ตอนที่ 135 ต้องเข้าใจว่าผีก็มีความทุกข์ ตอนที่ 136 พี่หญิงให

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 135 ต้องเข้าใจว่าผีก็มีความทุกข์ / ตอนที่ 136 พี่หญิงใหญ่เป็นคนเอาใจใส่
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 135 ต้องเข้าใจว่าผีก็มีความทุกข์
ฉินหลิวซีพึ่งจะกลับมาถึงจวนก็ไปที่เรือนด้านข้าง ขณะที่กำลังถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงตะโกนดังๆ แทบสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นใคร”
เสียงแหบเหมือนเป็ดนี้ค่อนข้างคุ้นๆ
ฉินหลิวซีหันกลับไป เห็นฉินหมิงฉีถือหนังสือม้วนหนึ่งพลางวิ่งพุ่งมาหานางราวกับลูกวัว ตะโกนด้วยความโกรธว่า “เจ้าโจรชั่ว กล้าดีอย่างไรบุกเข้ามาในเรือนพี่หญิงใหญ่ข้า เจ้า…”
เขาวิ่งมาอยู่ตรงหน้าแล้วหยุดอย่างกะทันหัน มองฉินหลิวซีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความประหลาดใจ “พี่หญิงใหญ่หรือ”
ฉินหลิวซีเอามือไขว้หลัง โน้มตัวลงมาหาเขา “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”
“เป็นท่านจริงๆ หรือ” ฉินหมิงฉีมองดูนางในชุดของบุรุษ เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะได้ว่านางเป็นบุรุษหรือสตรี อดขมวดคิ้วไม่ได้ เอ่ยว่า “เหตุใดพี่หญิงใหญ่จึงได้แต่งกายเช่นนี้ แล้วท่านเพิ่งกลับมาจากข้างนอกหรือ”
“เจ้าคิดจะยุ่งเรื่องของข้าหรือ ลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร” คำพูดของฉินหลิวซีแฝงไว้ซึ่งคำเตือน
ฉินหมิงฉีสำลัก เอ่ยว่า “พี่หญิงใหญ่เป็นสตรี แล้วก็เป็นคุณหนูตระกูลฉิน จะแต่งตัวเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ”
ฉินหลิวซีกระตุกมุมปาก สบตากับเขาราวกับว่ากำลังมองคนปัญญาอ่อน หรือว่าจะอ่านหนังสือจนโง่ไปแล้ว?
ใบหน้าของฉินหมิงฉีแดงเล็กน้อยแต่กลับยืดอกไว้ เขาไม่ผิด พี่หญิงใหญ่เป็นสตรี จะทำลายชื่อเสียงของตัวเองได้อย่างไร
“มาจากทางไหนก็กลับไปทางนั้นเดี๋ยวนี้” ฉินหลิวซีหันหลังกลับไปที่เรือน
“พี่หญิงใหญ่ทำเช่นนี้ ข้าจะไปฟ้องท่านย่า ให้ท่านย่าใช้กฎตระกูลลงโทษ” ฉินหมิงฉีเอ่ยเสียงดัง
ฉินหลิวซีหยุดฝีเท้า หันกลับมาจ้องเขาพลางเอ่ย “หนังสือปราชญ์เล่มนี้ได้บอกเจ้าหรือไม่ว่าผู้ที่รู้เวลาใดควรไม่ควรคือวีรบุรุษ แล้วได้บอกด้วยหรือไม่ว่าอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น”
“ข้า ข้า…” ฉินหมิงฉีก้าวถอยหลังขณะถูกนางจ้องมองมา เอ่ยตะกุกตะกักว่า “ที่ข้าทำก็เพื่อพี่หญิงใหญ่…นะขอรับ”
เมื่อเขาเห็นว่าฉินหลิวซีแกว่งหมัดมาทางเขา เขาก็เอามือกุมหัวแล้วหมอบลงตามสัญชาตญาณทันที
น่ากลัว พี่หญิงใหญ่เป็นสตรีแท้ๆ แต่กลับใช้ความรุนแรง อยู่ยากแล้ว!
