ตอนที่ 22 มาร่วมมือกัน
พืชพรรณที่ถูกรดด้วยน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณดูมีชีวิตชีวามากกว่าบริเวณที่ไม่ได้รด เห็นได้ชัดว่าน้ำในมิติน้ำพุของนางมีประโยชน์มากเพียงใด !
นางตั้งอกตั้งใจเอาจอบมาขุดพรวนดินอีกครึ่งแปลงที่เคยแห้งผาก จากนั้นก็ใช้เสียมขุดเป็นหลุมเล็กๆ ห่างกันประมาณ 1 ฉื่อ ส่วนเจ้าหนูน้อยก็คอยหยอดเมล็ดพันธุ์ตามอยู่ด้านหลัง โดยพี่รองบอกว่าให้เขาหยอดหลุมละ 2 เมล็ด
หลินเว่ยเว่ยขุดดินเร็วมาก พอหันไปมองก็พบว่าน้องชายตัวน้อยเดินตามหลังมาติด ๆ อีกทั้งยังหยอดเมล็ดพันธุ์อย่างขยันขันแข็ง หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวชมและด้วยความดีใจเด็กน้อยจึงทำงานดีขึ้นกว่าเดิม
บริเวณไม่ไกลออกไป ป้ากุ้ยฮวาเห็นว่านางได้ขุดหลุมห่างกันมากจึงอดพูดเตือนมิได้ “การที่เจ้าปลูกเช่นนั้นไม่ถูกต้อง ปลูกห่างกันถึงเพียงนี้จะได้กี่ต้นกันเชียว แล้วจะได้ผลผลิตดีอย่างไร ? ”
ชาติที่แล้วหลินเว่ยเว่ยเป็นนักศึกษาผู้มากความสามารถของภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตรจึงมีทักษะการปลูกข้าวโพดยิ่งกว่าสิ่งใด ถึงกระนั้นนางก็ยังย้อนถามด้วยความสงสัย “ป้ากุ้ยฮวา แล้วปกติพวกท่านปลูกกันเช่นไร ? ”
“ก็เหมือนปลูกข้าวสาลีคือหยอดไปทีละเมล็ด ! ” ป้ากุ้ยฮวาตอบอย่างมีเหตุผล
หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วถามต่อ “แล้วผลผลิตเป็นอย่างไร ? หนึ่งหมู่เก็บเกี่ยวได้เท่าไหร่ ? ”
“หากผลผลิตดีหน่อยก็จะได้ราว 200 ชั่ง แต่หากช่วงไหนได้ผลผลิตไม่ดีก็ยังได้ไม่เท่าข้าวสาลีเลย ! รสชาติเส้นหมี่ข้าวโพดไม่อร่อยเท่าเส้นหมี่จากข้าวสาลี เวลาราชสำนักเก็บภาษีก็มักไม่รับพวกแป้งและเส้นหมี่จากข้าวโพด พวกเราจึงไม่ค่อยชอบปลูกกัน ! ” ป้ากุ้ยฮวาส่ายหน้าขณะที่พูด
ข้าวโพดของพวกท่านปลูกเบียดเสียดจนแทบไม่มีที่ให้ดูดซับสารอาหาร คงได้ผลผลิตสูงอยู่หรอก ! จากนั้นนางก็ถามป้ากุ้ยฮวาอีก “ทุกคนปลูกข้าวโพดด้วยวิธีนี้หมดเลยหรือ ? ”
“ใช่ ! ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ใดปลูกเช่นเจ้ามาก่อนเพราะมันเปลืองพื้นที่ ! ” ป้ากุ้ยฮวาตอบอย่างเป็นจริงเป็นจัง
หลินเว่ยเว่ยก็ไม่อยากเถียงอีกต่อไป รอให้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนเถิด ถึงเวลานั้นความจริงย่อมชนะถ้อยคำปากเปล่าของมนุษย์ ดังนั้นนางจึงยิ้มรับแล้วกล่าวว่า “เมล็ดพันธุ์ที่ข้าซื้อมามีไม่มาก ข้าไม่รู้ว่าหากปลูกตอนนี้แล้วจะได้ผลผลิตหรือไม่ เช่นนั้นข้าจึงอยากลองเสียหน่อย”
“เจ้าปลูกให้น้อยลงหน่อย เผื่อว่าลมหนาวมาเร็วและถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอันใดไม่ทัน” จากนั้นป้ากุ้ยฮวาก็หันไปรดน้ำในแปลงนาของตนต่อ
สวรรค์บ้า ! เหตุใดไม่ยอมปล่อยให้ฝนตกลงมาเสียที ! หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สระน้ำที่เชิงเขาคงแห้งเหือดก่อนเป็นแน่ พอถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ไม่มีน้ำมารดแปลงไร่นาเลย แม้แต่มนุษย์ก็อาจอดน้ำตาย ! นางมองไปยังแปลงนาที่พืชพันธุ์ตายไปกว่าครึ่งด้วยความเหนื่อยใจ ปีนี้ช่างแร้นแค้นเหลือเกิน !
