ตอนที่ 59 ยืนกรานหน้าไม่อาย

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“เจ้าไม่แปรงฟันมากี่ปีแล้ว?” เกาฟู่ส่วยใช้ชายเสื้อปาดเช็ดน้ำลาย

“ฟันข้าขาวสะอาดทั่วทั้งปาก เปล่งประกายดั่งดวงอาทิตย์” ฉินจิ่วเกออ้าปากกว้างโชว์ไรฟัน “แค่เมื่อกลางวันกินกระเทียมดองไปก็เท่านั้นเอง”

“อ๊ากกก ข้าจะฆ่าเจ้า!”

เกาฟู่ส่วยระเบิดเพลิงโทสะ รังสีฆ่าฟันพวยพุ่ง แสดงทักษะยุทธ์ขั้นหกของพรรคจอกประกายสิทธิ์ออกมา

ตลอดทั้งพรรคจอกประกายสิทธิ์ มีทักษะยุทธ์ขั้นหกอยู่เล่มเดียว มีเพียงประมุขพรรคและอาวุโส จึงสามารถฝึกปรือ

“แส้มังกรอัคคี!” พลังอัคคีใจกลางฝ่ามือควบรวมไม่หยุดยั้ง ก่อรูปเปลี่ยนร่างกลายเป็นแส้มังกรเส้นหนึ่ง ทั้งยังอัดแน่นไว้ด้วยพลังวิญญาณ พลานุภาพถึงกับเหนือล้ำกว่าขีดจำกัดของปราณสุริยันขั้นสูงสุด

แส้มังกรเต้นสะบัดเร่า เกาฟู่ส่วยเล็งไปยังส่วนศีรษะของฉินจิ่วเกอ พร้อมกันนั้นสะบัดฟาดคราหนึ่ง อานุภาพของปราณสุริยันขั้นสูงสุดล้วนไม่ธรรมดา

หากคำนวณเพียงความแข็งแกร่งทางเลือดเนื้อ ฉินจิ่วเกอแน่นอนว่าไม่ด้อยไปกว่าปราณสุริยันขั้นสูงสุด แต่พลังวิญญาณไม่เพียงพอ ตันเถียนของฉินจิ่วเกอตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า

เปรี๊ยะเปรี๊ยะ!

แส้มังกรเพลิงแผลงฤทธิ์เดชพุ่งขวับเขวียวเข้าใส่ ฉินจิ่วเกอยามนี้ใช้เคล็ดท่าร่างมารมายาเข้าหลบหลีก พริบตาเดียวถอยห่างไปหลายเมตร

เดิมคิดว่าตนเองสามารถหลบหลีกรอดพ้นแล้ว ไม่คาดตนกลับดูถูกวิชาทักษะยุทธ์ขั้นหกเกินไป

ควับ!

แส้มังกรคล้ายงอกเงยดวงตา เพียงเสี้ยวพริบตาก็ตวัดฟาดใส่แผ่นหลังของตนด้วยมุมที่ยากจะรับมือ

ฉินจิ่วเกอตั้งตัวไม่ทัน แผ่นหลังจึงถูกฟาดเข้าอย่างจังคราหนึ่ง คนกระอักเลือดออกจากปาก ผิวหนังไหม้เกรียมไปหย่อมใหญ่ เลือดไหลหยดเป็นทาง

“ศิษย์พี่!” ศิษย์น้องเล็กล่างเวทีกรีดร้องอย่างเดือดดาล แม้นางจะยังไม่บรรลุขอบเขตปราณสุริยัน แต่เหิงโหย่วเฉียนกลับต้องย้ายสมาธิมาที่นาง ราวกับว่ามันได้กลิ่นอันตรายจากอีกฝ่าย

อาวุโสสองเคลื่อนตัวมาบังตงฟางฉิงอวี่ไว้ ขณะเดียวกันก็ช่วยระงับอารมณ์โทสะของศิษย์น้องเล็กอย่างสุขุม สะกดความพยศเกรี้ยวกราดที่มาจากสายเลือดของนางเอาไว้

พรรคหลิงเซียวไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น เหิงโหย่วเฉียนลอบคิดในใจ

“แค่กๆ ดูท่าจะประมาทไปหน่อย” ฉินจิ่วเกอยกมือป้องปาก เลือดยังคงไหลปรี่ออกมา เห็นแล้วน่าแตกตื่นสะท้านใจ

