บทที่ 50 ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณโจมตี ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 50 ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณโจมตี ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า
เซียนซีเสวียนส่ายหน้าหลุดยิ้ม ไม่รู้ว่าควรสรรหาคำใดมาพูดกับหานเจวี๋ยดี

เจ้าเด็กนี่…

อุบเรื่องเก่งจริงๆ

“เหอะ! เห็นข้าตลกนักหรือ ดูแล้วเจ้าก็ไม่ได้เห็นข้าเป็นอาจารย์เลย ก็ถูกนะ เป็นอาจารย์แต่ข้าไม่เคยสอนอะไรเจ้าเลย” เซียนซีเสวียนแค่นเสียงกล่าว

หานเจวี๋ยยักไหล่เอ่ย “จู่ๆ ท่านก็เอ่ยถามเช่นนี้ ข้าตั้งตัวไม่ทัน อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าก็เคยถามท่านเกี่ยวกับสถานที่ที่เหมาะสำหรับการฝ่าด่านเคราะห์แล้วด้วย”

เซียนซีเสวียนส่ายหน้าอดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนั้นนางจะคิดได้อย่างไรว่าหานเจวี๋ยทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณได้เร็วเพียงนี้ เขาเพิ่งทะลวงระดับปราณก่อกำเนิดไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนเอง?

นางพลันถามต่อ “เจ้ามีความต้องการสิ่งใดหรือไม่ เอ่ยมาได้เลย เจ้ามีคุณูปการต่อสำนักหยกพิสุทธิ์มากกว่าที่สำนักหยกพิสุทธิ์บ่มเพาะเจ้า ไม่ต้องเกรงใจ”

ความต้องการหรือ

หานเจวี๋ยนึกอยู่ครู่หนึ่ง

“มีโอสถฝึกฝนเปลี่ยนวิญญาณหรือไม่”

“ไม่มี…”

“เช่นนั้นก็ช่วยข้าเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณภายในถ้ำเทวาของข้าเถิด”

“อืม ข้าจะคิดหาวิธี”

หานเจวี๋ยมีวิชายุทธ์ วิชาเวทสืบทอดของตัวเอง ไม่ต้องการการถ่ายทอดของสำนักหยกพิสุทธิ์

ที่เขาอยู่สำนักหยกพิสุทธิ์มาโดยตลอด ก็เพราะไม่มีสถานที่อื่นที่ดีๆ ให้ไป หากจะให้ระหกระเหเร่ร่อนอย่างลำบากยากแค้น ก็ไม่สู้ฝึกฝนอยู่ที่นี่อย่างสบายใจดีกว่า

หลังจากสนทนาสบายๆ ไม่กี่ประโยค หานเจวี๋ยก็ลุกเดินจากไป

เซียนซีเสวียนมองตามหลังเขา จู่ๆ ก็เอ่ยถามออกไปประโยคหนึ่ง “เจ้าจะอยู่ที่สำนักหยกพิสุทธิ์ไปอีกนานเท่าไร”

หานเจวี๋ยชะงักฝีเท้า หันมองไปทางนาง เอ่ยถามขึ้น “เหตุใดถึงถามเช่นนี้ หากข้าอยากจะหนี ก็คงหนีไปเสียนานแล้ว”

เซียนซีเสวียนส่ายหน้ากล่าว “ข้าไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะหนี แต่เจ้าเติบโตเร็วเกินไป พอถึงเวลานั้นวัดเล็กๆ ไม่อาจบรรจุพระพุทธรูปองค์ใหญ่เช่นเจ้าได้ ในดินแดนบำเพ็ญพรตนี้สำนักที่เก่งกาจกว่าสำนักหยกพิสุทธิ์มีมากมายยิ่งนัก คนต้องเดินสู่ที่สูง วารีไหลลงสู่ที่ต่ำ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญที่มุมานะฝึกฝนเช่นเจ้า ในปีนั้นปรมาจารย์ที่เปิดสำนักก็ได้ไปจากต้าเยี่ยน เพื่อไปยังดินแดนที่สูงกว่า”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้

หานเจวี๋ยยิ้มเอ่ย “อาจจะกระมัง หากมีวันใดที่ข้าอยากจากไปจริงๆ ข้าจะบอกอาจารย์ก่อนอย่างแน่นอน”

กล่าวจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไป

ไปสู่ดินแดนที่กว้างใหญ่กว่าเพื่อแสวงหามหามรรคาหรือ

พูดบ้าๆ!