ในตอนแรกหลินเว่ยเว่ยขุดดินไม่เก่งนัก แต่หลังจากนั้นนางก็เริ่มจับทางถูกและใช้เวลาไม่นานก็ขุดหลุมปลูกข้าวโพดเสร็จ หลังจากนั้นนางก็ไปแบกน้ำมาทีละครึ่งถัง ใช่ว่าขี้เกียจแต่อย่างใด ทว่านางจะได้แอบนำน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณมาใส่เพิ่มได้สะดวกยิ่งขึ้น
หลินเว่ยเว่ยรดน้ำใส่หลุมที่หยอดข้าวโพดไว้ทีละหลุม เจ้าหนูน้อยก็คอยกระโดดโลดเต้นตามหลังพี่สาว ขณะเดียวกันก็ช่วยใช้เท้ากลบดินให้ สองพี่น้องทำงานกันอย่างขยันขันแข็งจนในไม่ช้าทั้งคู่ก็ทำภารกิจสำเร็จ จากนั้นหลินเว่ยเว่ยยังแบกถังน้ำไปรดแปลงข้าวสาลีที่เหี่ยวแห้งใกล้ตายอีกด้วย
บริเวณนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือจึงทำให้ประสบภัยหนาวยาวนานกว่าที่อื่น เป็นเหตุให้ข้าวสาลีที่ปลูกในต้นเดือนสี่จนถึงตอนนี้ก็ยังสูงไม่ถึง 1 ฉื่อ สมแล้วที่มันเป็นต้นข้าวจิ๋ว !
นางเดินแบกน้ำมารดครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังสามารถรดน้ำทั่วทั้งแปลงได้อย่างรวดเร็ว ขนาดแปลงข้าง ๆ มีคนมาช่วยงานถึงสามคนก็ยังเร็วไม่เท่านาง ทำให้พวกเขาแปลกใจอยู่มิน้อย
ในอดีตที่ดินของตระกูลหลิวทั้งสามหมู่จะถูกดูแลโดยนางหวงและบุตรสาวคนโต แต่ระยะหลังมานี้นางหวงล้มป่วย บุตรสาวคนโตก็มักแอบอู้งานเป็นประจำ ทำให้ผลผลิตของครอบครัวได้น้อยสุดในหมู่บ้าน หลังจากนำพืชพรรณไปจ่ายภาษีแล้วที่เหลือไว้ทานก็มีไม่เท่าไร หากมิใช่เพราะนางหวงมีฝีมือในการทำอาหารยอดเยี่ยมและเวลามีงานมงคลของหมู่บ้านใกล้เคียง คนละแวกนั้นมักมาจ้างให้นางไปทำอาหารเพื่อแลกแป้งหมี่ต่าง ๆ ไม่อย่างนั้นครอบครัวของนางคงอดตายกันไปนานแล้ว
แม้เป็นเช่นนี้นางก็ยังดึงดันที่จะส่งบุตรชายคนโตไปเรียนหนังสือจึงทำให้คนในหมู่บ้านล้อเลียนและถากถาง นางว่าหากให้บุตรชายคนโตผลาญเงินไปกับการเรียนแล้วบุตรที่เหลือจะทานอันใด !
ในตอนที่สามีของนางหวงยังมีชีวิตอยู่ เขาขยันขันแข็งและทุ่มเทแรงกายทั้งหมดทำไร่ทั้งสามหมู่นี้ บางครั้งเขาก็ไปเอาดินที่อุดมสมบูรณ์มาจากบนภูเขาเพื่อมาบำรุงดิน เวลาว่างเขาก็มักเข้าไปทำงานในเมืองโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นผู้คนในหมู่บ้านจึงชอบไหว้วานเขา
กอปรกับเขามีพรสวรรค์ในการล่าสัตว์มิด้อยไปกว่าพรานหวัง ทั้งคู่จึงมักชอบเข้าไปล่าสัตว์ในป่าด้วยกันเป็นประจำ ขณะที่บ้านของชาวบ้านคนอื่นอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างแออัดเบียดเสียด แต่เจ้าเด็กโง่ บุตรสาวคนรองของนางหวงกลับมีห้องเป็นของตนเอง !
หากมิใช่เพราะการหายตัวไปของสามีนางหวงเมื่อห้าปีก่อนตอนขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขา ป่านนี้ตระกูลหลินคงอาศัยการล่าสัตว์จนมีกินมีใช้ไปนานแล้ว การหายตัวไปในสายตาของชาวบ้านเทียบได้กับการตายจากโดยไม่พบศพ เมื่อตระกูลหลินขาดเสาหลักเช่นบิดาไปและหากไม่ได้มรดกเล็กน้อยที่ผู้เป็นบิดาเคยสะสมไว้ ป่านนี้พวกนางคงอดตายไปนานแล้ว !
