ตอนที่ 61 คลาสเรียนเปียโน
หลังจากที่หลินเยวียนทำงานในบริษัทได้ไม่กี่วัน ปิดเทอมฤดูร้อนก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ สถานศึกษาแต่ละแห่งทยอยกันเปิดเรียน หนึ่งในนั้นย่อมรวมไปถึงวิทยาลัยศิลปะฉินโจวด้วย
วางมือจากงานเป็นการชั่วคราว
หลินเยวียนกลับไปใช้ชีวิตในรั้ววิทยาลัยดังเดิม
นี่เป็นภาคการศึกษาใหม่ ตารางเรียนของหลินเยวียนมีวิชาเฉพาะของสาขาเพิ่มมาอีกหนึ่งวิชา ทว่าวิชาของสาขานี้นับว่าเป็นมิตรสำหรับหลินเยวียน
วิชาเปียโน
นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญเครื่องดนตรีหลากหลายประเภท แต่ความเข้าใจในระดับหนึ่งนั้นขาดไม่ได้ และเปียโนก็เป็นเครื่องดนตรีสำคัญที่สาขาการประพันธ์เพลงจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยไว้พอดิบพอดี
ในวิทยาลัย หลินเยวียนเป็นนักเรียนที่ดีคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้ระบบจะบอกว่าความสามารถในการเล่นเปียโนของหลินเยวียนอยู่ในระดับเชี่ยวชาญ แต่ถึงอย่างนั้นหลินเยวียนก็ยังปรากฏตัวในห้องเรียนอย่างว่าง่าย
ไม่เพียงเพื่อคะแนน และยังเพราะก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าความสามารถด้านเปียโนของเขาไม่เอาไหน ฉะนั้นเขาจึงคิดว่าจะใช้โอกาสนี้พัฒนาฝีมือสักหน่อย
“ทุกคน”
อาจารย์ที่สอนเป็นผู้ชาย รูปร่างแม้จะไม่สูง แต่หน้าตาก็หล่อเหลาเอาการทีเดียว ไว้ผมยาวถักเปียเส้นเล็ก แลดูเปี่ยมด้วยความเป็นศิลปิน และถูกมองว่าเป็นต้นแบบที่ไม่ดีของนักศึกษา
เห็นได้ชัดว่าวิทยาลัยไม่สนับสนุนให้นักศึกษาไว้ผมยาว
“พวกคุณเป็นนักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ส่วนใหญ่น่าจะมีพื้นฐานเปียโนในระดับหนึ่งถึงขั้นระดับที่ดี ดังนั้นพอได้ยินว่าเทอมนี้จะมีคลาสเปียโนเพิ่มขึ้นมา พวกคุณหลายคนอาจข่มความตื่นเต้นที่จะได้โชว์ความสามารถต่อหน้าเพื่อนๆ ไม่อยู่ใช่มั้ยล่ะ”
นี่เป็นอารัมภบทเปิดวิชาเรียนครั้งแรกของอาจารย์สอนเปียโน
เพียงแต่แค่ประโยคเดียวก็สามารถเข้าถึงความคิดของคนในวิชาเรียนมากมายได้
จากนั้นเขาก็กล่าวแนะนำตัว “ผมชื่อหวงเปิ่นอวี่ พวกคุณเรียกผมว่าอาจารย์หวงก็ได้ ตั้งแต่นี้จะมาเป็นครูสอนเปียโนของพวกคุณ”
นักศึกษาห้าสิบคนในชั้นเรียนล้วนปรบมือให้
หวงเปิ่นอวี่ยิ้มบาง “ในคาบแรกทุกปี นักศึกษาสาขาการประพันธ์เพลงมักจะคิดว่าตัวเองช่ำชองมากแล้ว เก็บความคิดของพวกคุณกลับไปก่อน อย่าคิดว่าตัวเองพอเล่นเปียโนได้นิดๆ หน่อยๆ แล้วจะไม่เห็นผมอยู่ในสายตา ในวิทยาลัยของพวกคุณ กู้ซีเป็นนักศึกษาคนเดียวที่ผมสอนไม่ได้ ส่วนนักศึกษาคนอื่นๆ ก็คงจะต้องเรียนกับผมอย่างจริงจัง เพราะระดับของพวกคุณนั้นยังห่างไกลกว่ามาก!”
