“ตายจริง… หลบด้วยได้หรอเนี่ย…”
 

หลังจากที่ขวานศึกขนาดใหญ่ได้พุ่งเฉียดผ่านร่างของโมโกะเข้าใส่ผืนดินจนเกิดระเบิดขนาดย่อมๆ ขึ้นมานั้น ร่างอันสูงใหญ่ของเจ้าของขวานที่ฟาดลงมาก็ได้ชะโงกหน้าเข้าไปดูตรงกลางหลุมที่มีขวานของเธอปักคาอยู่และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเสียดายที่การโจมตีของเธอพลาดเป้าจนทำให้โมโกะที่ได้ยินแบบนั้นต้องรีบหันมีดไปทางอีกฝ่ายเพื่อเตรียมพร้อมรับมือในทันที

 

“ทางนั้นสินะ…”

 

แต่ว่าหญิงสาวผมสีน้ำเงินผู้เป็นเจ้าของเสียงก็กลับไม่สนใจโมโกะเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับหันไปทางทิศที่กระต่ายตัวน้อยเมื่อสักครู่กระโจนหนีไปและทำท่าเหมือนกับว่าจะพุ่งตามไปทางนั้นในทันที ในขณะที่โมโกะนั้นก็ได้พูดขึ้นมาด้วยความตกใจที่หญิงสาวร่างสูงใหญ่ตรงหน้านั้นเป็นคนที่เธอเคยเจอมาก่อนหน้านี้แล้ว

 

“น–นี่เธอ— ที่เจอเมื่อตอนที่สอบเข้าตอนนั้นนี่ ชื่อว่ารีซาน่าสินะ”

 

“อ่ะ โมโกะจัง— ห—หันอาวุธเข้าใส่คนอื่นแบบนั้นมันอันตรายนะคะ!”

 

รีซาน่าหนึ่งในเด็กสาวที่เป็นคู่ต่อสู้ของโมโกะในการสอบเข้านั้นได้พูดขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเธอหันกลับมาทางต้นเสียงแล้วพบว่าเธอกำลังถูกเด็กสาวอีกคนหนึ่งหันมีดเข้าใส่อยู่ ซึ่งคำพูดของรีซาน่านั้นก็ถึงกับทำให้โมโกะคิ้วกระตุกและตะโกนว่าอีกฝ่ายกลับไปในทันที

 

“คนที่เพิ่งจะฟาดขวานใส่คนอื่นแบบเธอมีสิทธิ์พูดแบบนั้นด้วยหรือไงหะ!?”

 

“ข—ขอโทษค่ะ! พอดีว่ากระต่ายที่ฉันตามรอยอยู่มันหนีมาทางนี้แล้วฉันสัมผัสได้มีอะไรสักอย่างอยู่ตรงนี้ก็เลยกะจะจัดการมันให้เสร็จในทีเดียวเลยแต่นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นคนอื่นไปซะได้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ!”

 

“ตามรอย? นี่เธอออกมาล่าสัตว์งั้นหรอ?”

 

โมโกะที่ได้ยินคำพูดที่คุ้นเคยจากปากรีซาน่านั้นได้พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจก่อนจะลองมองสำรวจดูการแต่งตัวของรีซาน่าและพบว่าหญิงสาวผมสีน้ำเงินนั้นได้นำใบไม้และกิ่งไม้ต่างๆ มาติดไว้เต็มตัวแถมยังทาโคลนไว้เต็มใบหน้าเพื่อพรางกลิ่นจากสัตว์ป่าอีกต่างหากจนทำให้โมโกะที่เห็นวิธีการพรางตัวเต็มรูปแบบของรีซาน่านั้นได้แต่กะพริบตามองดูอีกฝ่ายแบบไม่มั่นใจนัก

 

“นี่เธอออกมาล่าสัตว์จริงๆ หรือว่าแค่ออกมาเล่นสนุกกันแน่เนี่ย…?”

 

“เอ๋? มันก็ใช่ทั้งคู่นั่นแหล่ะค่ะ ถ้ายังไงจะกลับไปคุยกันที่แคมป์ของฉันก่อนมั้ยล่ะคะ? เพราะว่าถ้ามัวแต่ยืนคุยกันเสียงดังแบบนี้เดี๋ยวพวกสัตว์ป่าจะหนีกันไปหมดซะก่อนนะคะ”

 

“แคมป์ของเธอหรอ? อื้ม ก็ดีนะ”

 

“ถ้างั้นก็ตามฉันมาเลยค่ะ อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไหร่หรอก”

 

รีซาน่าพูดขึ้นมาก่อนจะออกเดินนำทางไปยังแคมป์ที่พักที่เธอสร้างทิ้งไว้ในป่า ซึ่งโมโกะที่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เคยพบหน้ากันมาก่อนแล้วแถมยังเป็นนักเรียนจากโรงเรียนเดียวกันนั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะยอมเดินตามรีซาน่าไปแต่โดยดีถึงแม้เธอจะคิดว่าสัตว์ป่าน่าจะหนีไปเพราะเสียงขวานของรีซาน่าที่ระเบิดหน้าดินทิ้งไปเมื่อสักครู่มากกว่าก็ตาม

 

ซึ่งโมโกะที่เดินตามรีซาน่าออกห่างจากตัวคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ทางเหนือมากขึ้นเรื่อยๆ นั้นก็เริ่มที่จะพบร่องรอยของการทำลายล้างที่น่าจะเป็นฝีมือของหญิงสาวผมสีน้ำเงินมากขึ้นตามมา อย่างเช่นหน้าดินที่ถูกระเบิดเป็นหลุม พื้นหญ้าที่ไหม้เกรียม หรือแม้แต่กระทั่งต้นไม้ที่ถูกขวานหวดจนหักกลาง

 

“ว่าแต่ทำไมเธอถึงออกมาล่าสัตว์ข้างนอกเมืองแบบนี้ล่ะ? หรือเพราะกลัวว่าถ้าอยู่ในเมืองนานเกินไปแล้วจะลืมพื้นฐานการล่าที่เรียนมาจากบ้านเกิดน่ะ?”

