บทที่ 57 ในห้องหอไร้คน

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 57 ในห้องหอไร้คน

ท่านอ๋องเย่กลับไล่นางออกไป?

ทำไมราวกับนางเองที่ฟังผิดไป ดังนั้นนางจึงอยากลองเอ่ยปากอีกครั้ง แต่กลับพบความเจ็บปวดบนตัวนาง ราวกับนางจะบินขึ้นได้ นางพุ่งตัวไปยังเสาหินด้านข้าง

“ตุ้บ…”

“อ้าก…”

หลานเยาเยาเพียงเห็นหลานชิวหยุนลอยเป็นเส้นตรงชนเข้ากับเสา แล้วจึงตกลงบนพื้น ถ่มเลือดออกมา

นางไม่เพียงก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

แม่เอ้ย!

ทำข้าตกใจแทบตาย

เย่แจ๋หยิ่งก็ช่างไม่รู้จักทะนุถนอมเอาเสียจริง ให้ตายยังไงนางก็นับเป็นขี้วัวกลิ่นตุก้อนหนึ่ง!

ในตอนที่หลานชิวหยุนถ่มเลือดออกมานั้น จื่อเฟิงที่แต่งกายงามงดก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเย่แจ๋หยิ่ง

ไม่ผิด เป็นเขาเองที่ตีหลานชิวหยุนจนปลิวไป

นายท่านไม่จำเป็นต้องลงมือกับคนชั้นต่ำเหล่านี้ ในเวลาทั่วไป หากเพียงสัมผัสได้ว่านายท่านรู้สึกรำคาญ เขาก็จะลงมือทันที

เวลานั้นบรรยากาศภายในห้องก็นิ่งสนิททันที ทุกคนยังไม่มีใครกล้าลอบถอนหายใจ

เมื่ออ๋องเย่โกรธขึ้นมาช่างน่าหวาดกลัวนัก

ในวันพิธีเสกสมรสของเขาหลับเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น หัวของหลานเฉินมู๋ยังควรอยู่บนบ่าหรือไม่?

“ที่ข้าพูดเจ้าได้ยินหรือไม่?”

สายตาสุดลึกล้ำของเย่แจ๋หยิ่งมองมายังหลานเยาเยา เมื่อเห็นนางยืนอยู่ข้างองครักษ์ที่สิ้นใจไปแล้ว ในมือเต็มไปด้วยรอยเลือด อดไม่ได้ขมวดคิ้วขึ้น

“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ให้เล่าแล้วคงอีกนาน ข้าต้องใช้เวลากลั่นกรองถึงจะอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านได้ถูกต้อง”

เรื่องการแต่งงานแทน เรื่องทำลายโฉม เรื่องการแก้แค้นอะไรต่างๆ ต้องอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด ดังนั้นนางต้องเรียบเรียงให้ถูกต้องก่อน

เพียงแต่นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็มีคนกล้าตายอธิบายบอกกล่าวไปเสียก่อน

สุดท้ายก็มีจุดจบอันน่ารันทด!

“อย่างนั้นก็สรุปมาสั้นๆ!”

เขาไม่มีอารมณ์จะรอให้นางจับต้นสายปลายเหตุเรื่องราวทั้งหมด

“พวกเขาอยากจะเปลี่ยนพระชายาให้ท่าน ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางอิจฉารูปลักษณ์ของว่าที่พระชายาท่าน อยากจะทำลายทุกเวลานาที”

“…” ประโยคตรงกลางนั่นพูดจริงหรือนั่น?

เย่แจ๋หยิ่งกระตุกที่มุมปาก

ทว่าไม่ต้องให้นางอธิบายอะไร เขามองปราดเดียวก็มองออกว่าแท้จริงเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“นำคนไปขังไว้ในคุกหลวง”

“ขอรับ!”

จื่อเฟิงโบกมือขึ้น พลันมีเงาคนสองสายวูบขึ้น เพียงครู่เดียวนิ่งซื่อที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดก็ถูกลากออกไป

นางกล้าดีอย่างไรเว้าวอนให้หลานเฉินมู๋ช่วยเหลือนาง หลานเฉินมู๋แม้ใบหน้าก็ยังไม่ขยับ อย่าพูดถึงจะขอความช่วยเหลืออะไรเลย แม้นพูดสักคำเขายังไม่กล้า

เขาไม่โง่หรอก

เมื่อมองไปที่หลานชิวหยุนที่สวมชุดแต่งงาน และมองไปที่องครักษ์ที่สิ้นใจไปแล้ว ก็พอคาดเดาไม่มากก็น้อยได้ว่านิ่งซื่อต้องการทำอะไร

เขายังสามารถดูออกได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงท่านอ๋องเย่แล้ว

ช่างเป็นหญิงที่โง่งม!

