ตอนที่ 70 ขายเนื้อตุ๋นด้วยกัน

โชคดีที่ท่านป้าหยางไม่ได้สนใจรอยแผลบนใบหน้าของนางต่อ เพราะตอนนี้นางได้กลิ่นหมูตุ๋นในหม้อและรู้สึกว่ามันน่าอร่อยมาก

จี้จือฮวนเห็นเสื้อผ้าของท่านป้าหยางขาดแล้ว นางใคร่ครวญเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้นมา “ข้ายังมีน้ำพะโล้ของเนื้อตุ๋นเหลืออยู่ หากว่าท่านป้าไม่ยุ่งล่ะก็ เอากลับไปตุ๋นก็ได้นะเจ้าคะ หากไม่มีเนื้อก็ใช้ไข่ได้ เดี๋ยวข้าจะช่วยท่านเอาไปขายเอง”

บ้านท่านป้าหยางแม้ว่าจะไม่มีเนื้อแต่ว่ามีไก่ จี้จือฮวนแค่คิดว่าอยากจะช่วยนางบ้าง

ลูกสะใภ้คนโตของท่านป้าหยางรู้ว่าจี้จือฮวนมีความสามารถในการหาเงิน ทุกครั้งที่ท่านป้าหยางกลับบ้านไป ลูกสะใภ้ของนางก็มักจะพูดจาเสียดสีว่าจี้จือฮวนไม่มีคุณธรรม เรียกใช้นางเหมือนคนรับใช้ ให้นางแค่เศษเงิน เพราะถ้าหวังดีจริง ๆ ก็ควรสอนวิธีหาเงินให้พวกเขาบ้าง

ท่านป้าหยางโมโหที่ลูกสะใภ้นางเป็นคนปากไม่มีหูรูด แต่พวกนางก็ขัดสนจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าวันนี้ จู่ ๆ จี้จือฮวนจะเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาเอง

นางไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร จึงเอ่ยออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก “ฮวนฮวน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าอย่าเข้าใจผิด”

จี้จือฮวนนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้าพูดอะไรกันเจ้าคะ คืออย่างนี้เจ้าค่ะ ข้าได้เจรจากับเถ้าแก่ร้านอาหารป่าในตำบลเอาไว้ว่าจะทำเนื้อตุ๋นไปขายให้เขา ตอนนี้ที่บ้านข้ากำลังมีการก่อสร้างอยู่ หม้อก็ไม่พอใช้ ทางนั้นก็ขายหมดเร็วด้วย และเนื้อตุ๋นของข้าก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย

ข้าเลยคิดว่าอยากให้ท่านมาช่วยหน่อยเจ้าค่ะ อาจหาเงินได้เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากท่านอยากทำจริง ๆ เรื่องเนื้อต่อไปข้าจะเป็นคนออกเอง รอท่านเก็บเงินได้มากพอแล้ว ต่อไปก็ซื้อเนื้อมาทำเองได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

ท่านป้าหยางเห็นนางอธิบายด้วยความจริงใจ ก็ตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้นางเข้าใจผิดไปเอง เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนดึงมือของจี้จือฮวนมากุมแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮวนฮวน เจ้าช่าง…บุญคุณนี้ เจ้าจะให้ป้าตอบแทนเจ้าอย่างไรได้บ้าง”

จี้จือฮวนจึงเอ่ยปลอบ “ไม่ต้องตอบแทนหรอกเจ้าค่ะ ทุกคนอยู่ดีกินดีถึงจะดี”

ยิ่งไปกว่านั้นในหมู่บ้านนี้ ท่านป้าหยางก็เป็นคนแรกที่ยอมเชื่อนาง หากนางช่วยได้นั่นก็ดีมากแล้ว

ตอนนั้นบ้านเสี่ยวเจียนก็ไม่มีใคร อวี๋ซิ่วเหลียนหลังจากหย่าแล้วก็เงียบหายไป ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ชีวิตนางตอนนี้จึงสบายขึ้นมาก จี้จือฮวนจึงแบ่งน้ำพะโล้ให้นางด้วย และสอนเคล็ดลับให้พวกนาง ทั้งสองคนตั้งใจฟังกันอย่างจริงจัง พร้อมทั้งรู้สึกซาบซึ้งในตัวจี้จือฮวน

กว่าจะเสร็จเรื่องตะวันก็ขึ้นสูงแล้ว จี้จือฮวนตั้งใจว่าจะเข้าไปที่ตำบล อาอินเห็นว่าในที่สุดนางก็ออกมา จึงวางไม้กวาดในมือลงและไปสะพายตะกร้าของตัวเอง

เผยจี้ฉือก็จะไปด้วย จี้จือฮวนคิดว่าวันนี้คงไม่ได้ตั้งร้าน จึงให้พวกเด็ก ๆ อยู่ที่บ้าน ส่วนนางจะไปส่งเนื้อตุ๋นที่ตำบลเอง

อาอินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ทุกครั้งที่ไปก็มักจะพานางไปด้วย เหตุใดครั้งนี้ถึงไม่พานางไปด้วยเล่า

จี้จือฮวนเห็นแล้ว ก็นึกขบขัน “กลัวข้าหนีอย่างนั้นหรือ?”