 

โมโกะที่เห็นร่องรอยการล่าสัตว์ฝีมือรีซาน่าอยู่แทบจะทุกหนทุกแห่งในป่าส่วนนี้นั้นได้เอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าถ้าเป็นตามที่เธอเข้าใจล่ะก็คนในเมืองหลวงทั้งสี่แห่งจะไม่ค่อยได้เข้าป่ามาล่าสัตว์กันสักเท่าไหร่นักเนื่องจากว่ามีร้านอาหารอยู่แทบจะทุกมุมเมือง แล้วยิ่งเป็นเด็กที่เก่งขนาดสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนรีมินัสได้อย่างรีซาน่าด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งไม่น่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าป่ามาล่าสัตว์ด้วยตัวเองเลยซะด้วยซ้ำ

 

“เอ๋? ทำไมโมโกะจังถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ? จริงๆ แล้วฉันอาจจะเป็นคนในเมืองรีมินัสโดยกำเนิดที่แค่สนใจในเรื่องการล่าสัตว์ก็ได้นะคะ”

 

“มันก็… แค่ความรู้สึกล่ะนะ เพราะถ้าดูจากวิธีการเดินทางในป่าของเธอแล้ว ฉันว่าเธอก็ดูท่าทางจะมีประสบการณ์มากเกินกว่าที่จะเป็นมือสมัครเล่น แถมฉันเองก็เข้าไปเดินเล่นในป่าแถวหมู่บ้านของตัวเองอยู่บ่อยๆ ด้วยเพราะงั้นก็เลยคิดว่าไม่น่าจะดูพลาดไปสักเท่าไหร่น่ะ”

 

“ฮะฮะ คนแบบเดียวกันมักจะดูกันเองออกสินะคะเนี่ย”

 

“จะว่าอะไรประมาณนั้นก็ได้ล่ะมั้ง?”

 

โมโกะที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ยักไหล่กลับไปให้รีซาน่าเพราะว่าเธอเองก็อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเหมือนกันก่อนที่เธอจะกระตุกแขนเสื้อของรีซาน่าและบุ้ยหน้าไปทางต้นสมุนไพรที่อยู่ข้างทางเป็นสัญญาณว่าขอแวะเก็บมันก่อน ซึ่งรีซาน่านั้นก็ได้แต่ทำหน้างงๆ เหมือนกับไม่เข้าในว่าโมโกะอยากจะสื่ออะไรกันแน่

 

“เอ่อ… หญ้าพวกนั้นมันทำไมหรอคะโมโกะจัง?”

 

“นี่สมุนไพรต่างหากล่ะ… ท่าทางว่าเธอคงจะเก่งเรื่องการล่าสัตว์มากกว่างั้นสินะ… ทางด้านฉันไม่เคยได้ล่าสัตว์หรืออะไรพวกนั้นหรอก ส่วนมากจะเป็นหาของป่าอย่างพวกเห็ดไม่ก็สมุนไพรมากกว่าน่ะ…”

 

“เห… อย่างงั้นเองหรอคะ… เพราะแบบนี้โมโกะจังก็เลยเข้ามาเดินเล่นในป่าแทนที่จะเป็นเมืองรีมินัสงั้นสินะคะ งั้นถ้าเก็บสมุนไพรเสร็จแล้วก็บอกละกันนะคะ อีกนิดเดียวก็จะถึงแคมป์ของฉันแล้วล่ะค่ะ”

 

“อื้ม”

 

โมโกะใช้เวลาไม่นานสักเท่าไหร่นักในการเก็บสมุนไพรที่เธอพบเห็นก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทางอีกครั้งและพบกับแค้มป์ที่พักของรีซาน่าซึ่งมันเป็นเพียงแค่ผ้าใบที่ขึงไว้กับท่อนไม้ที่ปักไว้บนพื้นเพื่อเอาไว้หลบแดดหลบฝนเพียงเท่านั้นเอง

 

“แฮะๆ อาจจะโทรมๆ หน่อยนะคะ พอดีว่าฉันแค่ใช้มันเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับแล่เนื้อสัตว์เฉยๆ น่ะค่ะก็เลยไม่ได้สร้างให้มันใหญ่อะไรมากนัก”

 

“อื้ม… ก็ถ้าดูจากสภาพของมันแล้วแค่มันอยู่รอดจนเธอกลับมาถึงที่นี่ได้ก็น่าจะนับว่าปาฏิหาริย์แล้วล่ะ เพราะว่ากิ่งไม้ที่เธอเอามาขึงผ้าใบนั่นดูท่าว่าแค่โดนลมพัดใส่ก็คงจะล้มไม่เป็นท่าแล้วล่ะมั้ง…”