เพียงคิดว่านำตัวชิวหยุนแต่งไปแทน หลานชิวหยุนก็จะกลายเป็นพระชายาอ๋องเย่ได้แล้ว?

เหอะ!

ช่างงี่เง่าได้อย่างคาดไม่ถึงเลยเสียจริง!

คิดหรือว่าท่านอ๋องเย่จะยอมรับสภาพอย่างคนบื้อใบ้?

นั่นเท่ากับประเมินท่านอ๋องต่ำไปนัก

ช่างเถอะ โชคยังดีที่วันนี้ไม่สำเร็จ ไม่อย่างนั้นจวนแม่ทัพของเขา แม้กระทั่งศีรษะของเขาจะรักษาได้อยู่หรือ

ดังนั้นเขาไม่แม้แต่จะไปร้องขออะไร

หลังจากนี้ แม้เย่แจ๋หยิ่งจะไม่มีกระจิตกระใจว่างเว้นไปสนใจความเป็นความตายของหลานชิวหยุน แต่หลานเฉินมู๋ก็จะกัดฟันให้คนพานางไปยังวัด ภายนอกบอกว่าไปฝึกบำเพ็ญตน

แท้จริงแล้วก็คือการลงโทษ!

ผ่านไปชั่วครู่

ภายในห้องถูกทำความสะอาดสะอ้าน หลานเยาเยาก็จัดแจงแต่งตัวใหม่ให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาฤกษ์ ประตูห้องของนางก็เปิดออก

เย่แจ๋หยิ่งรออยู่ด้านนอกนานแล้ว มองไปเห็นนางรายล้อมไปด้วยสาวใช้เดินออกมา แววตาของเขาวาบวาวขึ้นเล็กน้อย เมื่อมองนางด้วยสายตาสงบนิ่งเพียงครู่ ก็เร่งรุดหันกายเดินออกไปภายนอก

รถที่นั่งที่อ๋องเย่นำมารับพระชายาหาใช่เกี้ยวที่นั่งแปดคนหามไม่ กลับเป็นรถม้าสีแดงคันงามหรูหรา สี่มุมของรถม้าประดับประดาด้วยดอกไม้สีแดงประดิษฐ์ด้วยผ้าไหมสีแดง และยังประดับด้วยผ้าแก้วสีแดงด้านข้างอีกด้วย

ม้าลากรถทั้งหมดแปดตัว ซึ่งสองตัวในนั้นเป็นถึงม้าเหงื่อโลหิตอันมีค่า

ตัวอื่นๆ ก็ล้วนเป็นม้าที่เลือกสรรมาอย่างดี มิได้ด้อยกว่าม้าเหงื่อโลหิตสักมากน้อย

และแต่ละคนที่อ๋องเย่พามาพร้อมต้อนรับขบวนด้วยต่างล้วนเป็นองครักษ์ที่จงรักภักดีทั้งสิ้น แต่ละคนต่างล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์เป็นมงคล

ช่างเป็นภาพอันสวยงามสมเกีรยติยิ่งนัก

เมื่อมองดูภาพฉากนี้แล้วนั้น!

ผู้คนที่ยืนรายรอบต่างๆคึกคักขึ้นมาทันที

“จวนอ๋องเย่นับว่าร่ำรวยล้นฟ้า พรมแดงที่ปูอยู่บนพื้น ถึงกับทอด้วยผ้าไหมเลยทีเดียว!ดูเกี้ยวที่นำมารับชายา ต่างทำมาจากไม้แดงอังทรงคุณค่า เกี้ยวนี้นับว่ามีมูลค่าสูงกว่าเกี้ยวของฮองเฮาเสียอีก”

“คุณหนูหกแห่งจวนแม่ทัพช่างมีวาสนานัก เป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องเย่ถึงเพียงนี้ ช่างเป็นที่อิจฉาของคนอื่นจริงๆ”

ฝูงชนโดยรอบต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว แม้นคนจำนวนมากต่างตื่นเต้นยินดี แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยอิจฉาตาร้อนไปตามๆ กัน!