นี่เป็นการสำแดงแสนยานุภาพ
หวงเปิ่นอวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางอืดอาด “ความรู้ทางทฤษฎีพวกคุณเรียนไปเมื่อเทอมที่แล้ว ในคลาสนี้พวกเราจะเรียนเพลงกัน เริ่มจากเพลงที่ค่อนข้างง่ายก็แล้วกัน จะได้ช่วยเติมเต็มความคิดของพวกคุณที่อยากโชว์ความสามารถด้วย ‘ลำนำฉิน’ เล่นกันได้ทุกคนใช่มั้ย”
นักศึกษาต่างพยักหน้า
คนส่วนใหญ่เมื่อแรกเริ่มฝึกเปียโน เพลงที่เรียนก็มักจะคล้ายคลึงกัน ลำนำฉินก็เป็นบทเพลงระดับเริ่มต้นที่ค่อนข้างคลาสสิก
“ดีมาก”
หวงเปิ่นอวี่กล่าวเสียงเรียบ “งั้นพวกเราหาคนมาเล่นลำนำฉินดีกว่า พวกคุณไม่ได้อยากโชว์เหรอ ผมให้โอกาสแล้ว”
พรึ่บๆๆ!
กลุ่มคนด้านล่างต่างยกมือ
มุมปากของหวงเปิ่นอวี่ยกยิ้ม เขาชอบเวลาที่นักศึกษาแย่งกันออกมาแสดงตัวอย่างที่ผิดกันเหลือเกิน นี่เป็นมุกเก่าที่เขาให้นักศึกษาใหม่เล่นทุกครั้ง
หานักศึกษาที่คิดว่าฝีมือของตนใช้ได้ขึ้นมาบนเวทีก่อน
รอให้นักเรียนคนนี้บรรเลงเพลงเสร็จและเตรียมพร้อมรับคำเยินยอจากเพื่อนในคลาส ตนก็จะชี้ความผิดพลาดของพวกเขาจากมุมมองของมืออาชีพ จากนั้นจะโจมตีความมั่นอกมั่นใจของนักศึกษากลุ่มนี้อย่างหนักหน่วง ทำให้นักศึกษาพวกนี้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วระดับของพวกเขานั้นไม่ได้สูงส่งอย่างที่พวกตนจินตนาการ
จุ๊ๆ
ดูสิว่าเจ้าพวกนี้ตื่นเต้นขนาดไหน
อะดรีนาลีนกับฮอร์โมนพลุ่งพล่านแล้วล่ะมั้ง?
เหมือนกับฉันตอนยังเป็นวัยรุ่นไม่ผิดเพี้ยน คงมีความคิดอยากเฉิดฉายต่อหน้าเพื่อนๆ สินะ โดยเฉพาะนักศึกษาในแถวหน้าซึ่งยกมือกันทุกคน…
เอ๊ะ?
ทันใดนั้นหวงเปิ่นอวี่ก็สังเกตเห็นว่าในบรรดาศึกษาแถวหน้า มีคนหนึ่งไม่ได้ยกมือ?
หวงเปิ่นอวี่มองไปยังหลินเยวียนผู้ซึ่งโดดเด่นไม่ว่าจะตั้งแต่เรื่องที่ไม่ยกมือไปจนถึงหน้าตา
ไม่ยกมือคือไม่เล่นตามแผน?