 

“แหม่ พูดแบบนั้นมันก็ตรงเกินไปหน่อยมั้งคะ”

 

รีซาน่าที่ถูกโมโกะพูดใส่ตรงๆ แบบนั้นได้แต่ยิ้มแหยๆ ออกมาก่อนจะเดินไปปักขวานศึกของเธอเอาไว้กับต้นไม้และนั่งลงไปใต้ผ้าใบที่ถูกขึงเอาไว้เป็นค่ายพักพร้อมกับพูดถามโมโกะขึ้นมา

 

“ว่าแต่โมโกะจังเข้ามาทำอะไรในป่าหรอคะ? ถึงจะบอกว่าเก่งเรื่องการเดินป่าก็เถอะแต่ว่าเข้ามาในป่าคนเดียวแบบนี้มันก็ค่อนข้างอันตรายอยู่นะคะ”

 

“อันตรายที่เธอพูดถึงนั่นหมายถึงว่ามีคนคอยใช้ขวานอันใหญ่ๆ เที่ยวไล่หวดคนที่เดินเข้ามาในป่าหรือเปล่าน่ะ?”

 

“โถ่ ฉันก็บอกว่าขอโทษไปแล้วไงคะ! ถ้าเกิดฉันรู้ว่าเป็นโมโกะจังฉันก็ไม่ฟาดลงไปแบบนั้นหรอกค่ะ!”

 

“ถ้ารู้ว่าเป็นฉัน…? หมายถึงว่าถ้าเกิดเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักกันมาก่อนก็จะฟาดลงไปอยู่ดีงั้นหรอ?”

 

“โมโกะจังอย่าแกล้งกันแบบนี้สิคะ! ว่าแต่ตกลงว่าเมื่อกี้นี้ไม่ได้แผลอะไรไปจริงๆ ใช่มั้ยคะ?

 

รีซาน่าที่ถูกโมโกะพูดใส่ด้วยน้ำเสียงกวนๆ นั้นได้ร้องโวยวายขึ้นมาก่อนที่เธอจะรีบพูดถามโมโกะขึ้นมาให้แน่ใจว่าคนรู้จักของเธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะตัวเธอเองจริงๆ ใช่หรือไม่ ซึ่งโมโกะที่เห็นว่ารีซาน่ามีท่าทางเหมือนว่าจะเป็นห่วงเธอจริงๆ นั้นก็ได้พูดตอบกลับไปในทันที

 

“อื้ม ก็ปลอดภัยดีนั่นแหล่ะ ถึงจะบอกว่าโชคดีที่หลบทันซะมากกว่าก็เถอะนะ”

 

“ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะค่ะ… แล้วนี่ตกลงว่าโมโกะจังเข้ามาในป่านี้ทำไมหรอคะ หรือว่าแค่เข้ามาเดินเล่นเฉยๆ น่ะค่ะ?”

 

“อ่า… จะว่าแบบนั้นก็ไ—”

 

“อ้อ! คงจะออกมาเดินเล่นพร้อมกับคุณพิเน๊ะสินะคะเนี่ย”

 

“เอ๋ะ…? พิเน๊ะ?”

 

โมโกะที่ถูกรีซาน่าพูดแทรกขึ้นมานั้นได้ชะงักนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะว่าเธอไม่เคยได้ยินชื่อพิเน๊ะที่อีกฝ่ายพูดถึงขึ้นมาก่อนเลยแม้แต่น้อย

 

“พิเน๊ะไหนล่ะนั่น?”

 

“อ้าว… ก็คุณพิเน๊ะที่เรียนอยู่ในโรงเรียนรีมินัสเหมือนกันไงคะ เธอยืนอยู่ตรงนั้นนั่นไง”

 

รีซาน่าพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจที่โมโกะไม่รู้จักกับพิเน๊ะที่นับว่าเป็นคนดังคนหนึ่งในโรงเรียนก่อนจะชี้ไปทางต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กันจนทำให้โมโกะต้องหันไปมองดู ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอได้พบกับเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวที่กำลังซ่อนตัวเองอยู่ด้านหลังต้นไม้โดยโผล่ออกมาให้เห็นเพียงแค่ส่วนใบหน้าที่ฉีกยิ้มกว้างจนน่าขนลุกและนัยน์ตาสีเขียวสว่างเบิ่งกว้างที่กำลังจับจ้องมาทางนี้อยู่

 

“ฮิฮิฮิ… สวัสดี…”

 

พิเน๊ะที่เห็นว่าเด็กสาวทั้งสองคนรู้ตัวแล้วนั้นได้เดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะคิกคักก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกซ้ายโบกขวาให้กับโมโกะ ซึ่งโมโกะที่เห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นคนเดียวกับที่เธอเคยเห็นอยู่ในสวนหลังบ้านของเอริกะก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกและรีบถอยกรูดไปหลบอยู่ด้านหลังรีซาน่าในทันที

 

“น–นี่ รีซาน่า เธอบอกฉันสิว่าเธอเองก็เห็นเด็กคนนั้นเหมือนกันใช่มั้ยน่ะ!?”

