ตอนที่ 68 หนิงเซียนเซิงสยบคุณชายเจ็ด (6)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 68 หนิงเซียนเซิงสยบคุณชายเจ็ด (6)

นั่นคือองครักษ์เงางั้นหรือ ราชวงศ์มีองครักษ์เงา แม้ตระกูลผู้สูงส่งอย่างตระกูลเซี่ยจะไม่มี แต่ตระกูลซูของเขามี ได้ยินมาว่าตระกูลหนิงก็มีเช่นกัน

ซูชีตกตะลึง คนผู้นี้เป็นใครกัน

ที่จริงแล้วในปัจจุบันสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมีไม่มากนัก

แต่ว่า…

เขาปัดร่างอาจ้าวออก ซูชีก้าวไปด้านหน้าด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม แตกต่างไปจากคุณชายที่มักจะปรากฏรอยยิ้มโดยสิ้นเชิง “ข้าคือซูชี ไม่ทราบว่าท่านคือผู้ใด”

“ข้าแซ่หนิง”

“หนิง? ไม่ทราบว่าท่านและตระกูลหนิงในเมืองหลวงเซิ่งจิงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”

“ข้าเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อต้องการขอบคุณคุณชายเจ็ดที่ดูแลเหนียงจื่อของข้าเป็นอย่างดี” น้ำเสียงของหนิงเซ่าชิงดูเย็นชา เมื่อตอนที่เขากล่าวคำว่า ‘ดูแล’ ออกมานั้น เผยให้เห็นร่องรอยของความแค้นเคือง

เขาอยากจะพุ่งเข้าไปฉีกซูชีผู้นี้ให้เป็นชิ้นๆ เหลือเกิน เขาอยากจะเข้าไปต่อสู้ให้รู้แล้วรู้รอดไป

แต่ทว่า ร่างกายของเขา…

หากหาหมอประหลาดนั้นไม่พบ กำลังภายในของเขาก็ใช้ได้เพียงหนึ่งในสอง ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงไม่ลงมือเลย

เขาเพียงกำลังคิดอยู่ว่า หากพิษของเขาไม่สามารถรักษาได้ เขาจะต้องเตรียมทางออกเอาไว้ให้แก่นาง

และชายหนุ่มตรงหน้านี้ มองไปก็พอจะใช้ได้

แต่ว่าต่อให้เขาอยากจะถอยออกมาหรือต้องการจะวางแผนอนาคตไว้ให้แก่นาง หากตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดอื่นครอบครอง แม้แต่จะเหลียวมองก็ไม่ได้

การที่ต้องมอบนางผู้เป็นที่รักให้แก่คนอื่น ความเจ็บปวดมันบีบเค้นหัวใจเช่นนั้นเอง

“ไม่ทราบว่าร่างกายของอาจารย์หนิงเป็นอย่างไรบ้าง หายาแก้พิษได้แล้วหรือ” ซูชีลองเอ่ยถามออกมา

“คุณชายเจ็ดไม่จำเป็นต้องมาใส่ใจเรื่องนี้หรอก ข้ายังไม่ตายง่ายๆ” น้ำเสียงของหนิงเซ่าชิงเยือกเย็นและไร้ความรู้สึก ราวกับคนที่ถูกพิษนั้นมิใช่เขา

“เซียนเซิงไม่ต้องกังวลใจไป ข้าได้ส่งให้ลูกน้องไปตามหาหมอประหลาดนั้นทั่วทั้งสี่ทิศแล้ว”

“ไม่จำเป็น” หนิงเซ่าชิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

เขาไม่จำเป็นต้องรับความหวังดีจากคนผู้นี้ เรื่องระหว่างชายหนุ่ม บางสิ่งบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนจนเกินไป

เขาไม่ได้เดินทางมาเพื่อจะฟังคำใดจากคนผู้นี้ และไม่ได้ตั้งใจจะมาแสดงความหึงหวง แม้ว่าเขาจะค่อนข้างหึงหวงมากก็ตาม

หากไม่ใช่เพราะมีเรื่องต้องการเจรจากับซูชี หนิงเซ่าชิงคงไม่อยากจะพบหน้าซูชีแม้แต่วินาทีเดียว