เด็กที่คิดว่าตนฉลาดต้องถูกคนฉลาดกว่าดักทาง เลือกนายก็แล้วกันเจ้าคนโชคร้าย หวงเปิ่นอวี่มองไปยังหลินเยวียนที่ไม่ได้ยกมือ “คุณเล่นได้มั้ย”
หลินเยวียนตอบ “นิดหน่อยครับ”
ไม่เล่นตามแผนจริงๆ เล่นได้แท้ๆ แต่กลับไม่ยกมือ ในสถานการณ์ที่ทุกคนยกมือ คนที่ไม่ยกมือก็ย่อมดึงดูดความสนใจของฉันได้สำเร็จ
หวงเปิ่นอวี่พูด “งั้นคุณมาลองเล่นดูหน่อย?”
“ก็ได้ครับ”
หลินเยวียนลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
เขารู้สึกว่าอาจารย์คนนี้แปลกมาก ทั้งคลาสยกมือกันตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาดันมาเลือกตนที่ไม่ยกมือ
“เฮ้อ”
นักศึกษาคนอื่นเห็นว่าตนไม่ถูกเลือกก็ลดมือลงอย่างยอมแพ้
หลินเยวียนนั่งลงหน้าเปียโน
เขาเคยเรียนเพลงลำนำฉิน ดังนั้นจึงเล่นได้อย่างแน่นอน ทว่าบทเพลงนี้มีหลายเวอร์ชันมาก ในเมื่ออาจารย์ไม่ได้บอกระบุเวอร์ชันมา อย่างนั้นหลินเยวียนก็เลือกเวอร์ชันที่ตนเองค่อนข้างชอบก็แล้วกัน
ห้านิ้วกางออก
มือขวาวางลงบนคีย์บอร์ด
คอร์ดกลุ่มแรกดังขึ้นอย่างหนักหน่วง ทั้งแข็งกร้าวและรุนแรง ตามมาติดๆ ด้วยมือซ้ายของหลินเยวียน นิ้วมือทั้งสิบเริงระบำอยู่บนคีย์บอร์ดเปียโน
“ลำนำฉินเวอร์ชันดัดแปลง?”
หวงเปิ่นอวี่เลิกคิ้ว บทเพลงนี้มีหลายเวอร์ชัน หลินเยวียนดันเลือกเล่นหนึ่งในเวอร์ชันที่ระดับความยากสูงมาก เวอร์ชันนี้แม้แต่ตนเองยังไม่กล้ารับประกันเลยว่าจะเล่นได้ดี
หลินเยวียนดำดิ่งสู่ท่วงทำนอง
เสียงดนตรีซึ่งลดระดับลงราวกับศรธนูโฉบเต็มท้องนภา ท่ามกลางความแตกต่างของเสียงหนักและเบาดังแจ่มชัด เสียงเน้นอันอ่อนโยนสอดประสาน กลมกล่อมจนไม่เสียดหูแม้แต่นิดเดียว
สีหน้าของหวงเปิ่นอวี่ค่อยๆ เปลี่ยนไป
เมื่อเพลงดำเนินมาถึงบาร์ไลน์ที่สิบ เสียงดนตรีจากปลายนิ้วของหลินเยวียนก็สำแดงความพลิ้วไหวอันน่าทึ่ง แทบไม่มีใครจับเสียงที่เพี้ยนได้เลย ในนั้นกลับปรากฏเสียงหนืดขึ้นมาบ้าง ทว่าเสียงหนืดที่เกิดขึ้นบางครั้งคราวนี้ หวงเปิ่นอวี่ก็รู้ว่าต่อให้เป็นตนเองก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
เทคนิคในการบรรเลงเพลงอันช่ำชอง…
หลินเยวียนจัดการโน้ตประดับได้อย่างละเอียดอ่อน การแบ่งประโยคเพลงและจัดวางกลุ่มโน้ตได้อย่างสมบูรณ์แบบถ่ายทอดความหมายของบทเพลงออกมาได้อย่างแจ่มชัด
ไม่เพียงหวงเปิ่นอวี่
แม้แต่นักศึกษาที่นั่งอยู่กับที่ก็จ้องเขม็งอย่างอดไม่ได้ สายตาที่เด็กผู้หญิงจำนวนหนึ่งมองหลินเยวียนก็ยิ่งพร่างพราวขึ้นมา
“ท่อนสุดท้าย”