อาอินหน้าแดงขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยอย่างขัดเขิน “เหตุใดยังพูดถึงเรื่องนี้อีกเล่า ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดเช่นนี้แล้ว”

“เอาล่ะ ๆ ๆ ข้ารู้แล้ว” จี้จือฮวนแบกของขึ้นหลัง เตรียมตัวลงจากเนินเขา

อาอินตามออกมา “เช่นนั้นท่านโกรธข้าหรือไม่ เมื่อก่อนข้าก็ไม่ได้อยากจะคิดอย่างนั้น”

“ข้าไม่โทษเจ้า” จี้จือฮวนตบลงที่ไหล่ของนางเบา ๆ เห็นสีหน้าของสาวน้อยผ่อนคลายลงแล้ว จึงเอ่ยกำชับนางอีกครั้ง “ดูแลบ้านให้ดี ข้าจะรีบไปรีบกลับ รอวันหลังตั้งร้านข้าค่อยพาเจ้าไป”

อาอินจึงพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง “อืม”

เดิมจี้จือฮวนคิดที่จะเดินไป แต่นางเพิ่งออกมาจากรั้วก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นมา เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นจ้านอิ่งเดินออกจากขบวนสัตว์ของอาชิง ก่อนจะเดินเข้ามาหานาง และก้มหัวลงจ้องนางเงียบ ๆ

จี้จือฮวน “…”

คงหิวแล้วกระมัง

“อาอิน เอาหญ้ามาป้อนมันหน่อย”

นางสั่งเสร็จก็กำลังจะเดินไป แต่ตะกร้ากลับถูกจ้านอิ่งคาบเอาไว้

จ้านอิ่งยกตะกร้าเบา ๆ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้หิว แต่จะไปเป็นเพื่อนนาง

จี้จือฮวนคิดไม่ถึงว่าจ้านอิ่งจะแสนรู้เพียงนี้ “เจ้าจะไปส่งข้าที่ตำบลอย่างนั้นหรือ?”

จ้านอิ่งกะพริบตาปริบ ๆ เผยจี้ฉือเห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “จ้านอิ่งฟังภาษาคนออก อีกทั้งไม่ต้องคอยบอกทาง ขอเพียงมันเคยไปสักครั้งก็จะสามารถจำทางได้ เมื่อก่อนเวลาท่านพ่อรีบเดินทัพก็นอนบนตัวของจ้านอิ่ง มันก็สามารถหาปลายทางได้เอง”

อาอินเอ่ย “ข้าจะไปหยิบอานม้ามาให้”

จี้จือฮวนตรวจสอบสภาพร่างกายของจ้านอิ่งเล็กน้อย บาดแผลตกสะเก็ดแล้ว ดูท่ายาหลิงเฉวียนจะมีฤทธิ์ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ว่า…เหตุใดเผยยวนยังไม่ฟื้นอีกเล่า?

ตามหลัก เขากินยาหลิงเฉวียนมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ไม่ขาดเลยสักวันเดียว แต่นอกจากสีหน้าที่มีสีเลือดฝาด และร่างกายที่แข็งแรงขึ้นแล้ว คนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมาแต่อย่างใด

ไม่นานอาอินก็กลับออกมา อานม้านี้ตลาดม้าเอาให้มาด้วย ไม่นับว่าดีมากเท่าไร เพราะหากเทียบกับอานม้าสั่งทำพิเศษของจ้านอิ่งเมื่อก่อนแล้ว ก็เรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยก็ว่าได้

โชคดีที่จ้านอิ่งเองก็ไม่รังเกียจ มันรอให้จี้จือฮวนสวมอานม้าจนเสร็จอย่างเชื่อฟัง

“เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่ ความเร็วของจ้านอิ่งเร็วมากนะ”

จากความเร็วของจ้านอิ่ง การเข้าไปที่ตำบลเกรงว่าคงใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น