คิดเอาชัยศัตรู มิใช่เรื่องง่ายดาย ระดับขั้นที่แตกต่างยากที่จะกลบถมกันได้ง่ายๆ

ฉินจิ่วเกอเคยสังหารยอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาล กระบวนการนั้นมันอาศัยโชควาสนาอยู่หลายส่วน ยามนี้ที่มันสามารถใช้ปราณสุริยันขั้นกลางยันปราณสุริยันขั้นสูงสุดไว้ได้นานปานนี้ ที่จริงถือว่าเป็นผลงานอันโดดเด่น

“รับกระบี่ข้าดู!”

ไพ่ตายไม่อาจนำออกมาใช้ได้ตามใจ เคล็ดกิเลนครองฟ้าจึงเป็นอันต้องปัดตกไป ประการแรกก็เพราะเวลาไม่มากพอ เปลวเพลิงโดยรอบคุกคามเข้ามารวดเร็วจนเกินไป ประการที่สองคือมันตั้งใจจะเล่นงานอีกฝ่ายทีเผลอ

เคร้ง!

กระบี่ไร้คมหนักพันจวิน ยามฟาดฟันใส่เกาฟู่ส่วยให้ความรู้สึกหนักหน่วงปานอสนีบาตถล่มทลาย ปราการอัคคีของมันสามชั้นห้าชั้นพลันทลายย่อยยับ ปลายกระบี่กรีดผ่านชายเสื้อจนแหว่งเว้า อีกนิดเดียวก็จะบรรลุถึงตัว

กระบี่ไร้คมแม้เป็นเพียงอาวุธเต๋าขั้นต้น แต่กระนั้นก็ได้อาวุโสใหญ่หล่อหลอมขึ้นด้วยตัวเอง พลังจู่โจมจึงไม่ด้อยไปกว่าอาวุธเต๋าขั้นกลาง

เก่าฟู่ส่วยลอบเป่าปากโล่งอก ตนเพิ่งเฉียดปากประตูความตายมาหมาดๆ ยังดีที่อีกฝ่ายทำกระบี่หลุดมือ ต่อจากนี้คงไร้หนทางต่อยุทธได้อีก

“รับกระบี่ไร้คมของข้าไปอีกดอก!” กระบี่หนักเล่มโตที่บดบังนภาสุริยันยังไม่ทันหลุดลอยผ่านหน้าเกาฟู่ส่วยไป ก็ได้ยินเสียงฉินจิ่วเกอตะโกนขู่ขวัญ พานให้มันเกิดความลังเลไม่รู้จะออกกระบวนท่าไหนดี จึงได้แต่ยืนเบื้อใบ้อยู่กับที่

ฉินจิ่วเกอสะกดอาการบาดจ็บภายใน คนถอดรองเท้าปาเข้าใส่เกาฟู่ส่วย

พร้อมกับที่กระบี่หนักทลายปราการอัคคีลงได้ รองเท้าที่เที่ยงตรงนำพาสปิริตที่ไม่ด้อยไปกว่าอาวุโสใหญ่ ประทับเข้าใส่ใบหน้าของเกาฟู่ส่วย

เบื้องล่างเวที เหิงโหย่วเฉียนจ้องเขม็งด้วยแววตาเหยียดหยามไปยังอาวุโสสอง พวกเจ้าพรรคหลิงเซียวไม่มีตัวดี ล้วนเพาะเลี้ยงแต่ตัวอะไรออกมา ทั้งถ่มน้ำลายทั้งหลอกล่อ น่าอายนัก!

อาวุโสสองอับอายชั่วขณะ ใบหน้าแดงเห่อเล็กน้อย ทอดถอนใจ “พรรคเราโชคไม่ดี”

“ใช่แล้ว” เหิงโหย่วเฉียนตอบรับ

อาวุโสสองคิดปลดสายรัดเอวออก เมื่อไม่อาจรักษาหน้าตาเอาไว้ได้แล้ว ต้องร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือด แขวนคอสังเวยชีพเพื่อรักษาเกียรติภูมิของบรรพชนทั้งหลายของพรรคหลิงเซียวเอาไว้แล้ว

พวงแก้มตอบยามนี้ปรากฏรอยรองเท้าประทับ เกาฟู่ส่วยอับอายอัปยศอย่างสุดซึ้งจนแทบไม่อาจหายใจได้

“ตายซะ! แส้มังกรเพลิง!”