ข้ายอมเป็นหัวไก่ แต่ไม่ยอมเป็นหางหงส์!

อย่างไรเสีย เขาก็มีคุณสมบัติขั้นสูงล้ำ ฝึกฝนอย่างวางใจก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดต้องออกไประเหเร่ร่อนในโลกกว้างด้วย

……

กลับถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยก็เริ่มนั่งสมาธิ

ทันใดนั้นไก่คุกรัตติกาลก็เอ่ยปากพูดขึ้น “นายท่าน ก่อนหน้านั้นข้าได้ยินเสียงไก่ร้องมากจากตีนเขา พอได้ยินเสียงของพวกมัน ข้าก็รู้สึกใจวูบไหวอย่างบอกไม่ถูก อยากจะพุ่งออกไป นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน หรือจะเป็นวิชาปีศาจที่ท่านพูดถึง?”

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วตอบ “ใช่ เจ้าต้องควบคุมอารมณ์หุนหันพลันแล่นนี้ หากเจ้าตามมันไปก็จะตกอยู่ในสถานที่ที่ไม่อาจช่วยเหลือได้ตลอดกาล ยากที่จะกลายเป็นหงส์ได้ นี่คือสิ่งที่สวรรค์กำลังทดสอบเจ้า”

หรือฤดูผสมพันธุ์ของเจ้านี่จะมาถึงแล้ว

ได้ยินเสียงไก่ตัวเมียร้องก็เริ่มต้านทานไม่ไหวเสียแล้ว?

ไก่คุกรัตติกาลได้ยินเช่นนั้น ก็พลันรู้สึกตึงเครียดจนขนไก่ตั้งชันราวกับไก่ตัวผู้ที่กำลังจะสู้ศึก

“ขอบคุณนายท่านที่กล่าวเตือน ข้าเกือบหลงทางแล้ว หนทางแห่งการฝึกฝนช่างเต็มไปด้วยอันตรายจริงๆ!” ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยทอดถอนใจ

หานเจวี๋ยแอบขำในใจ

ข้ายังเป็นเด็กอยู่เลย เจ้าเองก็อย่าคิดที่จะใช้ชีวิตเร็วเกินไป!

เจ้าก็เป็นลูก…ไก่แล้วกัน!

ไม่นาน หานเจวี๋ยกับไก่คุกรัตติกาลก็เข้าสู่การฝึกฝน

ยามว่างหานเจวี๋ยจะปลูกฝังความคิดของตัวเองให้กับไก่คุกรัตติกาล

ทุกสรรพสิ่งล้วนด้อยค่า มีเพียงการบำเพ็ญเท่านั้นที่สูงส่ง

ผู้บำเพ็ญล้วนเป็นคนเหนือคน!

ไก่บำเพ็ญ ก็เป็นไก่ที่เหนือกว่าไก่ทั้งปวง!

……

เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านพ้นไปสองปี

หานเจวี๋ยยังไม่ทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นสอง แต่อาศัยการรับประทานโอสถ จนตอนนี้เริ่มเข้าใกล้ขั้นสองแล้ว

เขาไม่หยุดพัก แต่ยังคงฝึกฝนต่อ ช่วงชิงเวลาทะลวงในเร็ววัน

วันนี้

ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณก็มาในที่สุด

ผู้ที่มาคือเจ้าลัทธิหวงจุนเทียนและผู้อาวุโสท่านหนึ่ง

ผู้อาวุโสท่านนี้มีฉายาทางเต๋าว่านักพรตเต๋าซั่นขุย มีตบะระดับเปลี่ยนวิญญาณเช่นกัน

หวงจุนเทียนหยุดลงบนยอดเขา มองไปทางยอดเขาทั้งสิบแปดของสำนักหยกพิสุทธิ์ที่อยู่ไกลๆ อย่างระแวดระวัง

นักพรตเต๋าซั่นขุยคลุมด้วยเสื้อกันฝนที่ทำมาจากหญ้าหนวดมังกร ดวงตาทั้งคู่ที่อยู่ใต้ปีกหมวกเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบมิได้ แฝงไปด้วยจิตสังหาร

“เจ้าสำนัก ลงมือเถอะ!”

