บทที่ 68 เดินใหม่อีกครั้ง

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 68 เดินใหม่อีกครั้ง
“วางข้าลงนะ !” จ้านเป่ยเซียวตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ ท่านอ๋องผู้สูงส่งเช่นเขา แต่กลับถูกผู้หญิงคนหนึ่งอุ้ม ใช้ได้ที่ไหน !
“อ้อ” เฟิ่งชิงหัวเชื่อฟังอย่างยิ่ง จึงวางเขาลงตามคำสั่งทันที
จ้านเป่ยเซียวกลับไม่ได้ล้มลงกับพื้น สิ่งที่สัมผัสอยู่ใต้ร่างกายคือเบาะนุ่ม ในขณะเดียวกัน จ้านเป่ยเซียวก็ตั้งสติขึ้นมาได้ และรู้ว่าจุดของตนเองถูกคลายนานแล้ว
จ้านเป่ยเซียวดึงผ้าเช็ดหน้าที่ปิดตาออกทันที สิ่งที่เห็นคือใบหน้าอมยิ้มของเฟิ่งชิงหัว กำลังยืนกอดอกจ้องมองเขา
ตอนนี้ทั้งสองกำลังอยู่บนตั่งในรถม้า
“พระชายา ออกเดินทางได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ ?”
“ไปได้แล้ว” เฟิ่งชิงหัวตอบรับผู้คุมที่อยู่ด้านนอก จากนั้นจึงพยุงตัวขึ้น แล้วใช้เข่าทั้งสองข้างปีนขึ้นไปหาจ้านเป่ยเซียว และพลิกตัวลงนอน
“ทำให้ข้าต้องเหนื่อยแทบตาย ท่านอ๋อง ท่านไม่รู้หรอกว่าท่านตัวหนักขนาดไหน ร่างกายอันบอบบางของข้าแทบจะถูกท่านทับจนแบนแล้ว” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้น พลางแสร้งนวดแขนของตนเองอย่างอ่อนล้า
จ้านเป่ยเซียวก้มหน้าลงมองนาง ในรถมืดสลัว แต่กลับไปอาจบดบังสายตาของเขาได้
หน้าผากของหญิงสาวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ บนแก้มเป็นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย
จ้านเป่ยเซียวหันมองผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ เขาลังเลอยู่สักพัก แล้วสอดเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นจึงนำผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บอยู่ตรงหน้าอกออกมา แล้วโยนใส่หน้าของหญิงสาว และพูดด้วยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “รีบเช็ดเร็วเข้า สกปรกจริง ๆ”
สัมผัสเย็นวาบตกลงตรงใบหน้า เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว นางมองดูผ้าเช็ดหน้า แล้วพิจารณาคุณภาพอย่างละเอียดสักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยความลังเลเล็กน้อยว่า : “นี่ คงไม่ใช่ไหมเมฆละมุนอันล้ำค่านั่นหรอกใช่ไหม ?”
ชายหนุ่มพ่นลมฟึดฟัดออกจากจมูก
เฟิ่งชิงหัวกลืนน้ำลาย : “ท่านใช้ไหมเมฆละมุนนี่ซับเหงื่ออย่างนั้นหรือ ?”
“หุบปาก เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว”
เฟิ่งชิงหัวลองหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ขาวสะอาดอ่อนนุ่มขึ้นมาเช็ดหน้าผากของตนเองอย่างกระตือรือร้น ในใจแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด
ผ้าผืนนี้น่าจะมีมูลค่าเท่ากับทองนับพันชั่ง นับว่าจวนอ๋องเจ็ดใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจริง ๆ
น้ำเสียงอันชั่วร้ายของชายหนุ่มดังขึ้นข้าง ๆ หูอีกครั้ง : “เช็ดเสร็จแล้วนำไปซักให้สะอาดแล้วเอามาคืนข้า”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกไม่เชื่อนัก : “ท่านร่ำรวยและมีอำนาจเช่นนี้ ยังจะเสียดายของที่ใช้แล้วอีกหรือ อีกอย่าง เสื้อผ้าของท่านเคยซักเสียเมื่อไหร่กัน ?”