แต่พวกเขาคาดมิถึงเลยว่าในยามที่ตระกูลหลินเดินทางมาสุดทางตันแล้ว จู่ ๆ สวรรค์ก็เมตตา เพราะเจ้าเด็กโง่บุตรสาวคนรองมิได้โง่เขลาเบาปัญญาอีกต่อไป ทั้งยังได้สืบทอดความแข็งแกร่งมาจากบิดาอีกด้วย นางเพียงคนเดียวก็สามารถทำงานได้เทียบเท่าคนห้าคน นอกจากนี้นางยังสามารถล่าหมูป่าและล่ากวางเอาไปขายเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้อีก ดูท่าแล้วนางหวงคงมีวาสนาอยู่มิน้อย ในตอนที่เป็นสาวน้อยก็ได้พึ่งพาสามีคนขยัน พอมาตอนนี้ก็มีบุตรคอยดูแลไม่ขาด ! ช่างเป็นชีวิตที่เปี่ยมวาสนาเหลือเกิน !
“ป้ากุ้ยฮวา ข้าขอตัวกลับบ้านก่อน ! ” หลินเว่ยเว่ยโบกมือลาอีกฝ่าย จากนั้นก็หันไปตะโกนเรียกน้องชายที่กำลังเก็บฟืนอยู่บริเวณไม่ไกลออกไป “น้องสี่ กลับบ้านกันเถิด ! ”
เด็กน้อยแบกเสียมด้ามเล็กขึ้นบ่าอย่างภาคภูมิใจ “พี่รอง ท่านดูสิ ! ข้าเก็บฟืนได้เยอะเชียว ! ”
“เด็กน้อย เจ้าช่างขยันเสียจริง วันนี้ข้าจะให้น่องไก่เป็นรางวัลหนึ่งชิ้น ! ” หลินเว่ยเว่ยใช้มือเดียวยกถังน้ำขึ้นมาสองใบ จากนั้นก็เอาฟืนที่เด็กน้อยมัดไว้เรียบร้อยแบกขึ้นบ่า
ตอนใกล้ถึงหมู่บ้าน ระหว่างทางก็ได้พบกับพรานหวัง ในมือของเขามีกระต่ายป่าสองตัว สีหน้าของเขาดูหนักใจมิน้อยราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างภายในใจ
“ลุงหวัง ท่านไปล่าสัตว์มาหรือ! เจ้ากระต่ายสองตัวนี้ตัวใหญ่ไม่เบาเลย” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยทักทายพรานหวังด้วยรอยยิ้ม
พรานหวังถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้หมูป่าเริ่มล่าได้ยากขึ้น ข้าเองก็ไม่กล้าเข้าไปในป่าลึก อีกทั้งหมูป่าบริเวณชายป่ารอบนอกก็มีน้อยลงทุกที หากนำเจ้ากระต่ายสองตัวนี้ไปขายคงได้เงินมาซื้อเส้นหมี่สักสองสามชั่ง ! ”
ครอบครัวของพรานหวังยึดอาชีพล่าสัตว์ในการดำรงชีวิต ทว่าทุกวันนี้ล่าสัตว์ได้ยากขึ้นทุกที กอปรกับเขายังมิเคยล่าได้สัตว์ใหญ่มาก่อนจึงทำให้ครอบครัวต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น ยิ่งตอนนี้พวกเขาไม่มีรายได้ติดต่อกันมาสามวันแล้ว พวกเขาจะมีจุดจบเช่นไรอีกนอกจากอดตาย ! ครอบครัวจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร !
“ลุงหวัง ข้าได้ยินว่าท่านชำนาญด้านการวางกับดัก เช่นนั้นพวกเรามาร่วมมือกันดีหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยมีเพียงพละกำลังที่เป็นข้อได้เปรียบ หากนางพบสัตว์ป่าที่วิ่งหนีได้อย่างรวดเร็วขึ้นมาก็คงทำได้เพียงมองเหยื่อวิ่งหนีไป !
แต่ความแข็งแกร่งของนางถือว่ามีข้อดีอยู่เช่นกัน หากเจอพวกหมียักษ์หรือสัตว์ใหญ่ อย่างน้อยนางก็มีความสามารถในการป้องกันตัว ตราบใดที่นางไม่ประมาทเข้าไปในฝูงหมาป่าก็ไม่มีวันกลัวสัตว์เหล่านั้นหรอก ! ส่วนพรานหวังก็มีความชำนาญในการวางกับดักและขุดหลุมพราง
“ร่วมมือกันหรือ ? ” พรานหวังเกิดความสนใจจึงถามด้วยความตื่นเต้น
“ท่านสอนข้าวางกับดักและขุดหลุมพราง แล้วข้าจะพาท่านไปบนป่าลึก ! ” หลินเว่ยเว่ยเสนอ
พรานหวังลังเลไปครู่หนึ่งแล้วตอบ “เจ้าอาจยังไม่รู้ พวกเราอย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องป่าลึกเลยเพราะปีนั้นมีพรานป่าที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงซึ่งมีพรสวรรค์ด้านการล่าสัตว์ยิ่งกว่าข้า แต่เขาโดนหมีตบไปทีเดียวและยังไม่ทันได้หามไปส่งถึงบ้าน เขาก็สิ้นลมเสียแล้ว ดังนั้นข้าจึงกล้าล่าสัตว์แค่ในละแวกใกล้หมู่บ้านเท่านั้น”
ตอนต่อไป