แต่หมัดที่คิดไว้ไม่ได้หล่นลงมา เมื่อฉินหมิงฉีเงยหน้าขึ้น ฉินหลิวซีก็เข้าเรือนไปแล้ว เสียงของนางลอยออกมาว่า “ก่อนจะไปฟ้องคิดดูให้ดีก่อนว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษหรือไม่ หากเป็นสุภาพบุรุษก็อย่าทำตัวเป็นคนขี้ฟ้อง และก่อนที่จะยุ่งเรื่องของคนอื่นก็ควรจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีเสียก่อน อ่านหนังสือแล้วหรือยัง ได้แบ่งเบาภาระในเรือนหรือไม่ ทบทวนตัวเองให้ดี นี่คือคำเตือนที่ข้ามีให้เจ้า! ”
ทบทวนตัวเอง
ฉินหมิงฉีใบหน้าร้อนจัด ลุกขึ้น กำหมัดแน่นแล้วเดินจากไป
“คุณหนู ท่านสั่งสอนใครก็ไม่เบามือแม้แต่นิดเลยนะเจ้าคะ” ฉีหวงหัวเราะเบาๆ
ฉินหลิวซีสบถเล็กน้อย “ข้าว่าเขาอ่านหนังสือจนโง่ไปแล้ว คำก็ชื่อเสียงของสตรี สองคำก็ชื่อเสียงของสตรี อวดรู้เกินไปแล้ว สตรีจะเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษอย่างเขาสามารถวิจารณ์ได้ แล้วยังคิดอยากจะมายุ่งเรื่องของข้าก็ต้องโดนสั่งสอนเช่นนี้!”
นางหยิบยันต์เรียกวิญญาณออกมาหนึ่งแผ่น จุดธูปเรียกชื่อเขา แล้วเดินไปรอที่หน้าประตูห้อง
ไม่นานวิญญาณผีแขวนคอก็ปรากฏขึ้นที่ลานเรือน คำนับนางด้วยความเคารพ “นายท่าน เรียกข้าน้อยมามีสิ่งใดให้รับใช้หรือขอรับ”
อืม รู้ประสาขึ้นแล้ว ดีนะที่ไม่ได้เอาลิ้นยาวๆ นั่นออกมา
ฉินหลิวซีจ้องมองที่ปากของเขา ทำเอาผีแขวนคอเหงื่อไหลลงหลัง เขาอยากจะเอามือปิดปากโดยไม่รู้ตัว ไม่อยากได้ปมรูปโบว์นั่นอีกแล้ว
เมื่อเห็นว่าเขาระมัดระวังเช่นนี้ ฉินหลิวซีจึงรู้สึกว่าน่าเบื่อขึ้นมาทันที เอ่ย “ไปบอกผีชายหญิงสองตนนั้นว่านักพรตสายดำผู้นั้นอาจอยู่บนยอดเขาที่มีชื่อว่าปากั้ว ให้พวกเขาแพร่กระจายข่าว”
ผีแขวนคอไม่กล้าไม่เชื่อฟัง แล้วยังถามอีกว่ามีอะไรจะกำชับอีกหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีแล้วจึงได้หายตัวไปในทันที ราวกับว่าเขากลัวว่าฉินหลิวซีจะจัดการกับลิ้นยาวๆ ของเขาเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม เอ่ยว่า “ขี้ขลาดถึงเพียงนี้เลยหรือ ก็ไม่ได้จะดึงลิ้นเสียหน่อย ชิ! ”
ฉีหวง ‘ต้องเข้าใจว่าผีก็มีความทุกข์นะเจ้าคะ’
ตอนที่ 136 พี่หญิงใหญ่เป็นคนเอาใจใส่
ฉินหลิวซีรู้สึกเหนื่อยกับธรรมเนียมที่ต้องไปคารวะเช้าเย็นเช่นนี้ มาหนึ่งครั้งก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เมื่อก่อนตอนที่เป็นอิสระนั้นดีแค่ไหน แล้วยังคิดอีกว่าจะหาข้อแก้ตัวเพื่อย้ายออกดีหรือไม่ จะได้หลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากเช่นนี้
แต่ว่าความคิดนี้พึ่งจะมีขึ้นมาก็ต้องดับลง ไม่จำเป็นต้องคิด นางไม่มีทางได้รับอนุญาต
ฉินหลิวซีหาวหวอด สังเกตเห็นสายตาที่มองมา เมื่อหันไปตามสายตานั้นก็เห็นว่าเจ้าเด็กฉินหมิงฉีผู้นั้นกำลังจ้องนางอยู่ อดเลิกคิ้วไม่ได้
ฉินหมิงฉีรีบหลบสายตาทันที
น่าเบื่อ
แต่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้ฟ้องจริงๆ ด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยถึงกฎเกณฑ์ใดๆ กับนาง