 

“เอ๋? ก็ต้องเห็นอยู่แล้วสิคะ อีกอย่างนึงวันที่โมโกะจังไปเข้าสอบคุณพิเน๊ะเองก็อยู่ด้วยแถมยังเป็นคนที่ช่วยจัดการสร้างสนามสอบให้พวกเราด้วยนะคะ…”

 

รีซาน่าที่รู้จักพิเน๊ะมาก่อนแล้วได้พูดขึ้นมาด้วยความสงสัยที่โมโกะเหมือนจะไม่เคยเห็นพิเน๊ะมาก่อนทั้งๆ ที่พิเน๊ะเป็นคนจัดการสนามสอบให้กับพวกเธอในวันที่สอบเข้าซะด้วยซ้ำก่อนที่เธอจะหันกลับไปทางพิเน๊ะแล้วกวักมือเรียกให้อีกฝ่ายเข้ามานั่งรวมกลุ่มกัน

 

“ถ้ายังไงคุณพิเน๊ะก็มานั่งด้วยก่อนสิคะ”

 

“ฮิฮิฮิ…โชคดีจังน๊า…”

 

พิเน๊ะที่ถูกชวนให้เข้ามานั่งด้วยกันนั้นได้ส่งเสียงหัวเราะคิกคักน่าขนลุกขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เธอจะเดินเอียงคอไปมาเข้ามาหาทั้งสองคนอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากโมโกะเลยแม้แต่วินาทีเดียว

 

“อึ๊ย—”

 

“โมโกะจังไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ ถึงคุณพิเน๊ะเขาจะท่าทางแปลกๆ ไปอยู่บ้างแต่ว่าเธอก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กดีอยู่เหมือนกันนะคะ”

 

“จ—จริงอ่ะ…?”

 

“หืม~?”

 

“ว๊าย!?”

 

ผลัก!

 

โมโกะที่โผล่ออกมาจากด้านหลังของรีซาน่าอีกครั้งนั้นได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับรีบถอยกรูดไปทางด้านหลังในทันทีจนเผลอสะดุดล้มลงเมื่อสิ่งแรกที่เธอพบเห็นนั้นก็คือใบหน้าของพิเน๊ะที่กำลังเบิ่งตาจ้องมองเธออยู่ในระยะประชิด

 

“หืมมม~~?

 

ซึ่งพิเน๊ะที่เห็นว่าโมโกะได้ถอยห่างออกไปจากตัวเธอนั้นก็ได้ส่งเสียงลากยาวออกมาเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าออกเดินตามไปในทันทีจนทำให้รีซาน่าที่เห็นแบบนั้นต้องรีบเดินเข้ามาขวางเอาไว้และพูดเตือนเด็กสาวหัวเหลืองแซมเขียวออกมา

 

“คุณพิเน๊ะอย่าไปแกล้งโมโกะจังเขาแบบนั้นสิคะ ถึงเวลาคุณพิเน๊ะทำแบบนั้นแล้วฉันจะไม่ตกใจสักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ว่าคนอื่นเขาจะกลัวคุณพิเน๊ะเอานะคะ”

 

“…อื้อ”

 

พิเน๊ะพยักหน้าตอบรีซาน่ากลับไปโดยที่ไม่ได้ละสายตาออกจากโมโกะเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เธอจะยื่นแขนเสื้อที่ยาวเกินตัวของเธอไปทางโมโกะราวกับว่าอยากจะช่วยดึงโมโกะขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับพูดขอโทษที่ทำให้เธอตกใจขึ้นมา

 

“ขอโทษนะ~”

 

“อ—อ่า…”

 

โมโกะที่เพิ่งจะเคยเจอพิเน๊ะเป็นครั้งแรกนั้นได้ลังเลไปเล็กน้อยก่อนจะยอมยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่ายที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเพื่อใช้เป็นหลักในการยันตัวเองขึ้นมาในขณะที่รีซาน่านั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดี

 

“ว่าแต่นี่สรุปว่าโมโกะจังกับคุณพิเน๊ะไม่ได้มาเดินเล่นด้วยกันหรอกหรอคะ?”

 

“ป…เปล่านะ ฉันเข้ามาในป่านี้คนเดียวน่ะ”

 

“อื้อ!”

 

โมโกะพูดตอบรีซาน่ากลับไปพร้อมกับพยายามที่จะปล่อยมือของเธอออกจากมือของพิเน๊ะไปด้วย แต่ว่าพิเน๊ะก็กลับจับมือของเธอเอาไว้แน่นแถมยังจับมือของเธอขยับขึ้นลงๆ จนดูราวกับว่าพวกเธอกำลังจับมือทักทายกันอยู่อย่างไรอย่างนั้น

 

“แยกกันมาหรอกหรอคะ…? แบบนี้จะเรียกว่าโชคดีที่พวกเราทั้งสามคนบังเอิญมาเจอกันในป่าแบบนี้ก็ได้นะคะเนี่ย”

 

“อื้อ! โชคดีจัง!”

 

“จ—จะบอกว่าโชคดีก็คงจะไม่ผิดหรอกมั้ง…”

 

โมโกะพูดขึ้นมาพร้อมกับหยุดความพยายามที่จะสะบัดมือของตัวเองให้หลุดออกจากการจับกุมของพิเน๊ะพลางนึกไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่ามันจะเป็นโชคดีจริงๆ หรือเปล่าเพราะไม่ว่าเธอจะพยายามทำยังไงพิเน๊ะก็ยังคงจับมือของเธอเอาไว้แน่นอย่างกับคีมเหล็กโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเลยแม้แต่น้อยก่อนที่ทันใดนั้นเองพิเน๊ะจะหันขวับกลับมาทางเธอและเรียกชื่อของโมโกะขึ้นมา

 

“โมโกะ”

 

“ว—ว่าไงหรอพิเน๊ะ?”