นักพรตเต๋าซั่นขุยเอ่ยปากกล่าว น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม

นี่น่ะหรือสำนักหยกพิสุทธิ์

อ่อนแอยิ่งนัก!

กลิ่นอายระดับเปลี่ยนวิญญาณสักคนยังไม่มีเลย!

ผู้แข็งแกร่งระดับปราณก่อกำเนิดก็เหลือไม่ถึงสิบคน เดิมทีก็ไม่เพียงพอให้พวกเขาสังหาร!

หวงจุนเทียนกล่าวอย่างลังเล “อ่อนแอเกินไป จะเป็นหลุมพรางหรือไม่ หากเป็นข้า คงไม่กล้าไปโจมตีลัทธิศักดิ์สิทธิ์”

นักพรตเต๋าซั่นขุยจนวาจา กล่าวว่า “กลัวอะไร พวกเขาก็แค่ทุ่มกำลังต่อสู้ให้ถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นช้าเร็วก็ถูกพวกเรากลืนกินอยู่ดี!”

หวงจุนเทียนนิ่งเงียบ

เห็นท่าทีขี้ขลาดของเขาเช่นนี้แล้ว นักพรตเต๋าซั่นขุยก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก

หากไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ เขาอยากจะช่วงชิงตำแหน่งเจ้าลัทธิจริงๆ

“ไม่ได้ ข้ารู้สึกไม่วางใจ มักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง” หวงจุนเทียนขมวดคิ้วกล่าว

นักพรตเต๋าซั่นขุยรู้สึกโกรธจัด กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าลัทธิ! โอกาสไม่อาจพลาด เวลาไม่อาจย้อนกลับ หากลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณถูกฝังเพราะน้ำมือพวกเรา แล้วจะเผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิคนก่อนได้อย่างไร”

หัวคิ้วของหวงจุนเทียนเกือบจะผูกติดกันแล้ว

……

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

[ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณกำลังจะบุกสำนักหยกพิสุทธิ์]

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น รีบตรวจสอบผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักหยกพิสุทธิ์

[หวงจุนเทียน: ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า เจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ เป็นผู้ระมัดระวังตัวยิ่งนัก ไม่ชอบการเข่นฆ่าสังหาร]

เจ้าลัทธิมาแล้ว?

ระมัดระวังมาก?

ไม่ชอบการสังหาร?

หานเจวี๋ยกะพริบตา เขายังคิดว่าตัวเองอ่านผิดไป

ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณไม่ใช่ลัทธิมารจริงๆ หรือ

หานเจวี๋ยไม่คิดอะไรมากอีก เขาเปิดฟังก์ชันจำลองการทดสอบอย่างระมัดระวัง ลองประมือกับหวงจุนเทียนเป็นอันดับแรก

ผ่านไปสามอึดใจ เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ค่อยๆ ลุกขึ้นเตรียมออกไปจากถ้ำเทวา

ไก่คุกรัตติกาลเป็นกังวลจนถึงที่สุด ร้องเรียกขึ้นว่า “นายท่าน ท่านจะหนีแล้วหรือ”

มันรีบร้อนลุกขึ้น เตรียมจะหนีไปพร้อมกัน

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “สู้ไม่ได้ถึงจะหนี เจ้ารออยู่ที่นี่อย่างวางใจเถอะ!”