“ทุกคนกลับไปเถิด” นางฉินผู้เฒ่าให้ทุกคนถอยออกไป สีหน้าเผยให้เห็นความเหนื่อยล้า
ฉินหลิวซีลุกขึ้น ย่อเข่าคารวะแล้วหันหลังเดินออกไป
“ซีเอ๋อร์”
ฉินหลิวซีหยุดฝีเท้า เมื่อหันกลับไปก็เห็นสะใภ้หวังกับสะใภ้เซี่ยเดินออกมาด้วยกัน สะใภ้เซี่ยเหลือบมองนางแล้วจึงพาเด็กๆ เดินออกไป
“ท่านแม่มีอะไรหรือเจ้าคะ” สะใภ้หวังกับนางเดินออกมาพร้อมกัน เอ่ยว่า “ท่านป้าสะใภ้รองเจ้าชวนข้าไปไหว้พระที่วัดในวันพรุ่งนี้ เพื่อขอพรให้ท่านปู่ของเจ้าและคนอื่นๆ ด้วย”
ความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้าง สะใภ้เซี่ยรู้สึกว่าช่วงนี้สิ่งต่างๆ ไม่ราบรื่น สัญชาตญาณบอกว่าสิ่งที่ฉินหลิวซีเอ่ยนั้นถูกต้องจึงอยากไปไหว้พระ
ฉินหลิวซีเข้าประเด็นสำคัญได้ในทันที ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เรื่องเหล่านี้ท่านแม่จัดการเองได้เลย ให้ลุงหลี่จัดการเตรียมรถม้าได้เลยเจ้าค่ะ”
“จริงๆ แล้วข้าอยากไปอารามชิงผิง” สะใภ้หวังเอ่ยต่อ “แต่ท่านป้าสะใภ้รองของเจ้าเชื่อในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้น…”
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ธูปในวัดอู๋เซียงก็ส่องสว่าง มีผู้แสวงบุญมากมาย พวกท่านไปที่นั่นก็ได้เช่นกันเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังเอ่ยว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้สตรีในเรือนได้เย็บกระเป๋าผ้า ข้าอยากให้พ่อบ้านหลี่นำไปฝากขายตามร้านค้าเพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ให้เขาไปฝากขายที่ร้านเฉียนจี้ เมื่อก่อนผ้าและสิ่งของอื่นๆ ในเรือนก็ซื้อมาจากที่นั่น เถ้าแก่เคยได้รับความกรุณาจากข้า เขาจะไม่เก็บค่าฝากขายแพงเกินไปเจ้าค่ะ”
“เจ้าเคยรักษาครอบครัวของเขาหรือ”
“เจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังเข้าใจแล้ว ก่อนจะเอ่ยว่า “ปีนี้คงจะยากลำบากเล็กน้อย ตอนนี้ตระกูลเราได้ซื้อที่ดินผืนเล็กๆ ปีหน้าพวกเราก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ แล้วยังมีท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้า วันนี้บอกว่านางหางานเป็นผู้ช่วยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งได้แล้ว จะเริ่มงานวันพรุ่งนี้”
“ผู้ช่วยหรือ นี่เป็นงานหนัก นางถูกเลี้ยงดูอย่างดีมาตลอด จะทำได้หรือเจ้าคะ” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “ต่อให้นางไม่ทำ ที่บ้านก็ยังคงเลี้ยงดูพวกนางได้”
“ท่านอาหญิงใหญ่เจ้าเป็นบุตรสาวอนุ ท่านแม่ของนางเสียไปตั้งแต่นางยังเด็ก นางเป็นเด็กสอนง่าย ฮูหยินผู้เฒ่าสงสารนางจึงได้เลี้ยงนางไว้ข้างกายมาหลายปี เมื่อถึงอายุที่เหมาะสมก็ได้แต่งกับบุตรอนุคนโตของตระกูลซ่ง” สะใภ้หวังเอ่ยเสียงเรียบ “นางแต่งงานไปอยู่ตระกูลซ่งมานานสิบกว่าปี แต่ให้กำเนิดบุตรสาวเพียงสองคน แม่สามีนางมีความคิดนี้มานานแล้ว แต่ด้วยกลัวท่านปู่ของเจ้าที่เป็นขุนนางระดับสามจึงไม่กล้าเอาอกเอาใจอนุแล้วเมินภรรยาเอก นับว่ายังพอปรามคนในตระกูลซ่งได้ แต่ก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้เขารับอนุเพื่อมีบุตรได้ ดังนั้นพวกบุตรชายอนุเหล่านั้นจึงไม่เคารพนาง นางก็ทำได้เพียงแค่กัดฟันแล้วกลืนเลือดลงไป แต่ก็นึกไม่ถึงว่าตระกูลซ่งจะใจร้ายเช่นนี้ พอตระกูลเราล้มลงก็ไล่พวกนางสามคนแม่ลูกออกจากจวนทันที”