 

“เห็นใช้กระสุนไฟเมื่อตอนนั้นแต่ที่จริงแล้วเป็นธาตุดินสินะ~”

 

คำพูดของพิเน๊ะนั้นถึงกับทำให้โมโกะเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ เพราะว่าตั้งแต่ที่เธอมาถึงเมืองรีมินัสนั้นเธอก็ยังไม่เคยใช้วิซธาตุดินให้ใครเห็นเลยแม้แต่สักครั้งเดียว อีกทั้งเธอเองก็ยังไม่เคยบอกคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากหมู่บ้านเดียวกันนอกจากอลิซเลยว่าที่จริงแล้วเธอมีวิซธาตุดินไม่ใช่ธาตุไฟอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน

 

“เอ๋ะ— ธ–เธอรู้ไ—”

 

“ฮิฮิ~”

 

ในขณะที่โมโกะกำลังจะพูดถามขึ้นมานั้นพิเน๊ะก็ได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาขัดคำถามของเธอเอาไว้พร้อมกับหันมาเบิ่งตาจ้องโมโกะด้วยรอยยิ้มกว้างจนทำให้โมโกะถึงกับผงะไปอีกครั้งและพยายามที่จะเดินถอยห่างออกมาด้วยความหวาดระแวง

 

แต่ว่าโมโกะก็ขยับตัวไปไหนได้ไม่ไกลเพราะว่าพิเน๊ะนั้นยังคงจับมือของเธอเอาไว้แน่นจนทำให้เธอได้แต่ตัดสินใจที่จะพูดถามออกมาเสียงดังเพื่อกดดันเด็กสาวท่าทางประหลาดๆ คนนี้ในทันที

 

“บอกฉันมานะว่าเธอรู้ได้ยังไงน่ะ!”

 

“เหมือนกันเลย~”

 

ทันทีที่พิเน๊ะพูดเสร็จเธอก็ได้ปล่อยมือออกจากมือของโมโกะในทันทีจนทำให้โมโกะที่พยายามจะเดินถอยห่างออกไปอยู่นั้นแทบจะเสียหลักหงายหลังลงไป ส่วนทางด้านพิเน๊ะนั้นก็ได้ก้มตัวไปนั่งและใช้มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อยาวเกินตัวจิ้มลงไปในพื้นดินก่อนจะตักมันขึ้นมาได้อย่างง่ายดายราวกับว่าไม่ได้ออกแรงอะไรในการงัดเอาดินส่วนหนึ่งขึ้นมาจากพื้นเลยแม้แต่น้อย

 

“เอ๋ะ?”

 

“ดูนี่สิ~”

 

พิเน๊ะพูดขึ้นมาก่อนที่ก้อนดินในมือของเธอจะเปลี่ยนสภาพจากทรงครึ่งวงกลมธรรมดาๆ ที่ถูกช้อนขึ้นมาจากพื้นกลายเป็นหุ่นดินรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ตัวเล็กๆ สองตัวที่กำลังจับมือกันอยู่ ซึ่งในขณะที่หุ่นดินตัวหนึ่งนั้นมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทางด้านหุ่นดินอีกตัวกลับมีหูแมวบนหัวและเมื่อดูจากเสื้อผ้ากับทรงผมของหุ่นดินทั้งสองตัวแล้วมันก็คงจะเป็นพิเน๊ะกับโมโกะไม่ผิดแน่

 

“–!?”

 

โมโกะที่เห็นว่าพิเน๊ะสามารถเปลี่ยนรูปร่างของก้อนดินในมือได้ตามใจนึกนั้นถึงกับเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจเพราะว่านี่มันคือวิธีการใช้วิซธาตุดินระดับสูงที่เธอเคยได้ยินมาจากอาจารย์ในหมู่บ้านที่เธอไม่สามารถหาวิธีฝึกใช้มันได้มาก่อนจนเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องไปฝึกใช้วิซธาตุไฟจนคล่องเพื่อใช้ในการป้องกันตัวเวลาเข้าไปเดินป่า

 

และในขณะที่โมโกะกำลังตกตะลึงอยู่นั้นหุ่นดินทั้งสองตัวก็ได้อ่อนยวบลงไปจนเหมือนกับของเหลวก่อนที่พิเน๊ะจะเทมันกลับไปยังหลุมที่เธอขุดมันขึ้นมาจนทำให้มันกลับกลายเป็นพื้นดินที่เรียบเสมอกันตามเดิมราวกับว่าไม่เคยถูกขุดขึ้นมาก่อนพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี

 

“เห็นมั้ย~”

 

“ถึงเธอจะมีวิซธาตุดินเหมือนกันก็เถอะแต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันมีวิซธาตุดินสักหน่อยเลยนี่!”

 

“เอ… ฉันเคยได้ยินมาว่ามีคนบางคนที่สามารถสัมผัสวิซถึงของคนอื่นได้อยู่นะคะ ไม่แน่ว่าคุณพิเน๊ะเขาอาจจะมีความสามารถแบบนั้นเหมือนกันก็ได้นะคะ”

 

“อื้อ!”