พอวาจาสิ้นสุดลง เขาก็กลายเป็นวายุพุ่งออกไปจากถ้ำ

เพียงไม่นาน เขาก็หาหวงจุนเทียนกับนักพรตเต๋าซั่นขุยพบ

ทั้งสองคนยังถกเถียงกันไปจบ

นักพรตเต๋าซั่นขุยพยายามโน้มน้าวด้วยความอดทน แต่หวงจุนเทียนก็รั้งเขาไว้ ไม่ให้เขาลงมือโดยง่าย

พอเห็นหานเจวี๋ยเหาะเข้ามา ทั้งสองก็พลันหยุดถกเถียง มองหันเจวี๋ยด้วยท่าทีระแวดระวัง

หานเจวี๋ยหยุดห่างจากพวกเขาไปไม่ถึงสิบจั้ง

เขามองดูรอบๆ ด้วยความแปลกใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “แค่พวกเจ้าสองคนหรือ”

พอวาจานี้ออกจากปาก หัวใจของหวงจุนเทียนก็เต้นอย่างบ้าคลั่ง

วาจานี้…

มีแผนการอย่างที่คิดไว้จริงๆ!

นักพรตเต๋าซั่นขุยเห็นเขามีตบะเพียงระดับสร้างฐานขั้นเก้า แต่กลับอาจหาญพุ่งเข้ามาโดยตรง ทั้งยังกล่าววาจาเช่นนี้ คนผู้นี้จะต้องมีวิชาซ่อนตบะอย่างแน่นอน!

คำเล่าลือเกี่ยวกับผู้อาวุโสสังหารเทพ เขาย่อมเคยได้ยินมาก่อน

หรือคนผู้นี้จะเป็นผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์?

แต่ต้วนทงเทียนเพิ่งบรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณ ไม่อาจเทียบกับพวกเขาได้เลย

นักพรตเต๋าซั่นขุยกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกเราสองคนยังไม่พออีกหรือ? สหายเต๋าเหิมเกริมจริงๆ เช่นนั้นข้าจะสอนพลังมรรคให้เจ้าเอง!”

หานเจวี๋ยเพิกเฉยต่อนักพรตเต๋าซั่นขุย กลับมองไปยังหวงจุนเทียน

ท่านผู้นี้ก็คือเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหรือ

ดูแล้วช่างทรงพลังจริงๆ!

เพียงแต่…

เหตุใดแววตาของเขาถึงหลุกหลิกอยู่บ้าง ราวกับว่าอ่อนแอเป็นยิ่งนัก

หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าว “เจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินมาว่าท่านไม่ชอบการเข่นฆ่าสังหาร เหตุใดถึงได้พุ่งเป้ามายังสำนักหยกพิสุทธิ์ของเราเล่า”

หวงจุนเทียนอยากจะเอ่ยแจ่กลับหยุดลง

นักพรตเต๋าซั่นขุยตะคอกออกมาด้วยความโมโห “พูดจาไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย!”

เขาลงมือทันใด กริชสีขาวเงินในมือพุ่งมาทางหานเจวี๋ยโดยฉับพลัน

แสงเย็นเยียบปรากฏออกมาในทันใด!

รวดเร็วนัก!

เคร้ง!

กริชสีขาวเงินกำลังจะโดนตัวหานเจวี๋ย แต่ก็ถูกดีดกระเด็นออกไปราวกับปะทะกับระฆังยักษ์ไร้ลักษณ์

รูม่านตาของนักพรตเต๋าซั่นขุยพลันขยาย กำลังร่ายคาถา เตรียมจะสำแดงวิชาต่อไป

หานเจวี๋ยยกมือขึ้นราวกับสายฟ้าแลบ สามกระบี่แยกเงารวมตัวกันกลางอากาศ พุ่งออกไปสังหารนักพรตเต๋าซั่นขุยทันใด

นักพรตเต๋าซั่นขุยหลบหลีกโดยไม่รู้ตัว แต่สามกระบี่แยกเงาก็รวดเร็วเกินไปนัก!

เร็วเสียจนผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณผู้นี้ยังหลบไม่ทัน

เกิดเสียงดังตู้ม!

นักพรตเต๋าซั่นขุยถูกสังหารทันใด กายเนื้อกลายเป็นหมอกโลหิต

หวงจุนเทียนเบิกตาโพลง สีหน้าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก

……………………………………….