ยามที่เสียงยาวดังขึ้น บรรดานักศึกษาที่รู้จักเพลงนี้ต่างก็สัมผัสได้พร้อมกัน ว่านี่คือท่อนจบของดนตรี และเป็นส่วนที่ให้ความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดของบทเพลง
ไม่ยินยอม
เสียใจ
ความรู้สึกถ่ายทอดผ่านคีย์บอร์ดเปียโน มือทั้งสองข้างของหลินเยวียนเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งนิ้วมือของเขาหลุดออกในทุกครั้งที่กดลง ท้ายที่สุดบทเพลงก็จบลงด้วยเสียงเปียโนซึ่งราวกับเป็นเสียงคร่ำครวญ
ลำตัวยืดตรง
หลินเยวียนบรรเลงเพลงจบแล้ว
ผู้ที่พอรู้เรื่องเปียโนอยู่บ้างล้วนรู้ว่าท่วงทำนองที่หลินเยวียนเล่นไปเมื่อครู่นั้นดีขนาดไหน ทุกคนปรบมือให้ ส่วนหวงเปินอวี่ก็ยิ่งผุดลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ในสมองเต็มไปด้วยความงุนงง
อะไรกัน
นี่มันอะไรเนี่ย
แบบนี้เรียกว่าได้นิดหน่อยเรอะ
นิดหน่อยบ้านนายมันหน้าตาแบบนี้หรือไง!
เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวนี่มันยากจริงๆ เลย!
ถ้าเป็นนักศึกษาที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเข้าเรียนคลาสเปียโนกับตน แต่ตนก็ต้องให้คะแนนไปอย่างว่าง่ายอย่างกู้ซีก็ว่าไปอย่าง ถึงอย่างไรคนเขาก็เป็นถึงอัจฉริยะด้านเปียโนที่หาได้ยากยิ่ง เคยได้ขึ้นแสดงในโถงทองคำที่ตนเองใฝ่ฝันมาแล้วด้วยซ้ำไป
ถึงแม้พูดแบบนี้จะฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ความจริงแล้วหวงเปิ่นอวี่ก็ยังหวังว่ากู้ซีจะไม่มาเข้าเรียน เพราะเมื่อด้านล่างมีกู้ซี เขาก็มักจะกังวลว่าจู่ๆ อีกฝ่ายจะลุกขึ้นมาสอนตนเองเล่นเปียโน
แต่ไหงตอนนี้กลับมีนักศึกษาปีศาจโผล่มาอีกคนหนึ่งแล้วล่ะ
ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเลย!
งั้นหลังจากนี้วิชาเปียโนของเขาจะสอนยังไงล่ะ
เมื่อเสียงปรบมือสงบลง
ท่ามกลางห้องเรียนอันเงียบสงัด หวงเปิ่นอวี่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะกล่าวกลั้วหัวเราะ “ถ้าตอนนี้พวกคุณอยู่ระดับนี้กันหมด งั้นผมจะไปลาออกที่ห้องอธิการบดีตึกข้างๆ เดี๋ยวนี้ละ”
ฝูงชนหัวเราะครืน
หวงเปิ่นอวี่ถามหลินเยวียน “คุณชื่ออะไร”
“หลินเยวียน”
“ใครเป็นคนสอนเปียโนให้คุณ”
“แม่ผมสอนครับ” หลินเยวียนโกหกหน้าตาย
หวงเปิ่นอวี่ตะลึงงันขึ้นมา “คุณแม่ของคุณคืออาจารย์ท่านไหนเหรอ”
ห้วงสำนึกของเขาในยามนั้นปรากฏรายชื่อของเหล่าปรมาจารย์เปียโนซึ่งเคยขึ้นแสดงในโถงทองคำมาชุดหนึ่ง
หลินเยวียนครุ่นคิด “อาจารย์สอนดนตรีชั้นป.สี่ห้องสามโรงเรียนประถมซีวั่งในหมู่บ้านหย่งหนิงครับ”
…………………………………………………