 

“ย–อย่างงั้นเองหรอ…”

 

คำพูดของรีซาน่าที่ช่วยอธิบายแทนให้พิเน๊ะที่ดูเหมือนไม่คิดจะพูดอธิบายอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อยนั้นทำให้โมโกะพอที่จะโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง เพราะว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่รู้กันอย่างแพร่หลายว่าคนบางคนสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงวิซที่ไม่ใช่ของตัวเองได้ตั้งแต่เกิดหรือต่อให้จะไม่มีความสามารถแบบนั้นมาตั้งแต่แรกก็สามารถที่จะฝึกฝนจนสัมผัสได้เช่นเดียวกัน

 

ซึ่งตัวโมโกะเองนั้นก็สามารถที่จะสัมผัสได้ถึงกระแสวิซตามธรรมชาติที่ล่องลอยไปทั่วอย่างไร้จุดหมายได้อยู่บ้างเล็กน้อยถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถสัมผัสถึงวิซที่เป็นของคนอื่นได้ก็ตาม แต่ถึงแม้ว่าโมโกะจะมีความสามารถแบบนั้นเธอก็คิดว่าความสามารถของเธอไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่นักแถมยังรู้สึกว่ามันมีดีแค่รบกวนสมาธิของเธออีกต่างหาก

 

“เฮ้อ… ฉันก็นึกว่าคนที่แอบตามฉันอยู่ช่วงนี้จะเป็นเธอซะอีก…”

 

“อื้อ!”

 

“เอ๋!? พักนี้มีคนแอบตามโมโกะจังอยู่หรอคะ!?”

 

รีซาน่าที่ได้ยินแบบนั้นได้พูดขึ้นมาด้วยความตกใจพร้อมกับคว้าขวานศึกของเธอมาถือเอาไว้ก่อนจะมองไปตามพุ่มไม้รอบๆ ราวกับหวังว่าจะมีใครโผล่พรวดออกมาให้เธอจัดการสั่งสอนในทันที ซึ่งโมโกะที่เคยเกือบโดนขวานยักษ์อันนั้นเล่นงานไปเมื่อสักครู่นี้ก็ได้รีบขยับตัวถอยห่างพร้อมกับพูดห้ามไว้ก่อน

 

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน… ฉันแค่รู้สึกเหมือนกับว่าพักนี้กำลังถูกคนจับตามองอยู่เฉยๆ น่ะ…”

 

ในขณะที่โมโกะกำลังพูดห้ามรีซาน่าอยู่นั้นเธอก็เหลือบไปเห็นพิเน๊ะที่ยังคงยืนยิ้มเอียงคอและเบิ่งตากว้างจ้องมองเธออยู่โดยที่ไม่ได้ละสายตาไปไหนเข้าจนทำให้โมโกะชะงักไปเล็กน้อย ซึ่งพิเน๊ะที่เห็นแบบนั้นก็ได้เอียงคอไปอีกฝั่งหนึ่งและส่งเสียงออกมาเป็นเชิงสงสัย

 

“ฮื้อ?”

 

“อ่ะ— เปล่า ไม่มีอะไรหรอก…”

 

โมโกะรีบพูดปฏิเสธออกไปด้วยความที่เธอไม่กล้าจะคุยกับพิเน๊ะสักเท่าไหร่นักในขณะที่รีซาน่านั้นก็ยังคงหันซ้ายหันขวาอยู่สักพักก่อนจะที่เธอจะสังเกตเห็นตำแหน่งของพระอาทิตย์ที่เริ่มจะคล้อยต่ำลงแล้วจึงได้นำขวานศึกของเธอมาสะพายไว้บนหลังและพูดถามทั้งสองคนขึ้นมา

 

“วันนี้ต่อให้ล่าได้ก็คงจะจัดการแล่เนื้อให้เสร็จไม่ทันแล้วล่ะมั้งคะเนี่ย… ทั้งสองคนจะกลับกันเลยหรือเปล่าคะ? ที่ห้องของฉันยังมีเนื้อที่เหลือจากรอบก่อนอยู่ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันเอามาทำเป็นเนื้อย่างให้ทานกันดีมั้ยคะ?”

 

“อื้อ!”

 

“เนื้อย่างหรอ? ก็น่าสนใจอยู่นะ”

 

โมโกะที่ได้ยินรีซาน่าพูดถึงเรื่องอาหารนั้นได้เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเพราะว่าเมื่อเช้านี้เธอก็ถูกอลิซลากตัวไปฝึกซ้อมเสร็จแล้วก็ต้องมานั่งจัดการสวนหลังบ้านที่เละไปเพราะฝีมือตัวเองอีกแล้วพอเธอจะเริ่มพักกินข้าวคุณพ่อของเธอก็โผล่มาสั่งให้กลับไปที่หมู่บ้านจนทะเลาะกันก่อนจะได้กินเสร็จอีกต่างหาก แล้วนี่ก็ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเธอยังไม่มีอารมณ์จะกลับไปที่คฤหาสน์ในตอนนี้อีกด้วย

 

และหลังจากที่พวกเธอช่วยกันจัดการเก็บแคมป์ส่วนตัวของรีซาน่ากันจนเสร็จแล้วนั้นรีซาน่าที่คุ้นเคยกับป่าแห่งนี้มากที่สุดก็ได้เดินนำทุกคนตรงออกไปจากป่ากัน โดยโมโกะที่เดินตามหลังรีซาน่าอยู่นั้นก็ได้พยายามพูดชวนคุยขึ้นมาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องหันไปมองทางด้านหลังที่มีพิเน๊ะกำลังเดินตามมาอยู่

 

“จะว่าไป… เธอมาจากหมู่บ้านนอกเมืองแบบนี้แล้วนี่เธอพักอยู่ที่ไหนล่ะรีซาน่า?”