ยามที่แส้มังกรกรีดตัดอากาศ เวทีประลองก็เปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงอันร้อนผลาญปกคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้ว

เพลิงอัคคีพุ่งเข้าหาฉินจิ่วเกออย่างเร็วรี่ กดดันให้ชายหนุ่มต้องใช้เคล็ดมารมายาอย่างต่อเนื่องตามกัน ฝ่ายนั้นไม่อาจจู่โจมถึงตัว มันเองก็ไม่อาจจู่โจมกลับไป

เสียเวลาอยู่ครึ่งค่อนวัน หากฉินจิ่วเกอยังไม่เอาเคล็ดกิเลนครองฟ้าออกมาใช้ วันนี้ก็คงได้แต่ขับเคี่ยวสูสีกับอีกฝ่ายอยู่เช่นนี้

“ปราณสุริยันขั้นกลางผู้หนึ่งถึงกับสามารถรับมือปราณสุริยันขั้นสูงสุดได้โดยไม่พ่าย ฝีมือมิใช่ชั่วเลยจริงๆ”

ฉินจิ่วเกอเคลื่อนตัวออกห่าง ขณะเดียวกันก็เรียกกระบี่หนักกลับมาอีกครั้ง

กระบี่ไร้คมยอมรับฉินจิ่วเกอเป็นนาย ยามถูกเรียก กระบี่จึงพุ่งแหวกอากาศกลับเข้าสู่อุ้งมือของฉินจิ่วเกออีกครั้ง

ในร่างผนึกพลังวิญญาณเก็บรั้งไว้ตระเตรียมใช้กระบวนท่าสุดท้ายเผด็จศึก ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ กระบวนท่านี้จะเป็นตัวตัดสิน!

เกาฟู่ส่วยรู้ซึ้งเป็นอย่างดีถึงร่างกายที่เปี่ยมกำลังมหาศาลของฉินจิ่วเกอ เมื่อต้องรับมือกระบวนท่าสุดท้ายของอีกฝ่าย มันจึงไม่กล้าดูเบา เตรียมใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดที่มีเช่นกัน

“ทะลวง!” กระบี่หนักกลายสภาพเป็นหอกแหลมเล่มหนึ่งจี้แทงไปข้างหน้าอย่างที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้

คนกลับกลายเป็นกระบี่ กระบี่กลับกลายเป็นคน พลังวิญญาณผนวกรวมรั้ง สองฝ่ายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ผนึกเป็นพลังอันสอดประสานกลมกลืน

ตูมมมมมม!

กระบี่หนักที่อัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณฉีกทำลายปราการเพลิงถึงสามชั้น หากท้ายที่สุดก็ชะงักค้างอยู่กลางกองเพลิง ไม่อาจรุกคืบต่อไปได้แม้แต่เพียงนิดเดียว

ฉินจิ่วเกอนัยน์ตาสาดประกายขึ้นวูบ ตระหนักว่าตัวเองตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เค้นสมองอยู่แวบหนึ่งก็เงยหน้าถามยิ้มๆ “ศิษย์พี่เกา ท่านเคยได้ยินเรื่องตลกนี้มาก่อนหรือไม่”

ล่างเวที ผู้ชมต่างก็เห็นเกาฟู่ส่วยแสดงสีหน้าเคร่งขรึมสลับผ่อนคลายไม่ได้หยุด บางทีก็เม้มปากแน่น คล้ายกำลังพยายามสะกดกลั้นอะไรบางอย่างสุดความสามารถ

เหิงโหย่วเฉียนเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี ไม่ได้การล่ะ ไอ้เด็กฉ้อฉลไร้ยางอายผู้นี้กำลังตะล่อมเกาฟู่ส่วย!

