ตอนที่ 35 การลงโทษเช่นนั้นหรือ (2)

หวนคืนชะตาแค้น

ตอนที่ 35 การลงโทษเช่นนั้นหรือ (2)

เช้าตรู่ มู่ชิงอีพาจูเอ๋อร์ไปที่วัดเพื่อสวดมนต์และอธิษฐานขอพร ผู้คนต่างทราบเหตุผลที่นางถูกส่งมายังวัดเป้ากั๋วคือเพื่อต้องการสวดมนต์อธิษฐานขอพรให้มารดาที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ว่าการสวดมนต์ขอพรนั้นจะต้องกระทำต่อหน้าพระสงฆ์ จูเอ๋อร์จึงออกมารอด้านนอกวัด ส่วนมู่ชิงอีก้าวเข้าไปในวัดเพียงลำพัง วัดที่เงียบสงบเต็มไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์ พระอาวุโสหนวดเคราสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูกเก่าๆ มู่อวี๋[1]ในมือของเขาถูกเคาะเป็นจังหวะ ในห้องโถงพุทธที่ว่างเปล่าเช่นนี้ ทุกจังหวะการเคาะราวกับพุ่งตรงเข้าไปสู่จิตใจของผู้คน

มู่ชิงอีเดินไปเติมน้ำมันที่ตะเกียงด้านหน้าพระพุทธรูปอย่างใจเย็น จากนั้นจึงค่อยๆ เดินไปทางอื่นในห้องโถงเพื่อเติมน้ำมันทีละตะเกียง หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้มีจี้หยกที่ไม่โดดเด่นวางอยู่บนโต๊ะ

“ผู้บริจาคหญิง มาที่นี่เพราะเหตุใดหรือ” เวลาผ่านไปนานเสียงมู่อวี๋ก็หยุดลง น้ำเสียงชราดังขึ้นอย่างแผ่วเบา มู่ชิงอีวางน้ำมันในมือของนางลงแล้วเดินไปที่ฟูกด้านหลังพระอาวุโสแล้วคุกเข่าลงพนมมือพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า “มาเพื่ออธิษฐานให้ญาติพี่น้องและสหายผู้ล่วงลับเจ้าค่ะ”

“ถ้าจะขอพร แม่นางก็ไม่สมควรมาที่นี่” พระอาวุโสกล่าว ศาลาหลังนี้ไม่ใช่โถงหลักของวัดเป้ากั๋ว แต่เป็นศาลาที่สงบเงียบที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นศาลาประดิษฐานที่พระมหามยุรีโพธิสัตว์ตั้งอยู่ พระพุทธรูปในห้องโถงใหญ่ล้วนสีดำสนิทให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม

มู่ชิงอียังคงมีทีท่านิ่งสงบ กล่าวว่า “หากญาติพี่น้องและเหล่าสหายไม่สงบสุขในดินแดนหลังความตาย แล้วจุดประสงค์ในการอธิษฐานคือเพื่อสิ่งใดกันหรือเจ้าคะ”

พระอาวุโสเงียบลงอยู่นาน ก่อนที่จะถอนหายใจในท้ายที่สุด เมื่อมองดูจี้หยกบนโต๊ะเขาก็กล่าวว่า “เดิมทีอาตมาคิดว่าสิ่งนี้น่าจะปรากฏตั้งแต่สองสามปีก่อน ต่อมาอาตมาคิดว่า…ถ้าสิ่งนี้ไม่ปรากฏคงจะเป็นการดี แต่คาดไม่ถึงว่าคุณหนูสี่จะทำให้สิ่งนี้ปรากฏต่อหน้าอาตมา”

“ท่านเจ้าอาวาสได้โปรดเมตตา” มู่ชิงอีส่งสายตาอ้อนวอน

“ทะเลแห่งความทุกข์ระทมไร้ขอบเขต เมื่อหันหลังกลับไปก็คือชายฝั่ง สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนอยากหลีกหนีจากทะเลแห่งความทุกข์ระทมแต่ก็ไม่สามารถทำได้ แล้วเหตุใดแม่นางถึงต้องการลงไปยังทะเลแห่งความทุกข์ระทมนั่นเล่า” พระอาวุโสกล่าวด้วยความเมตตา เกลี้ยกล่อมนางด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก ดวงตาของมู่ชิงอีสั่นไหว รอยยิ้มบิดเบี้ยวพลันปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของนาง เสียงหัวเราะเย็นเยือกดังขึ้นในศาลาอย่างแผ่วเบา “หากครอบครัวและสหายล้วนจมสู่ขุมนรก ท่านเจ้าอาวาสยังจะกล้านิ่งเฉยราวกับพระพุทธเจ้าเช่นนี้ อยู่หรือไม่เจ้าคะ”