ร่างกายของเขาทรมานมากเพียงใดมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รับรู้

แต่ว่าโรงงานแห่งนั้น มั่วเชียนเสวี่ยสร้างมาด้วยความยากลำบาก ด้วยน้ำพักน้ำแรงของนางเอง จะให้เขานิ่งดูดายไม่ได้ อีกอย่างแม่นางผู้นั้นแม้แต่หลับฝันยังต้องการจะเปิดโรงงานกลั่นซีอิ๊วและน้ำส้มสายชู ได้ยินมาว่าโรงงานเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้ถั่วมากกว่าทำเต้าหู้นับร้อยเท่า

การกลั่นซีอิ๊วหนึ่งครั้งต้องใช้ถั่วเป็นพันชั่ง

มือของเขากำเอาไว้แน่น แต่น้ำเสียงกลับคงเรียบง่ายดั้งเดิม ไร้ซึ่งความรู้สึกใด “คนของอิ๋งเค่อเซวียนกล่าวว่าจะกว้านซื้อถั่วทั้งหมดที่มีและถั่วทั้งหมดในเมืองจะต้องไปเป็นของพวกเขา เจ้าวางแผนรับมือไว้ว่าอย่างไร”

“หา?!” หัวข้อสนทนาของหนิงเซ่าชิงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซูชียังคงจมอยู่ในความคิดของตนเองไม่อาจตามทันได้

เมื่อเขาได้สติกลับคืนมาก็กล่าวด้วยความโมโหว่า “หากตาเฒ่านั่นกล้าจะขึ้นราคาและสร้างความวุ่นวาย อย่างมากข้าก็สามารถเพิ่มราคาเท่ากับเขาเพื่อรับซื้อได้ และทำอาหารที่ใช้เต้าหู้น้อยลงสักหน่อย คาดว่าคงจะสามารถอยู่ได้จนถึงฤดูเก็บเกี่ยวถั่วในปีหน้า”

หนิงเซ่าชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เขากำลังมอบเงินและชีวิตให้ เหตุใดคุณชายเจ็ดจึงไม่รับไว้”

ซูชีตกตะลึง

ทั้งสองกำลังสนทนากันเรื่องการรับซื้อถั่วซึ่งเป็นการต่อสู้กันทางการเงิน จู่ๆ เหตุใดจึงบอกว่าเขายื่นทั้งเงินและชีวิตให้?

หนิงเซ่าชิงพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “หากว่าเขารับซื้อถั่วราคาชั่งละสามอีแปะ คุณชายเจ็ดเพียงเพิ่มเงินที่เขารับซื้อ เป็นสี่อีแปะในการรับซื้อถั่วนั้น เพื่อบีบเขาให้ขึ้นราคา”

“รอเมื่อเขาขึ้นราคาเป็นห้าอีแปะต่อหนึ่งชั่งแล้ว ท่านสามารถนำถั่วที่รับซื้อมาจำนวนสี่อีแปะลำเลียงจากประตูหลังขนส่งไปให้เขา แล้วขายไปให้ในราคาห้าอีแปะ จากนั้นค่อยขึ้นราคาถั่วสูงเพิ่มขึ้นไปอีก…”

เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม นี่เป็นวิธีการนำออกและรับเข้า ได้กำไรจากส่วนต่างของราคา นี่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น ต่อจากนี้หากเพิ่มราคามากขึ้นก็คงจะมีกำไรมากขึ้นตามไปด้วย บัดนี้ซูชีผู้คิดว่าตนเก่งกาจกว่าคนอื่นกลับยกย่องนับถือเขายิ่งนัก

กลยุทธ์ของหนิงเซ่าชิงช่างยอดเยี่ยม ส่วนเขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ หนิงเซ่าชิงเพียงแค่ชี้นำเขาจุดหนึ่ง ซูชีก็สามารถเชื่อมโยงข้อต่ออันสำคัญทุกอย่างรวมเข้าด้วยกันได้อย่างชัดเจน “เมื่อตอนนั้นอิ๋งเค่อเซวียนขี่หลังเสือก็ยากที่จะลง เขาคงทำได้เพียงขึ้นราคาเพื่อต่อสู้กับข้า วนไปเวียนมาเพียงเท่านี้ ไม่เพียงแต่ไป๋อวิ๋นจวีจะมีกำไรมากมาย อีกทั้งยังสามารถบีบเขาไปสู่ทางตันได้อีกด้วย?”