 

“อ๋อ ทางโรงเรียนเขามีหอพักให้สำหรับนักเรียนที่มาจากนอกเมืองอย่างฉันหรือว่านักเรียนที่ไม่สะดวกจะเดินทางไปกลับเพราะว่าบ้านอยู่ห่างจากโรงเรียนอย่างคุณพิเน๊ะน่ะค่ะ”

 

“อื้อ!”

 

รีซาน่าได้พูดอธิบายออกมาให้โมโกะฟังในขณะที่พิเน๊ะนั้นก็ได้พยักหน้าขึ้นลงๆ เสริมด้วยอีกคนหนึ่งก่อนที่ทุกคนจะเดินพ้นแนวป่ามาโผล่ที่ถนนทางทิศเหนือนอกเมืองรีมินัสห่างจากตัวคฤหาสน์ของเวก้าอยู่พอประมาณ

 

“แต่โมโกะจังพูดเหมือนกับไม่รู้ว่าทางโรงเรียนมีหอพักให้แบบนี้แล้วนี่โมโกะจังพักอยู่ที่ไหนหรอคะ?”

 

“ก็พอดีว่าเกิดเรื่องขึ้นมานิดหน่อยฉันก็เลยต้องไปอยู่ที่คฤหาสน์หลังนั้นแทนน่ะ”

 

โมโกะพูดตอบรีซาน่ากลับไปพร้อมกับชี้นิ้วไปทางคฤหาสน์ของเวก้าที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งเมื่อรีซาน่าได้ยินแบบนั้นเธอก็รีบหันกลับไปดูด้านหลังพร้อมกับร้องขึ้นมาด้วยความตกตะลึงในทันที

 

“โห— สุดยอดไปเลยนะคะเนี่ย! แล้วคฤหาสน์ใหญ่ขนาดนั้นนี่มีคนอื่นอยู่ด้วยมั้ยคะเนี่ย?”

 

“อื้อ ก็มีนากากับพรีมูล่าแล้วก็มีเพื่อนของพวกฉันอีกสองคนอยู่ด้วยน่ะ”

 

“ฮิฮิ~ แต่ฉันว่ามันกว้างไปหน่อยนะ กว่าจะหาตัวเจอในนั้นก็ใช้เวลาตั้งนานแน่ะ~”

 

พิเน๊ะที่เดินตามทั้งสองมาเงียบๆ ได้สักพักหนึ่งแล้วได้เอ่ยปากออกความเห็นเกี่ยวกับตัวคฤหาสน์ขึ้นมาซึ่งนั่นก็ทำให้โมโกะหันกลับไปพยักหน้าเห็นด้วยกับความเห็นของเธอ

 

“นั่นสินะ เอาจริงๆ ตอนที่ฉันเพิ่งมาถึงก็หลงไปหลายรอบอยู่เหมือนกัน แล้วยิ่งเมื่อตอนกลางวันนะยัยพรีมูล่าก็หลงทางจนหาห้องของตัวเองที่จองเอาไว้ไม่เจออีกต่างหาก”

 

“เห… ข้างในนั้นกว้างถึงขั้นทำให้หลงทางกันได้เลยหรอคะเนี่ย”

 

“ใช่แล้วล่ะ! แล้วก็นะ…”

 

โมโกะที่เห็นว่าทั้งรีซาน่าและพิเน๊ะต่างก็มีท่าทีสนใจในตัวคฤหาสน์นั้นได้เล่าเรื่องต่างๆ ให้อีกฝ่ายฟังพลางแอบสอดแทรกเรื่องนินทาพรีมูล่าที่รีซาน่าเคยพบมาก่อนแล้วเข้าไปด้วย ซึ่งเมื่อดูจากภายนอกแล้วพวกเธอทั้งสามคนก็ดูไม่ได้ต่างไปจากกลุ่มเด็กนักเรียนที่เพิ่งจะกลับมาจากการทำกิจกรรมที่ด้านนอกเมืองและกำลังกลับไปที่โรงเรียนรีมินัสสักเท่าไหร่นัก

 

และกว่าทั้งสามคนจะเดินทางมาถึงโรงเรียนที่เป็นจุดหมายนั้นโมโกะกับรีซาน่าก็ได้ผลัดกันเล่าเรื่องต่างๆ ให้อีกฝ่ายฟังจนเริ่มที่จะเกิดความสนิทสนมกันขึ้นมาบ้างแล้ว ส่วนทางด้านพิเน๊ะที่ไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้ทั้งสองคนฟังเลยนั้นก็ได้ส่งเสียงหัวเราะกับเรื่องเล่าของโมโกะและรีซาน่าออกมาเป็นพักๆ จนทำให้โมโกะเริ่มที่จะคิดว่าเด็กสาวหัวสีเหลืองแซมเขียวก็คงจะเหมือนเป็นเด็กธรรมดาๆ ทั่วไปจะติดก็แค่ตรงที่เธอมีปัญหาเรื่องการแสดงออกเพียงเท่านั้นเอง