อย่าคิดว่านางไม่รู้ อ๋องเจ็ดพระองค์นี้ของพวกเขา ใช้ชีวิตหรูหราอย่างยิ่ง
เสื้อผ้าที่เคยใส่แล้วครั้งหนึ่ง จะไม่ใส่อีกเป็นครั้งที่สอง นางยังสงสัยว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นเสื้อผ้าขายส่งหรือไม่ ไม่สิ เป็นการสั่งตัดแบบยกโหลต่างหาก
จ้านเป่ยเซียวส่งเสียงฟึดฟัด : “เดี๋ยวนี้”
เฟิ่งชิงหัวแอบก่นด่าในความตระหนี่ นางสอดผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในหน้าอก แล้วล้มตัวปิดตาลงนอนพักผ่อนต่อ
ตลอดทางมีเพียงความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงของล้อที่หมุนวนไปเท่านั้น
เมื่อมาถึงประตูจวน ก็มีบรรดาองครักษ์มายืนเข้าแถวรอต้อนรับอยู่ตรงประตูแล้ว หลิวหยิ่งเข็นรถเข็นเข้ามา และเตรียมช่วยเหลือนายท่านลงจากรถม้า
เฟิ่งชิงหัวกระโดดลงมาจากรถม้าก่อน จากนั้นจึงใช้เท้าเตะรถเข็นนั่นออกไปไกล
หลิวหยิ่งเห็นดังนั้นก็ตาเบิกโพลง
เฟิงชิงหัวหันกลับไปมองชายหนุ่มบนรถม้า ที่กำลังจ้องมองมาที่นางอยู่ จากนั้นจึงเลิกคิ้วแล้วพูดว่า : “ขาของท่านไม่ได้พิการจริง ๆ เสียหน่อย ลงมาเดินเองเถอะ ข้าจะประคองท่านเอง”
จ้านเป่ยเซียวนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดไม่จา
“ท่านอยากทำตัวเป็นคนพิการไปตลอดชีวิตหรืออย่างไร ? รีบลงมาเร็วเข้า มีข้าอยู่ตรงนี้ ไม่มีทางปล่อยให้ท่านล้มลงไปแน่นอน” เฟิ่งชิงหัวพูดเร่งเร้า
หลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนใจเต้นระส่ำ และรีบกระซิบเบา ๆ ว่า : “พระชายา ขาของนายท่านไม่อาจใช้การได้ ท่านอย่าได้……” อย่าได้เติมเชื้อไฟอีกเลย
บนโลกนี้ ไม่มีใครอยากยืนขึ้นมาได้มากกว่านายท่านอีกแล้ว หากเป็นไปได้ คงไม่มีใครที่เกลียดชังรถเข็นคันนี้มากกว่าเขาอีกแล้ว
หลิวหยิ่งพูดเพียงครึ่งหนึ่งก็หยุดลง เขาเห็นนายท่านยื่นมือออกจากรถม้าไปตรงหน้าเฟิ่งชิงหัว ท่าทางหยิ่งทะนงและสูงส่ง เห็นเฟิ่งชิงหัวเป็นเหมือนกับขันทีน้อย
เฟิ่งชิงหัวประคองมือของเขา เพื่อให้เขาค้ำตัวลงจากรถ
ในขณะที่ขาทั้งสองข้างเหยียบลงบนพื้น มีความรู้สึกปวดร้าวแผ่ซ่านขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า ราวกับมีเข็มนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงอยู่ใต้ฝ่าเท้า
จ้านเป่ยเซียวตัวสั่นเทา มือข้างหนึ่งจับขอบรถม้าเอาไว้แน่น
“เพิ่งเริ่มต้นก็เป็นเช่นนี้แหละ นี่เป็นเพราะเส้นประสาทที่เท้าของท่านไม่ได้ใช้การมานาน ดังนั้นจึงไม่อาจคุ้นชินได้ในทันที เมื่อเคยชินแล้วก็จะดีขึ้นเอง ค่อยเป็นค่อยไปนะ” เฟิ่งชิงหัวยืนอธิบายอยู่ข้าง ๆ ด้วยความอดทนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้น ก็ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้น แล้วอาศัยแรงจากมือของเฟิ่งชิงหัว ประคองตัวให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง
ค่อย ๆ ก้าวไปด้านหน้าทีละก้าว ๆ หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าด้านหลังเองก็เปียกชุ่มจนแนบสนิทเข้ากับแผ่นหลัง
หัวใจของจ้านเป่ยเซียวเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น ความรู้สึกที่เท้าได้เหยียบลงบนพื้นจริง ๆ เช่นนี้ เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว เขาเกือบลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เดินคือเมื่อไร
แต่ละก้าวของจ้านเป่ยเซียวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเร็วขึ้นเรื่อย ๆ อีกเพียงนิดเดียวก็จะก้าวเข้าสู่จวนแล้ว แต่เฟิ่งชิงหัวกลับรั้งเขาเอาไว้ แล้วหันหน้ากลับไปพูดกับหลิวหยิ่งว่า : “เอารถเข็นมา”
จากนั้นก็หันไปพูดกับจ้านเป่ยเซียวที่ทำสีหน้าสงสัยว่า : “ตอนนี้ร่างกายของท่านยังไม่เหมาะที่จะเคลื่อนไหวอย่างหนัก เดินวันละยี่สิบเก้าก็พอแล้ว ต้องค่อยเป็นค่อยไป จะรีบร้อนไม่ได้”