เมื่อถั่วขึ้นราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ อิ๋งเค่อเซวียนของพวกเขาทำได้เพียงเดินหน้าต่อไม่อาจถอยกลับได้ ในเมื่อเขาไร้หนทางจะถอยหนี เขาคงจำเป็นต้องไปกว้านซื้อถั่วจากที่อื่นทั้งหมดทั่วรัฐ เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อจะซื้อถั่ว

หากว่ายังไม่อาจหาวิธีการทำเต้าหู้ให้จนได้ เกรงว่าคงจะหมดหนทาง

ยอดเยี่ยม! เฉียบขาดยิ่งนัก!

สายตาที่ซูชีมองไปทางหนิงเซ่าชิงเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความชื่นชมนับถือ แต่ก็ไม่พอใจนัก…

คนคนนี้ไม่ได้เข้าไปในเมืองด้วยซ้ำ แต่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีเช่นนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ครั้งก่อนเป็นเพียงแค่จดหมายหนึ่งฉบับก็ทำให้เขาเปิดการประชุมบทกวีเต้าหู้ เอาชนะใจนักเล่าเรื่องทั้งหมดในเมืองได้… ด้วยเหตุนี้ไป๋อวิ๋นจวีจึงพลิกจากพ่ายแพ้กลายเป็นชนะได้ ส่วนเขาได้กล่าวความคิดเห็นเล็กน้อยเพิ่มเติมลงไปก็ทำให้อิ๋งเค่อเซวียนอับอายขายหน้าจนถึงที่สุด

ก่อนหน้านี้เขามักจะยกย่องว่าตนเองเป็นผู้เก่งกาจและดูถูกเหยียดหยามคนอื่นอยู่เสมอ ไม่เคยคิดว่าผู้ใดเป็นศัตรูที่แท้จริงของเขาได้เลย ต่อให้เป็นพี่ใหญ่ของเขาผู้นำในอนาคตของตระกูลซูก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ตำแหน่งนั้นเขาไม่อยากจะไปแย่งชิงก็เท่านั้นเอง

ทว่าบัดนี้เขามีคู่ต่อสู้แล้ว

ซูชียิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “วิธีการของอาจารย์หนิงช่างดียิ่งนัก หากว่าข้อเสนอนี้ของท่านได้ผลจริง กำไรที่ได้ข้าจะแบ่งให้กับท่านคนละครึ่ง” หากว่าหนิงเซ่าชิงตกลงจะรับส่วนแบ่ง ก็เท่ากับตกลงไปอยู่ในชนชั้นต่ำ ไม่คู่ควรต่อการเป็นศัตรูของเขาในอนาคต

หนิงเซ่าชิงยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่จำเป็น เพียงแต่เมื่อถึงเวลานั้นคุณชายเจ็ดอย่าได้เข้ามาแย่งชิงถั่วนับหมื่นชั่งกับเหนียงจื่อของข้าเป็นพอ”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังเดินจากไป

ท่าทางการเดินของเขานั้นช่างสง่างาม แต่การจากไปอย่างไม่บอกลาและไม่แยแสเหล่านั้นเป็นเช่นคำดูถูกเหยียดหยามสำหรับซูชี

อาจ้าวทำท่าจะก้าวไปด้านหน้าเพื่อรั้งเอาไว้ แต่ถูกซูชีห้ามไว้เสียก่อน

คาดไม่ถึงว่าในชนบทเช่นนี้จะมีผู้ที่สง่างามและเฉลียวฉลาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขาประเมินค่าศัตรูต่ำไปจริงๆ

คนคนนี้เหมาะสำหรับจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาและสมควรได้รับความยอมรับนับถือจากเขานัก