“ฮ่าฮ่า!”เกาฟู่ส่วยสุดท้ายก็กลั้นไม่อยู่ และเนื่องจากเรื่องตลกของฉินจิ่วเกอนี่เอง พลังปราณภายในร่างจึงสับสนรวนเร ปราการเพลิงไร้รอยต่อจึงสั่นกระเพื่อมขึ้นมา

ฉินจิ่วเกอทิ้งร่างลงพื้น ปลายเท้าสะกิดบนพื้นคราหนึ่ง กระบี่หนักเสือกส่งออก สัมผัสถูกชายเสื้อของเกาฟู่ส่วย

กระบี่หนักที่ถูกอัคคีเพลิงแผดผลาญอุณหภูมิสูงจนสามารถย่างเนื้อสุกได้ในพริบตา ทันทีที่สัมผัสถูกชายเสื้อ ร่างของเกาฟู่ส่วยก็ติดไฟ ร้อนลวกจนมันฝีเท้าสับสนวุ่นวาย

ฉินจิ่วเกอยืนหยัดมั่น มุมปากขบกัดไม้แคะฟัน ยกเท้าขึ้นถีบอีกฝ่ายลงเวทีไป

การศึกที่เปี่ยมสีสันนัก ฉินจิ่วเกอหาญสู้ด้วยปัญญาและความกล้าหาญ ได้ชัยชนะอย่างสมศักดิ์ศรี

ชนะแล้ว ศิษย์พรรคหลิงเซียวต่างเบิกตากว้าง ช่างเป็นการศึกที่ไม่หน่ายอุบายและกลยุทธ์ ตนเองสมควรจดจำไว้เพื่อใช้ในอนาคต

อาวุโสสองไม่มีหน้าไว้ที่ใด หากศิษย์คนใดจดจำไว้ จากนั้นประมือกับใครก็ใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้ ป้ายวิญญาณบรรพชนพรรคหลิงเซียวคงเดือดจนพลิกคว่ำลงมาหมดสิ้น

เหิงโหย่วเฉียนยิ่งไม่ต้องกล่าว ทันทีที่เห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็ส่งสองพี่น้องแซ่ม่อกลับไปเรียกคนมาช่วย

น่าชัน พรรคหลิงเซียวยามนี้เพียงมีศิษย์ปราณสุริยันผู้เดียว หากพวกมันไม่จับปลาตอนน้ำขุ่น หรือจะให้พวกมันยอมส่งมอบสามพันศิลาวิญญาณออกมาแต่โดยดี?

นอกจากนี้ เหิงโหย่วเฉียนยังร้องประท้วงต่ออาวุโสสองไม่หยุด ทว่าอาวุโสสองทำเป็นหูหนวกตาบอด คนคล้ายจู่ๆ หูตาฝ้าฟางกะทันหัน

ทั้งยังคุยกะหนุงกะหนิงกับเจ้าอ้วนน่าตายที่ด้านข้าง พูดพลางหัวเราะพลางว่ามื้อเย็นจะรับประทานอันใดดี

เกาฟู่ส่วยพ่ายแพ้ ฉินจิ่วเกอได้ชัย การเอาชนะข้ามขั้นไปสองขั้น ฉินจิ่วเกอภาคภูมิใจยิ่ง

“ช้าก่อน ข้าเสนอให้เราแข่งกันอีกรอบ!” เหิงโหย่วเฉียนไม่ยินยอม ต้องเอ่ยขึ้นอีกรอบ

“พวกเจ้าใช้วิธีเปลี่ยนหน้าลงมือ ข้าไม่เอาด้วยหรอก!” พลังวิญญาณในร่างเหือดแห้งแล้งสิ้น ไม่อาจฟื้นคืนได้ภายในเจ็ดแปดชั่วยาม

“เจ้าวางใจ พรรคจอกประกายสิทธิ์เรา เพิ่งรับเอาศิษย์สตรีมาหนึ่งคน นามว่าหลิงหาน นางอยู่ชั้นปราณสุริยันขั้นต้น หากเทียบฝีมือกับเจ้า ไม่ถือว่าเอาเปรียบ”

เหิงโหย่วเฉียนเหลือบมองฉินจิ่วเกอ หากมันไม่รับปาก ก็ย่ำแย่แล้ว

“เช่นนี้เถอะ หากเจ้าชนะ พรรคจอกประกายสิทธิ์เราติดหนี้พรรคเจ้าหกพันศิลาวิญญาณ หากเจ้าแพ้ เดิมพันทั้งหมดถือเป็นศูนย์ ว่าอย่างไร?”