“พระพุทธเจ้าอยู่ในใจ ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าถ้าไร้ภาพมายาในจิตใจ จิตหนึ่งจิตก็สามารถเข้าสู่ดินแดนพระพุทธเจ้าได้ แต่เมื่อมีภาพมายาในจิตใจ จิตหนึ่งจิตก็จะจมลงสู่ขุมนรก สรรพสิ่งล้วนสร้างภาพมายาเติบโตอยู่ในจิตใจ เช่นนั้นจิตใจย่อมจมอยู่ในขุมนรกตลอดเวลา จงอย่าสร้างภาพมายาในจิตใจ เพื่อที่จะได้อยู่ในดินแดนพระพุทธเจ้าตลอดไป…”

มู่ชิงอียกยิ้มอย่างเย็นชา “ท่านเจ้าอาวาสคิดว่าความลวงคือสิ่งใดหรือเจ้าคะ ตระกูลกู้คือสิ่งใด กรรมที่อยู่ในพระพุทธศาสนาคืออะไร ข้าไม่สามารถฝึกฝนในชาติก่อน เพียงแต่ต้องทำในชาตินี้เท่านั้น!”

เจ้าอาวาสฉือเอินหันกลับมามองดูหญิงสาวท่าทางบอบบางแต่ราวกับถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำแข็ง กำลังคุกเข่าอยู่บนฟูก ก็เอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า “ถ้าไม่สามารถล้างความคับข้องใจให้ตระกูลกู้ได้ แล้วแม่นางจะทำอย่างไร”

มู่ชิงอียิ้มอย่างเฉยเมย “เทพขัดขวางเทพ พระพุทธเจ้าขัดขวางพระพุทธเจ้า หากสวรรค์ไม่ได้ต้องการให้แก้แค้น มู่ชิงอีก็จะตายไป…ถือว่าสวรรค์ลงโทษ!”

คราวนี้ท่านเจ้าอาวาสฉือเอินนิ่งเงียบไป หลังจากนั้นไม่นานท่านเจ้าอาวาสฉือเอินก็หยิบสาส์นที่ถูกปิดผนึกด้วยน้ำตาเทียนจากใต้แขนจีวรออกมาแล้วส่งมอบให้กับมู่ชิงอี พูดเสียงแผ่วเบา “อาตมาก็หวังเพียงแต่ว่าอาตมาจะยังมีชีวิตอยู่…” ท่านเจ้าอาวาสฉือเอินไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป หลังจากส่งสาส์นถึงมู่ชิงอีเขาก็หลับตาลงแล้วเคาะมู่อวี๋เริ่มสวดมนต์อีกครั้ง

มู่ชิงอีเปิดสาส์นออกอ่าน ถอนหายใจด้วยท่าทีที่ซับซ้อน แล้วจุดไฟเผาสาส์นโยนทิ้งลงไปในกระถางธูปที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นนางก็ทำความเคารพท่านเจ้าอาวาสฉือเอิน เอ่ยกระซิบว่า “ผู้น้อยขอลาเจ้าค่ะ”

มู่ชิงอีถอยออกจากห้องโถงอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นไม่นานสามเณรตัวน้อยก็เข้ามา รายงานเสียงเบา “เรียนท่านเจ้าอาวาส คุณชายใหญ่และคุณชายรองจากจวนซู่เฉิงโหวมาขอพบท่าน”

ท่านเจ้าอาวาสฉือเอินไม่ได้ลืมตา เพียงแต่เอ่ยสั่งว่า “ส่งคำกล่าวถึงศิษย์น้องฉืออาน วันนี้อาตมาจะปิดตนบำเพ็ญภาวนา ทุกอย่างในวัดให้อยู่ในการดูแลของศิษย์น้องฉืออาน”

แม้จะแปลกใจไม่น้อย แต่สามเณรน้อยก็ไม่กล้าละเมิดคำสั่งของท่านเจ้าอาวาส ย่องออกไปอย่างเงียบๆ ในห้องโถงพุทธ ท่านเจ้าอาวาสฉือเอินถอนหายใจอย่างเงียบงัน

มู่ชิงอีเดินไปมาในวัดเป้ากั๋วอย่างคล่องแคล่ว วัดเป้ากั๋วนั้นเป็นสถานที่ที่นางมักจะมาเยี่ยมชมในตอนที่ยังเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม เพราะท่านปู่ของนางและท่านเจ้าอาวาสฉือเอินเป็นสหายกัน มักจะมาสนทนาเรื่องชาและธรรมะกับท่านเจ้าอาวาสอยู่บ่อยครั้ง แม่ว่ากู้อวิ๋นเกอจะฉลาดเป็นกรด แต่ก็ไม่ได้ฝักใฝ่ในพระธรรมถึงขนาดนั้น ยามที่ท่านปู่และท่านเจ้าอาวาสสนทนากันเรื่องพระธรรม นางก็จะเข้าใจเพียงประโยคเดียวจากสิบประโยค แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านปู่ของนางจะมอบสิ่งที่เหลืออยู่อย่างสุดท้ายของตระกูลกู้ให้กับท่านเจ้าอาวาสฉือเอิน ราวกับตระเตรียมการเช่นนี้เอาไว้เพื่อนางโดยเฉพาะ บางทีลูกพี่ลูกน้องชายและพี่ใหญ่อาจเข้าใจในการกระทำของท่านปู่ ต่างกับนางที่ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น