มองดูแล้วเขาไม่ควรที่จะเสแสร้งแกล้งทำต่อไป ไม่ควรทำตัวเที่ยวเล่นไปวันๆ หากต้องการเอาชนะเขาผู้นี้ ซูชีจะต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงของตัวเองออกมา

หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็ได้หันหลังกลับขึ้นขี่หลังม้าควบออกไป

อาจ้าวไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงควบม้าตามไปให้ทัน การแสดงออกของเจ้านายทำให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างแน่ชัด จู่ๆ อาจ้าวก็รู้สึกว่านายของตนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปเป็นสิบปีในชั่วพริบตา

เมื่อได้ยินเสียงม้าไกลออกไป หนิงเซ่าชิงก็หยุดฝีเท้าลง สายตาของเขาหันไปมองทางเสียงเกือกม้าที่ดังมาอย่างเงียบๆ ดวงตาดำขลับคู่นั้นเกิดเป็นคลื่นภูเขาสีดำ

แท้จริงแล้วในวันนี้ที่เขาออกหน้าเอง ประการหนึ่งเพื่อจะสยบซูชี แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นเขาเพียงต้องการจะแก้แค้นแทนนาง

ผู้ใดที่กล้ามารังแกนาง เขาจะทำให้มันผู้นั้นต้องรู้สึกย่ำแย่กว่า กล้าดีอย่างไรมาขับไล่เหนียงจื่อของเขาดุจดั่งขอทาน ช่างทุเรศสิ้นดี! คนเช่นนี้ควรจะไปเป็นขอทานเองเสีย

เรื่องเหล่านี้เดิมทีควรจะเป็นเขาที่ออกหน้าไปจัดการเอง ทว่าบัดนี้กลับต้องยืมมือคนอื่นเข้ามาช่วย

ดวงตาของหนิงเซ่าชิงแสดงถึงความซับซ้อน ผ่านไปชั่วครู่เขาก็พึมพำออกมาว่า “เชียนเสวี่ย เจ้าอยากจะเปิดโรงงานทำซีอิ๊วมิใช่หรือ เจ้าบอกว่าโรงงานนั้นจะต้องใช้ถั่วจำนวนมาก อาจต้องใช้ถั่วนับหมื่นชั่ง มันช่างยากเย็นเหลือเกินงั้นหรือ… เจ้าไม่ต้องห่วงแล้ว ครั้งนี้สามีเจ้าช่วยเจ้าจัดการปัญหายากนั้นไปได้แล้ว”

แม้ว่าเขาจะแก้ปัญหาครั้งใหญ่ให้แก่มั่วเชียนเสวี่ยได้ แต่สีหน้าของหนิงเซ่าชิงก็ดูไม่ดีนัก เนื่องจากพิษนั้นเปรียบกับหินก้อนใหญ่ที่กดทับหัวใจเขาไว้

อิ่งซายืนอยู่ด้านหลังเขาโดยไม่ได้ซ่อนตัว และลังเลเล็กน้อย

หนิงเซ่าชิงหันหลังกลับไปมองเขาอย่างเงียบๆ

อิ่งซารู้สึกกระสับกระส่ายกับดวงตาของเขาที่มองมาอย่างเยือกเย็น ในที่สุดก็กัดฟันแล้วกล่าวว่า

“เจ้านายขอรับ ข้าน้อยคิดว่าในเมื่อซูชีคนคนนี้คิดเกินเลยกับฮูหยิน มันก็สมควรตาย ต่อให้เจ้านายเห็นแก่คุณชายใหญ่ตระกูลซูจึงไว้ชีวิตเขา แต่อย่างน้อยก็ควรจะให้บทเรียนกับเขาบ้าง ไม่ใช่ช่วยเหลือเขาในการขึ้นครองตำแหน่งในตระกูลเช่นนี้”

หนิงเซ่าชิงถอนหายใจออกมา เขาหันหลังหลับตาลงไม่พูดอะไร

เหตุใดเขาจะไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเล่า หากแต่ว่า…

ความเงียบสงัดเข้ามาแทนที่ สายลมจากป่าเขาพัดพาต้นไม้ไหวเอน