เหิงโหย่วเฉียนยอมถอย เงื่อนไขดึงดูดใจยิ่ง

มิผิด หลิงหานนั้นแม้พลังฝีมืออยู่เพียงชั้นปราณสุริยันขั้นต้น ทว่าเพลงกระบี่ของนางยอดเยี่ยมยิ่ง สามารถประมือกับสองพี่น้องแซ่ม่อถึงห้าสิบกระบวนท่าจึงพ่ายแพ้ พลังที่แท้จริงมิใช่เรียบง่ายดังภายนอก

“ศิษย์พี่ พวกมันพานางปีศาจมา อย่าไป!” ศิษย์น้องเล็กหน้าเคร่งขรึม สีหน้าไม่สู้ดี

“ทารกน้อยพูดอะไร” ฉินจิ่วเกอนวดคลึงผมเปียของศิษย์น้องเล็ก “ใครบอกเจ้าว่าผู้อื่นพานางปีศาจมากัน เห็นศิษย์พี่เป็นพวกไม่แยกแยะหนักเบางั้นหรือ?”

“จิ่วเกอ เจ้าสูญเสียพลังไปมาก หากต้องต่อยตีกันขึ้นมาย่อมต้องเสียเปรียบ” อาวุโสสองกลัวว่าฉินจิ่วเกอจะมุทะลุไม่ยั้งคิด จึงต้องออกปากตักเตือน

“อาวุโสวางใจ พวกมันกลับไปเรียกคน อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองชั่วยาม เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” กล่าวจบ คนทรุดลงนั่งสมาธิ กลืนยาเม็ดระดับสองลงไปสามเม็ด ฟื้นฟูพลังวิญญาณ

สองพี่น้องแซ่ม่อถูกเหิงโหย่วเฉียนเรียกใช้ให้ไปขอความช่วยเหลือจากหลิงหาน แต่เพราะพวกมันไม่พอใจพฤติการณ์ก่อนหน้าของเกาฟู่ส่วย จึงจงใจถ่วงเวลาแล้วถ่วงเวลาอีก

รอจนพวกมันพากำลังหนุนมาได้ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วยาม

ระหว่างนั้น เหิงโหย่วเฉียนไปเข้าห้องน้ำถึงห้ารอบ ทุกครั้งเป็นอาวุโสสองเรียกศิษย์ในสำนักนำทางไป นับว่าสะดวกสบายไม่น้อย

เกาฟู่ส่วยปิดใบหน้าสุกรอ้วนที่ประทับตรารองเท้าอันโดดเด่นของมันไว้

“มาแล้ว มาแล้ว!”

ประโยคเดียวของเหิงโหย่วเฉียน เรียกคนทั้งหมดในที่นั้นให้หันมามอง เห็นสองพี่น้องแซ่ม่อนำทางศิษย์สตรีของพรรคจอกประกายสิทธิ์มาหนึ่งคน ก็คือหลิงหานเอง

ดรุณีนางนี้รูปร่างอ้อนแอ้นแช่มช้อยดังหยกสลัก ดวงตากลมโตคิ้วเรียวดั่งหงส์ ดวงหน้าแดงเรื่อมีสีสัน

เจ้าอ้วนน่าตายปากไม่ตรงกับใจ หรงเคอเคอยืนอยู่ด้านข้าง มันจึงได้แต่ลอบมองด้วยหางตาไปสองสามครั้ง

มีเพียงฉินจิ่วเกอ ใช้สายตาอันเปิดเผยโจ่งแจ้งจ้องมองอีกฝ่ายตาเป็นมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรวงอกอวบอูมทั้งสองที่นูนเด่นขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ สะดุดตายิ่ง

เหิงโหย่วเฉียนเป็นฝ่ายเดินเข้าหา มันให้กำลังใจศิษย์ พร้อมกันนั้นชี้แนะต่อหลิงหาน หากต้องเผชิญท่าโจมตีถ่มน้ำลายใส่ดวงตาประเภทนั้น สมควรโต้ตอบอย่างไร

การท้าประลองฝีมือ ในที่สุดก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญ บรรดาศิษย์จิกปลายเท้ารอคอย อาหารจานหลักกำลังจะมาเสิร์ฟแล้ว