“การกลับตระกูลฉินเป็นทางเลือกสุดท้าย การเลี้ยงดูพวกนางแม่ลูกไม่ใช่เรื่องลำบาก แต่ในอนาคตน้องสาวลูกพี่ลูกน้องเจ้าทั้งสองคนต้องแต่งงาน ต่อให้ท่านย่าของเจ้ารับปากว่าจะเตรียมสินสอดให้ แต่ตระกูลเราก็ยังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวได้อีกเมื่อไหร่ แม้ว่าจะให้คำมั่นสัญญา แล้วจะให้ได้เท่าไหร่กัน อย่างไรเสียพวกนางก็แซ่ซ่ง ท่านป้าของเจ้ากล้าออกไปเสี่ยงก็เพราะคิดถึงเรื่องตรงนี้ เก็บทีละเล็กทีละน้อยก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย”
สตรีที่แต่งงานแล้วก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป การที่ตระกูลฉินสามารถรับได้หลังจากที่นางหย่าร้างแล้วกลับมาก็เพราะตระกูลฉินมีน้ำใจ หากเป็นตระกูลที่ใจไม้ไส้ระกำจริงๆ มีหรือจะสนว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย
ในใจของฉินเหมยเหนียงย่อมรู้เรื่องนี้ดีจึงไม่กล้าหวังพึ่งตระกูลฉินทั้งหมด ดังนั้นนางจึงเก็บเงินส่วนตัวไว้เล็กน้อย ในอนาคตจะได้พอยืนหยัดได้บ้าง
“นับว่าแข็งแกร่งกว่าท่านป้าสะใภ้รองนะเจ้าคะ”
สะใภ้หวังขมวดคิ้วมุ่นใส่นาง
“ยังมีท่านป้าเล็กอีกไม่ใช่หรือ”
“ท่านป้าเล็กของเจ้าเป็นบุตรสาวที่ท่านย่าของเจ้าพึ่งมีตอนแก่แล้ว แต่นางกลับได้แต่งงานกับตระกูลหลิวซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยทางตะวันออกเฉียงเหนือ ตระกูลฉินล้มลงอย่างกะทันหัน ข่าวแพร่สะพัดออกไป ไม่รู้ว่าได้รับข่าวหรือไม่ หากได้รับแล้วก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของนางจะเป็นอย่างไร” สะใภ้หวังถอนหายใจพลางเอ่ย “ท่านป้าเล็กเจ้านามว่าฉินอิง แม้ว่าจะเกิดตอนที่ท่านย่าเจ้าแก่แล้ว แต่ก็ถูกเอาอกเอาใจมาจนโต มีนิสัยแข็งกร้าว ตอนนี้อายุเพียงสิบเก้าปี พึ่งแต่งงานไปได้เพียงสองปียังไม่มีทายาท ตอนนี้ตระกูลฉินล้มลง ไม่รู้ว่าตระกูลหลิวปฏิบัติกับนางอย่างไร”
เมื่อนางพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจแล้วยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าดูข้าสิ เจ้าก็ยังอายุไม่เท่าไหร่ แต่ข้ากลับคุยเรื่องน่ารำคาญใจเหล่านี้กับเจ้า ช่างน่าแปลก เวลาคุยกับเจ้ามักจะรู้สึกโล่งใจเสมอ”
ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับฉินหลิวซีมากนัก แต่เมื่อบทสนทนาเกิดขึ้น นางมักจะรู้สึกว่านางไม่ได้พูดกับเด็กรุ่นเล็ก แต่เป็นคนรุ่นเดียวกัน ช่างน่าแปลก
“ท่านแม่อยากจะพูดอะไร ข้าก็จะรับฟังเจ้าค่ะ” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย
ลมหนาวพัดมา สะใภ้หวังตัวสั่น เอ่ยว่า “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้ากลับเรือนเถิด”