 

ซึ่งเด็กสาวทั้งสามคนที่เดินคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นก็ได้เดินตรงไปยังหอพักนักเรียนที่อยู่ด้านในสุดของเขตโรงเรียนโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นเด็กสาวและชายวัยกลางคนคู่หนึ่งที่แอบเดินตามพวกเธอมาตั้งแต่อยู่ในป่าจนมาถึงหน้าประตูโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย

 

“คิดว่ายังไงบ้างล่ะคะ…? ถ้าเกิดคุณพ่อกลัวว่าเด็กที่มาจากหมู่บ้านอย่างโมโกะจะเข้ากับเด็กนักเรียนของที่นี่ไม่ได้ล่ะก็ภาพที่เห็นนั่นน่าจะคลายความกังวลของคุณพ่อได้บ้างใช่มั้ยล่ะคะ…”

 

“ครับ…”

 

คุณพ่อของโมโกะพูดตอบอลิซกลับไปโดยไม่มีท่าทีว่าจะคลายความกังวลลงเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าจริงๆ แล้วเรื่องที่เขากังวลอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เขากลัวว่าโมโกะอาจจะเข้ากับเด็กนักเรียนของที่นี่ไม่ได้อย่างที่เขาอ้างกับอลิซไปก่อนจะถูกเธอสั่งให้แอบตามมาดูลูกสาวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

 

“แต่ถึงเธอจะเข้ากับเด็กนักเรียนของที่นี่ได้ก็เถอะ… ถ้าเกิดว่าพวกในวังเขาอยากจะ—”

 

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ ในฐานะที่ฉันเป็นอาจารย์ของโรงเรียนรีมินัส ฉันรับปากได้เลยว่าผู้อำนวยการคนนี้เขาจะไม่ปล่อยให้นักเรียนต้องไปเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็นรวมถึงไม่ปล่อยให้พวกวังหลวงเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในโรงเรียนแน่นอนค่ะ”

 

ถึงแม้ว่าคุณพ่อของโมโกะจะได้รับคำยืนยันจากปากของอลิซไปแล้วแต่ว่าเขาก็ยังไม่อาจวางใจให้โมโกะอยู่ที่เมืองรีมินัสได้อยู่ดีจนทำให้เขาต้องรีบพูดขึ้นมาอีกครั้งเพื่อหาทางพาตัวโมโกะกลับไปที่หมู่บ้านในทันที

 

“แต่ว่านั่นมันก็หมายถึงแค่ตอนที่โมโกะเขาอยู่ภายในเขตโรงเรียนไม่ใช่หร—”

 

“งั้นถ้าเกิดว่าคุณพ่อเป็นห่วงล่ะก็จะลองอยู่ที่เมืองรีมินัสสักพักจนกว่าจะมั่นใจในความปลอดภัยของตัวลูกสาวดีมั้ยล่ะคะ? ส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะเพราะว่ามันมีเรื่องของข้อตกลงที่ลูกสาวของคุณพ่อทำเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว เพราะงั้นเดี๋ยวทางนั้นน่าจะเป็นคนจัดการเรื่องที่พักให้เองค่ะ”

 

“ข้อตกลงงั้นหรอครับ…?”

 

“ค่ะ แต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะเพราะว่ามันข้อตกลงแบบเดียวกับที่อารอนคิดมาให้นากาใช้ในการต่อรองกับเอริกะในตอนที่เขาพานากามาสมัครเรียนต่อในเมืองน่ะค่ะ”

 

“งั้นหรอครับ… เฮ้อ…”

 

คุณพ่อของโมโกะที่ได้ยินว่าสัญญาที่โมโกะทำเอาไว้เป็นแบบเดียวกับที่คุณหมออารอนคิดขึ้นมาให้นากาใช้ในการต่อรองเพื่อเรียนต่อนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เพราะทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านโมริโกะแบบเขานั้นต่างรู้ดีว่าถ้าไม่ได้ตัวนากาที่คุณหมออารอนมองเป็นเหมือนกับคนในครอบครัวแล้วล่ะก็คงจะไม่มีหมอคนไหนคิดจะมาตั้งคลินิกที่หมู่บ้านชายแดนของพวกเขาแน่ๆ เพราะฉะนั้นข้อตกลงที่คุณหมออารอนคิดขึ้นมาให้กับนากานั้นไม่มีทางที่จะเป็นข้อตกลงที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างแน่นอน

 

“อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาอีกครั้งฉันขอรับรองเลยค่ะว่าในคราวนี้จะไม่มีใครยอมอยู่เฉยแน่นอนค่ะทั้งฉัน ทั้งอารอน แล้วก็เอริกะที่คุณพ่อกำลังจะไปพบด้วย…”

 

“อาจารย์อลิซ…”

 

“เรียกฉันว่าอลิซเฉยๆ ก็พอค่ะ… ถ้ายังไงเดี๋ยวพวกเราไปคุยกันต่อที่บ้านของเอริกะกันเถอะ แล้วเดี๋ยวจะได้บอกให้เอริกะเขาหาที่พักให้คุณพ่อตอนอยู่ในเมืองด้วยไปเลยน่ะ”

 

“ครับ…”