“น้องหญิงสี่”

มู่ชิงอีหันหน้ามาก็พบเข้ากับมู่เชินและมู่หลิงกำลังเดินเคียงข้างกันมา นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ พี่รอง เหตุใดพวกท่านถึงมาที่นี่กันเจ้าคะ”

มู่เชินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินทราบว่าน้องหญิงสี่มาถึงที่วัดแล้ว พี่ใหญ่กังวลว่าเจ้าจะมีเงินตำลึงใช้สอยไม่พอ ข้ากับพี่รองของเจ้าจึงนำมามอบให้เจ้า” ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังพวกเขาในมือถือสัมภาระอยู่จริงๆ มู่ชิงอีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองมู่เชินด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ลำบากท่านพี่ทั้งสองแล้ว ฝากคำขอบคุณถึงอนุซุนด้วยเจ้าค่ะ”

มู่หลิงมองดูรอยยิ้มของมู่ชิงอี พลันขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่สบายใจ แต่ก็ยังกล่าวอย่างใจเย็นว่า “น้องหญิงสี่เกรงใจเกินไปแล้ว แต่เป็นการดีที่น้องหญิงสี่จะจดจำความห่วงใยที่ท่านแม่มีต่อน้องหญิงสี่ได้”

“คงยากที่ชิงอีนั้น…จะลืมเลือนเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีกล่าวอย่างนิ่งสงบ แต่เมื่อมู่หลิงได้ยินด้วยหูของตน เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นแรง ขมวดคิ้วและมองไปยังหญิงสาวที่กำลังยิ้มแย้มข้างหน้าเขา ตั้งแต่อาการป่วยของมู่ชิงอีหายดี หยินและหยางของนางก็เริ่มแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เป็นบุรุษ มู่หลิงจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับมู่ชิงอีมากนัก แต่การพูดคุยติดต่อเพียงไม่กี่ครั้งกลับรู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย คงเป็นอย่างที่น้องหญิงสามบอก มุมมองของท่านพ่อที่มีต่อมู่ชิงอี ทุกวันนี้ดูราวกับว่าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยจริงๆ

มู่ชิงอีหันไปบอกจูเอ๋อร์ให้รับสิ่งของที่ทั้งสองคนนำมาส่ง ก่อนที่นางจะยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่กับพี่รองมาถึงที่นี่เพื่อมอบของให้ชิงอีเพียงเท่านั้นหรือ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้ผู้อื่นมาแทนก็ได้กระมัง”

มู่เชินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องหญิงสี่ เจ้าไม่เคยออกไปไหนมาไหนคนเดียว เช่นนั้นพี่ใหญ่จึงมาดูเจ้า ส่วนน้องรอง…บอกว่าจะมาเยี่ยมท่านเจ้าอาวาสฉือเอิน จึงได้มาด้วยกัน”

“มาเยี่ยมท่านเจ้าอาวาสฉือเอินอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” มู่ชิงอีกะพริบตา “ไม่คาดคิดเลยว่าพี่รองของข้าจะเชี่ยวชาญเรื่องธรรมะด้วย?”

มู่หลิงกล่าวอย่างเฉยเมย “น้องหญิงสี่ล้อเล่นแล้ว ท่านเจ้าอาวาสฉือเอินนั้นยอดเยี่ยมมาก ทุกวันนี้ท่านย่ารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย จึงให้ข้านำเทียบยามาให้ท่านเจ้าอาวาสช่วยตรวจดู”

“พี่รองช่างกตัญญูเสียจริงเจ้าค่ะ” มู่ชิงอีกล่าวอย่างแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม

มู่หลิงเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้ใกล้จะเริ่มมืดแล้ว ข้ายังอยากไปลองชิมอาหารเจของวัดเป้ากั๋วก่อน พี่ใหญ่ เหตุใดท่านกับข้าไม่พักอยู่ที่นี่สักหนึ่งคืนเล่า ถือว่าท่านอยู่เป็นเพื่อนน้องหญิงสี่เป็นอย่างไร”

มู่เชินตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่ามู่หลิงจะพูดเช่นนี้ ตอบกลับด้วยความเขินอาย “…ช่วงนี้มีกิจมากมายในกรมพิธีกรรม ข้าเกรงว่า…”

มู่ชิงอียกยิ้มขึ้นจางๆ บอก “พี่ใหญ่ก็ได้มาแล้ว ไม่ต้องฝืนใจไป ส่วนพี่รองพักที่นี่สักคืนก็ได้เจ้าค่ะ อาหารเจของวัดเป้ากั๋วนั้นสมคำล่ำลือจริงๆ”

[1]มู่อวี๋ อุปกรณ์ที่พระ แม่ชีใช้เคาะเวลาสวดมนต์ ทำจากไม้ แกะสลักลายเป็นรูปปลา