ฉินหลิวซีย่อเข่าทำความเคารพ เมื่อเห็นว่านางสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ ไม่กี่ชิ้นจึงเอ่ยว่า “เมืองหลีล้อมรอบด้วยภูเขา ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวจะยิ่งหนาวขึ้นมาก ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ท่านแม่ทำเสื้อคลุมกันลมหนาวอีกสักสองผืนเถิด จะได้ไม่เป็นไข้ หากผ้าไม่เพียงพอก็ให้พ่อบ้านหลี่เบิกเงินไปซื้อมาได้เจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
ฉินหลิวซีพยักหน้าเล็กน้อย หันหลังแล้วเดินจากไป
สะใภ้หวังยืนส่งนางจนจากไป ริมฝีปากยิ้มกว้าง
“นายหญิง คุณหนูใหญ่ดูเป็นคนเย็นชาแต่กลับเป็นคนใส่ใจ คุณหนูเคารพและห่วงใยท่านมากเจ้าค่ะ” เสิ่นหมัวหมัวเข้ามาพยุงนาง เมื่อจับมือเย็นๆ ของนางก็เอ่ยขึ้นมาว่า “บ่าวบอกแล้วว่าให้ใช้ผ้าฝ้ายปักลายทำเสื้อคลุมอีกสองตัว ท่านก็เอาแต่ให้พวกนางก่อน เฮ้อ ท่านก็ไม่ลองคิดดูสักนิด ตัวท่านเองก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดานะเจ้าคะ”
“เป็นผู้ดูแลเรือนไม่ง่ายหรอกนะ ทุกอย่างต้องเข้มงวดตัวเองให้ดี ไม่ให้ใครมาเอาไปนินทาได้ ข้าก็เบื่อที่จะเถียงกับนาง เหนื่อยจะตาย ถ้ามีเวลาว่างขนาดนั้น ไม่สู้เอาไปนั่งจิบชาดีกว่าหรือ”
‘นาง’ ที่ว่านั้นคือใคร ไม่บอกก็รู้
เสิ่นหมัวหมัวเอ่ย “แต่จะปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ”
“เอาล่ะ กลับไปก็นำผ้าฝ้ายมาทำดีกว่า อย่างไรก็ไม่ได้ออกไปไหน ไม่จำเป็นต้องทำให้มันหรูหรา แค่บังลมหนาวได้ก็พอแล้ว” สะใภ้หวังเอ่ย
ตอนนี้คนในจวนมีไม่มากนัก บุรุษก็ไม่อยู่ สาวใช้ก็มีไม่กี่คน สะใภ้หวังจึงพาอนุวั่นกับฉินหมิงฉุนมาอยู่เรือนเดียวกัน นางอยู่ห้องหลัก อนุวั่นอยู่ห้องปีกตะวันออก ส่วนฉินหมิงฉุนอยู่ห้องปีกตะวันตก
เพียงแต่ว่าสะใภ้หวังและคนอื่นๆ คิดไม่ถึง ทั้งที่พึ่งจะกลับมาถึงเรือนแล้วตรวจการบ้านของฉินหมิงฉุน แต่จู่ๆ ฉีหวงก็มาพร้อมกับกระเป๋าห่อของใบใหญ่
“นายหญิงใหญ่” ฉีหวงย่อคารวะ วางห่อของไว้บนโต๊ะ มือทั้งสองประสานกันไว้ที่หน้าท้อง เอ่ยว่า “คุณหนูของพวกเราสั่งให้บ่าวนำเสื้อผ้าและสิ่งของที่ไว้ทำเสื้อผ้ามาส่งเจ้าค่ะ ล้วนเป็นลายดอกไม้สีฉูดฉาดที่คุณหนูไม่ชอบเท่าไหร่จึงเก็บไว้ในหีบมาตลอด ดังนั้นจึงนำมาให้นายหญิงใหญ่ดูว่าจะจัดการอย่างไรเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังตกตะลึง
“บ่าวขอตัวเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ฉีหวงไปแล้ว เสิ่นหมัวหมัวก็ก้าวไปข้างหน้าแกะห่อเปิดออก กางเสื้อผ้าด้านบนที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะมองไปที่สะใภ้หวัง
นี่มันเสื้อผ้าธรรมดาที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นเสื้อคลุมขนเพียงพอนสีน้ำเงิน แล้วยังมีเสื้อคลุมกันลม ด้านล่างสุดเป็นเสื้อคลุมอย่างดีอีกสองตัวฃด้วย
ดวงตาของสะใภ้หวังรื้นน้ำตาเล็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้…”