก็รู้ว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนพ่อของฉันเอวหัก จนถึงตอนนี้เขายังไม่สามารถพลิกตัวได้ ถ้าให้เขาไปรับการรักษาฟรีที่เถาหยางได้ ความสามารถของจงเกาอี้คุณเองก็รู้ แม้แต่เท้าที่หักยังสามารถทําให้กลับมาใหม่ได้ เอวพ่อของฉันก็อาจจะหายก็ได้”

เมื่อผางหงได้ยินก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ผ่านไปนานถึงได้พูดขึ้น “นายอยากไปก็ไปเองคนเดียว”

สามีของเธอไม่ค่อยเข้าใจ “เธอหมายความว่าไง”

ผางหงพูดด้วยโกรธ “แท้จริงแล้ว ครั้งก่อนฉันทิ้งโควตาไปและสร้างความบาดหมางกับเถาหยางอะไรนั้น ถ้านายอยากไปก็ไปซะ! เถาหยินเถาหยางอะไร ฉันไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรด้วย!”

ชายหนุ่มตกตะลึง คิดถึงเรื่องที่เธอมักจะชอบรุกรานคนอื่น ก็รีบไปค้นหาเบอร์โทรติดต่อเถาหยางที่พวกเขาเคยติดต่อโทรกลับไปทันที

หลังจากโทรศัพท์ไปเขาถึงได้รู้ว่าไม่เพียงแต่ภรรยาของเขาถูกดึงเข้าสู่บัญชีดําของเถาหยาง แต่ตราบใดที่เขายังมีความสัมพันธ์กับเธอ ใบสมัครเช่าบ้านในเถาหยางของเขาก็จะไม่ผ่านด้วย

ทั้งคู่ทำสงครามเย็นต่อกัน และนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน

ผางหงลุกขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำและบวมฉึ่ง ก็เห็นข้อตกลงการหย่าร้างที่วางไว้ที่ปลายเตียง ซึ่งชายคนนั้นได้เซ็นไว้ฝ่ายหนึ่งแล้ว

……

หลังจากขาของผู้อาวุโสเหม่ยได้รับการรักษาไปแล้วสามวัน ร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้น หลิวพ่านพ่านตื่นเต้นยิ่งกว่าผู้อาวุโสเหม่ย และดวงตาของเธอเป็นประกาย

จงเกาอี้เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา และพูดว่า “เนื้อร้ายที่ขาของคุณยาวไปหน่อย และจําเป็นต้องค่อย ๆ รักษา ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร”

ผู้อาวุโสเหม่ยไม่เคยคิดว่าเขาจะมีโอกาสลุกขึ้นยืน เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาเอ่อนองในดวงตา ใจเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน

ซูเถาและจวงหว่านก็มีความสุขมากเช่นกัน จวงหว่านคอยส่งน้ำและทิชชูให้จงเกาอี้อย่างขยันขันแข็ง

“หมอจงลำบากคุณแล้ว ดื่มน้ำหน่อยค่ะ”

เฉินซีที่ดูอยู่ก็รู้สึกอิจฉา และดึงมือจงเกาอี้มาและถามว่า

“ลุงจงคะ ทำยังไงหนูถึงจะได้เป็นเหมือนคุณคะ หนูอยากเป็นหมอด้วย คุณลุงสอนฉันเถอะ ลำบากแค่ไหนหนูก็ทนได้”

จวงหว่านดึงเฉินซีมาอย่างร้อนใจ และมองไปที่จงเกาอี้ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

แต่จงเกาอี้ไม่ได้โกรธเคือง และถามเฉินซีอย่างอ่อนโยน

“การเป็นหมอต้องเขียนอักษรเป็นหลายตัว ต้องจดจําคําศัพท์ได้มากมาย”

และยังต้องโชคดีพอที่จะปลุกพลังการรักษาได้

แต่เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกไป เพราะว่ามันจะทําร้ายความมั่นใจของเด็กน้อย

เฉินซีพยักหน้าอย่างจริงจัง “หนูจะขยันเรียน แม่ของหนูสอนหนูหลายอย่าง เธอเก่งมากและเธออ่านหนังสือมาหลายเล่มมาก”

จงเกาอี้ค่อนข้างประหลาดใจ และพยักหน้าและยิ้มให้จวงหว่าน

ห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีผู้ป่วยไม่มากนักในเถาหยาง และทัศนคติของพวกเขาก็ค่อนข้างดีมาก ซ้ำยังมีผู้ป่วยที่มีอาหารและเครื่องดื่มมาให้จงเกาอี้ด้วย

งานของจงเกาอี้ผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาค่อนข้างพอใจกับอาหารและที่พักของเถาหยาง วันที่จะต้องกลับไปเขาก็มีความลังเลเล็กน้อย

เฉินซีและเฉินหยางยิ่งลังเล พูดด้วยสายตาออดอ้อน

“ลุงจงเดือนหน้ามาให้ตรงเวลานะ”

จงเกาอี้ขึ้นรถและโบกมือให้พวกเขา รอให้คนในเถาหยางไกลออกไปจนกลายเป็นจุดสีดําเล็ก ๆ ถึงได้หันหน้ากลับมา เขากางฝ่ามือออก และพบว่าข้างในเป็นถุงขนมอันเป็นที่รักที่เฉินซีมอบให้เขา ซึ่งเขาก็ลังเลพอสมควรที่จะกินมัน

เขาหยิบลูกอมออกมาเม็ดหนึ่ง ฉีกกระดาษห่อลูกอมออกแล้วเอาเข้าปาก รสหวานติดลิ้น ทำให้แขนขาของเขามีแรง ตลอดทางกลับไปที่เขตตะวันออก เขาเกือบลืมไปว่าเขายังมีเจ้านายแซ่กู้อยู่

เมื่อกู้หมิงฉือเห็นเขา เขาก็บดซิการ์และส่งยิ้มมาให้ตนเอง

“หมอจง อยู่ในเถาหยางไม่กี่วันเหมือนจะไม่เลวเลยนะ”

จงเกาอี้ไม่กล้าตอบ และรักษาความเงียบตามปกติของเขา

สายตาของกู้หมิงฉือค่อย ๆ เย็นชา “ฉันไม่สนใจสิ่งที่นายคิดอยู่ในใจ ชีวิตของนายคือของฉัน และแซ่เจ้านายของนายคือแซ่กู้ไม่ใช่แซ่ซู”