จี้จือฮวนรู้สึกว่าลูกชายคนโตนี่ขี้กังวลจริง ๆ “วางใจเถอะ ข้าขี่ม้าเป็น”

นางจับอานม้าเอาไว้ ก่อนเหยียบบนโกลนม้าแล้วยกขาวาดข้ามหลังม้าไป ขณะที่กำลังจะบอกให้เด็ก ๆ กลับไปได้แล้ว เกือกม้าของจ้านอิ่งก็กระแทกลงกับพื้น จากนั้นก็เหลือเพียงเงาและฝุ่นที่ลอยละล่องเท่านั้น

“…” มุมปากของอาอินกระตุกเล็กน้อย มองแม่เลี้ยงที่ห่างออกไป ก่อนจะเกาหัวเบา ๆ “นางคงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง”

เผยจี้ฉือได้แต่คิดในใจ ข้าก็ไม่สามารถตอบได้ แต่คิดว่าคงจะเมาม้าเป็นแน่

จี้จือฮวนมีความคุ้นชินกับการแข่งรถมาบ้าง ดังนั้นเมื่อความเร็วของจ้านอิ่งเพิ่มขึ้น ไม่นานนางก็สามารถปรับตัวเข้ากับมันได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ นางรู้สึกขอบคุณตัวเองมากที่ห่อของเอาไว้อย่างดี!

ไม่อย่างนั้นเมื่อไปถึงตำบล เนื้อตุ๋นกับเกลือคงได้หกไม่เหลือเป็นแน่!

ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลเฉินเห็นเพียงม้าตัวหนึ่งวิ่งฟิ้วผ่านหน้าไป บนหลังม้าดูเหมือนจะมีสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วย ส่วนอย่างอื่นกลับมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

“เมื่อครู่เจ้าเห็นอะไรหรือไม่?”

อีกคนได้แต่ส่ายหน้า

เขาขยี้ตาไปมา หรือว่าเมื่อคืนจะนอนไม่เต็มอิ่ม ทำให้ตาลายอย่างนั้นหรือ?

เพียงไม่กี่อึดใจจี้จือฮวนก็มาถึงตำบลฉาซู่แล้ว ทันทีที่จ้านอิ่งหยุดฝีเท้าลงนางก็เกือบจะหงายหลังตกลงมา โชคดีที่หนีบอานม้าเอาไว้แน่นพอ หลังลงมาจากหลังม้า นางก็จ้องหน้าจ้านอิ่งนิ่ง ๆ

จ้านอิ่งสบกับสายตาพิฆาตของจี้จือฮวน จู่ ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามันคงทำอะไรบางอย่างผิดไปเป็นแน่ จึงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟังในทันที

จี้จือฮวนกลอกตามองบน ก่อนจะเดินนำไป ส่วนจ้านอิ่งก็เดินตามหลังนางมาอย่างเงียบ ๆ

เมื่อนางมาถึงภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหล ก็พบว่าการค้าที่นี่ยังคงคึกคักอยู่ แต่เมื่อเทียบกับตอนแรก ๆ แล้ว จำนวนคนได้เริ่มลดลง

เสี่ยวเอ้อเมื่อเห็นจี้จือฮวนมาก็รีบเข้ามาต้อนรับ “แม่นางจี้ ในที่สุดก็มาแล้ว”

“จริงสิ เจ้าช่วยเอาเนื้อตุ๋นของข้าไปส่งให้เถ้าแก่จางต้าเปียวที ข้าจะเข้าไปหาเถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าก่อน”

“ได้เลยขอรับ!”

จี้จือฮวนเพิ่งจะผูกจ้านอิ่งเสร็จ ฮวาเซียงเซียงก็ตบลงที่ไหล่ของนางเบา ๆ ก่อนจะบ่นออกมา “ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที สองวันมานี้อยู่บ้านทำอะไรบ้าง?”

“เกลือหมดแล้วใช่หรือไม่?”

ฮวาเซียงเซียงมองไปรอบ ๆ “ก็ใช่น่ะสิ เอามาด้วยหรือไม่?”

“เอามาสิ มีเกลือนี่แล้วการค้าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว เกลือของเจ้าไม่มีรสฝาด เม็ดก็เล็ก ตอนแรกพวกเขาก็ไม่ยอมมากินกัน ทว่าวันนั้นที่เจ้ามาตั้งร้าน แต่ละคนต่างก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย นับตั้งแต่ที่ข้ากับภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่สู้กันมา ข้าไม่เคยเอาชนะได้มาก่อนเลย ช่างมีความสุขจริง ๆ”

.

.

.