“ศิษย์พี่ คนไปไกลแล้ว สายตาไร้ยางอายของท่านก็เก็บกลับคืนมาได้แล้วกระมัง?” ศิษย์น้องเล็กไม่พึงพอใจยิ่ง คำ ไม่พอใจ เขียนตัวโตๆ อยู่บนหน้า ประนามหยามเหยียดต่อฉินจิ่วเกอ

“เด็กน้อยไปเรียนคำพูดพวกนี้มาจากไหนกัน” ฉินจิ่วเกออ้าแขนออกใส่ศิษย์น้องเล็ก อีกฝ่ายใส่ใจตนเองอย่างยิ่ง คล้ายมิได้คิดกับตนแค่คนในครอบครัวเท่านั้น

ในฐานะผู้ผ่านภพ ฉินจิ่วเกอตักเตือนผู้อื่นตลอดมา อย่าได้แวะเวียนบุปผาริมทาง

ทว่าบุปผางามแรกแย้มในบ้านช่อง ที่แท้สมควรแตะต้องหรือไม่?

ศิษย์น้องเล็กเห็นฉินจิ่วเกอมองมาทางตน ต้องยืดอกขึ้น คล้ายกำลังบอกกล่าว ท่านมันตาบอดจริงๆ

ฉินจิ่วเกอมองไปยังหลิงหานอีกครั้ง ที่ว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งไม่พ่ายแพ้ มันใช้สายตาเช่นวิญญูชนอันบริสุทธิ์โดยแท้

อีกฝ่ายทิ้งร่างลงบนเวที กระบี่ยาวสะพายหลัง ให้ความรู้สึกของเหมยอาจหาญบานข้างกำแพงท้าลมหนาวอยู่บ้าง

“แม่นางหลิงหาน ชอบทานผลไม้หรือไม่ โดยเฉพาะมะละกอ” ฉินจิ่วเกอเดินชึ้นเวที เอ่ยถามอย่างกระหยิ่ม ไม่รีบร้อนลงมือ

หลิงหานได้รับการอบรมจากเหิงโหย่วเฉียน ยังมีกรณีศึกษาก่อนหน้าอย่างเกาฟู่ส่วย ดังนั้นไม่แยแสสนใจ

“ระวัง!” กระบี่ยาวร่ายระบำออกเป็นผืนแต้มราวใบไม้ร่วง ไร้รอยตำหนิ เสือกแทงเข้าใส่ทรวงอกฉินจิ่วเกอ

ชายหนุ่มถอยหลังสามก้าว หากยังไม่ชักกระบี่หนักไร้คมออกมา กลับยกสองมือขึ้นกางออกเป็นกรงเล็บ

“ศิษย์พี่ใหญ่กำลังจะแสดงท่าไม้ตาย!” เจ้าอ้วนน่าตายดวงตาเฉียบขาด คาดว่าฉินจิ่วเกอจะแสดงฝ่ามือกิเลนออกมาแล้ว

“ศิษย์พี่ใหญ่สู้ๆ!” ศิษย์หลายคนเริ่มส่งเสียงโห่ร้องเชียร์ จากที่พวกมันจำได้ ไม้ตายของศิษย์พี่ใหญ่นี้ เนินเขาร้อยเมตรยังราบเรียบเป็นหน้ากลอง ร้ายกาจสุดจะกล่าว

“จงดู กรงเล็บมังกรตะปบนมของข้า!”

ฉินจิ่วเกอกลับไม่ใช้ออกด้วยฝีมืออันใด เพียงแต่กางมือเป็นกรงเล็บมังกรคู่ คว้าหมับเข้าใส่ทรวงอกอวบอูมทั้งสองของหลิงหาน

“ไอ้วิปริต” หลิงหานด่าทออย่างร้ายกาจ เหิงโหย่วเฉียนบอกนางแต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายคือคนต่ำช้าหน้าไม่อาย

แต่ตอนนี้ คำต่ำช้าหน้าไม่อาย ยังต่อท้ายด้วยคำสร้อยอีกสองคำ

จิตใจฮึกเหิมคึกคะนองของเหล่าศิษย์น้องร่วมสำนักล้วนเย็นชืดลงในพริบตา ต่างก้มศีรษะลงด้วยความอับอาย ไม่กล้าส่งเสียงร้องเชียร์อีก ไหนบอกว่าฝ่ามือกิเลนครองฟ้าไงล่ะ?

นี่มันกรงเล็บมังกรอันใด ลามกจกเปรตที่สุด