ยกตัวอย่างเช่น สาวๆ น้อยใหญ่ที่หลงใหลในรูปลักษณ์ของท่านอ๋องเย่มานานเนิ่น

ภายในจวนอ๋องเย่

ก็มีบรรยากาศแห่งความมงคลไปทั่ว ขุนนางในราชสำนัก และบรรดาผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายต่างพากันมาแสดงความยินดี

เย่แจ๋หยิ่งเดินนำนางเข้าไปสู่ห้องโถงกลาง รอยยิ้มปีติยินดีต่างแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของคนทุกคน ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังค์เหนือขึ้นไปนั้นเป็นถึงฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบัน

พระพันปีรู้สึกไม่สบายจึงไม่ได้มาร่วมงานด้วย

โบราณกล่าวไว้ว่าพี่ชายคนโตดุจบิดา พี่สาวคนโตดุจมารดร เย่อ๋องเป็นพี่น้องคนเดียวที่เหลืออยู่ของฮ่องเต้ ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะเป็นอย่างไร ในงานวันเสกสมรสพวกเขาต่างต้องมาร่วมตามพิธี

“หนึ่งคำนับฟ้าดิน!”

“สองคำนับบิดามารดา!”

“สามีภรรยาคำนับกันและกัน”

พิธีการทั้งหมดผ่านไปได้ด้วยดี หลานเยาเยาถูกนำตัวเข้าห้องหออย่างรวดเร็ว

เมื่อแม่สื่อและผู้คนออกมาจากห้องแล้ว หลานเยาเยาดึงที่คลุมศีรษะออก วางไว้ข้างๆ อย่างสบายๆ จากนั้นก็ถอดเครื่องประดับบนศีรษะออก

อย่างไรก็ทำการตกลงกันไว้แล้ว นางรู้ว่าอย่างไรคืนนี้เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่มีทางมาห้องหอแน่นอน

ดังนั้นนางจึงเปิดหน้าต่าง แล้วผลุบตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

ลานน่อนซิน

ทั่วทั้งจวนเย่อ๋องต่างประดับประดาไปโดยโคมไฟหลากสี ครึกครื้นผิดธรรมดา มีเพียงที่นี่ที่เงียบเหงาวังเวง นอกจากองครักษ์เฝ้าเอาไว้ มีสาวใช้เข้าออกน้อยมาก

เพราะหญิงสาวในจวนเย่อ๋องมีน้อยยิ่ง ส่วนมากมีเพียงบุรุษเพศเท่านั้น ดังนั้นสาวใช้ส่วนมากต่างทำงานกันทั้งสิ้น

“งานพิธีเสกสมรสของเสด็จอาจจะเป็นยังไงหรือ?”

นี่คือเรื่องที่องค์หญิงจาวหยางสงสัยใคร่รู้เป็นที่สุด นางตื่นเต้นยินดีมาก หวังอยากเห็นด้วยตาตัวเอง

แต่น่าเสียดายนัก…

นางออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงทำให้แขกต่างแตกตื่นตกใจเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม นางก็ยังคงฉงนสงสัย

เนื่องเพราะในความทรงจำของนาง เสด็จอาเป็นคนเย็นชาตลอดมา ทั้งยังไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าใกล้

หากมีภรรยาแล้วจะเป็นเช่นไร?

เมื่อเอ่ยถึงนางแล้วนั้น!

นางชอบอยู่กับเสด็จอามาแต่เล็ก เพราะนางสงสัยจริงๆ เสด็จอาของนางมีพระชนย์มายุไม่ต่างกับท่านพี่องค์รัชทายาท และยังดูมีวุฒิภาวะขนาดนั้น แต่ตั้งแต่เล็กกลับไม่ชอบให้คนเข้าใกล้

“ก็เหมือนปกตินั่นแหละ!สีหน้าเย็นชาอะไรแบบนั้น ราวกับข้าบังคับให้เสกสมรสอย่างไรอย่างนั้นแหละ”

น้ำเสียงที่คุ้นเคยลอยมา ให้องค์หญิงจาวหยางหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อเห็นว่าเป็นหลานเยาเยาที่แต่งชุดสมรสสีแดงนั้น นางอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

“เจ้า เจ้ามาได้อย่างไร?”

นางไม่ควรจะอยู่ในห้องหอหรือ?

ทำไมต้องสวมชุดมงคลสีแดงเดินอวดไปทั่วเมือง?

นี่มันไม่ถูกต้องตามประเพณีนี่?

“ข้าอยู่คนเดียวเบื่อจะตาย ก็เลยมาหาเจ้าอย่างไรหล่ะ!”

พูดอย่างนั้นก็จริง แต่หลานเยาเยาในเวลานั้นกลับมาถึงโต๊ะวางตั๋วเงินรักษา เมื่อมองไปเห็นค่ารักษาที่เก็บเอาไว้ ตาทั้งสองข้างของหลานเยาเยาก็เปล่งประกายขึ้น

นางยื่นมือไปยังกองตั๋วเงินนั้น พลางหยิบมายัดใส่บนตัวของนาง เมื่อเก็บตั๋วเงินไว้ในแขนเสื้อพอประมาณแล้ว ก็ใส่เข้าไปในคอเสื้อเพิ่มอีก