บทที่ 53 บ้านเก่าตระกูลกู้

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 53 บ้านเก่าตระกูลกู้

บทที่ 53 บ้านเก่าตระกูลกู้

กู้หนิงอันรู้สึกว่าตนเองนั้นถามมากไป เพราะเมื่อก่อนพี่สาวเคยพูดว่านางเห็นคนอื่นทำอยู่ในความฝันก็อดไม่ได้ที่จะเกาศีรษะไปมาอย่างเก้อเขินเล็กน้อย และเอ่ยต่อขึ้นมาว่า “ท่านพี่ ท่านสามารถเปิดร้านอาหารได้เลยนะ!”

เปิดร้านอาหาร? เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ฟัง หัวใจก็พลันเต้นแรง จากนั้นจึงนึกถึงทรัพย์สินในบ้านที่มีแค่ห้าร้อยตำลึง นางไม่ชำนาญการใช้ชีวิตในโลกที่แตกต่างนี้ และไม่รู้ว่าการเปิดร้านอาหารต้องทำอย่างไร คงต้องตะเกียกตะกายขึ้นจนมีฐานะปานกลางก่อนแล้วค่อยว่ากัน เรื่องเปิดร้านอาหารนั้นคงต้องเก็บไว้ รอให้นางจัดการเรื่องทั้งหมดให้เป็นหลักแหล่งก่อน

ทั้งสี่คนล้อมอยู่หน้าเตา กินอย่างสบายอกสบายใจ

เมื่อกินมาถึงช่วงสุดท้าย กู้หนิงผิงก็ยกถ้วยขึ้น พร้อมกับลูบท้องที่กลมป่องของตนพลางรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย “ท่านพี่ นี่มันช่างอร่อยจริง ๆ ข้ายังอยากกินอีก แต่ข้ากินไม่ไหวแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานมองดูท่าทางราวกับลิงของกู้หนิงผิงก็รู้สึกมีความสุข และเสนอความเห็นขึ้นมา “หนิงผิง หยุดกินได้แล้ว ระวังท้องของเจ้าจะแตกเอานะ หากเจ้าชอบกิน ตอนเย็นพี่ก็จะต้มให้พวกเจ้าดื่ม ดีหรือไม่?”

ภายในหม้อยังเหลือน้ำแกงปลาอยู่ครึ่งหม้อ และคงไม่เพียงพอสำหรับมื้อเย็นอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเสียปลาที่จับมาได้ก็ยังมีอยู่มาก ตอนเย็นก็ค่อยฆ่าอีกตัวหนึ่ง

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็เดินเข้ามาในลานบ้าน มองปลาจี้ที่คายดินทรายออกมาไม่น้อย พร้อมกับกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้เก็บพวกมันไว้ได้นานอีกสักนิด

อากาศในฤดูหนาวค่อนข้างหนาว อีกทั้งน้ำก็ไม่ได้ไหลอยู่ตลอดเวลา หากนำปลาใส่เอาไว้ พรุ่งนี้ก็คงจะเน่ากันทั้งหมด

กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิด เช่นนั้นก็ผึ่งแดดทำเป็นปลาแห้งเสียเลย ว่าแล้วก็ลงมือทำในทันใด

กู้เสี่ยวหวานเก็บปลาเอาไว้สองสามตัว ตั้งใจจะนำไปตุ๋นเป็นน้ำแกงปลาดื่มต่อ ส่วนที่เหลือนั้นก็จัดการชำระล้างให้สะอาดหมดจด และวางไว้ในอ่างไม้ ก่อนทาเกลือไว้หนึ่งชั้นบนปลาแต่ละตัว หลังจากทำเสร็จสิ้นทุกตัวแล้วถึงจะยกอ่างไม้เข้าไปไว้ในห้องใหญ่

การผึ่งแดดทำเป็นปลาแห้ง จะต้องใช้เกลือหมักไว้สองสามวันก่อน จากนั้นรอรสเกลือซึมเข้าไปในเนื้อโดยประมาณ ก็สามารถวางผึ่งแดดได้แล้ว

แม้ชาติที่แล้วกู้เสี่ยวหวานจะไม่เคยทำปลาตากแห้ง แต่ว่าในทุก ๆ ปี คุณแม่กู้ก็จะนำปลาไปผึ่งแดดบางส่วน

แม้การตากปลาแห้งและเนื้อแห้งจะเป็นที่นิยมมาก แต่ว่านี่คือช่วงเวลาสิ้นปี ไม่มีปลาแห้งเนื้อแห้งจะเรียกว่าสิ้นปีหรือ และจะมีบรรยากาศของสิ้นปีได้อย่างไร?

ดังนั้น กู้เสี่ยวหวานจึงอาศัยหยิบยืมความทรงจำในอดีตเหล่านี้มาลงมือทำ

รอจัดการปลาเกือบเสร็จทั้งหมดแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็จัดการกับเครื่องในปลาเหล่านั้น นำไส้ปลามาเฉือนออกพร้อมกับล้างให้สะอาด ทักษะที่คล่องแคล่วของกู้เสี่ยวหวานนั้น ทำให้เด็กทั้งสามได้แต่มองอย่างตกตะลึง

ไส้ปลา ตับปลา น้ำมันปลา กระเพาะปลา ล้วนนำมาชำระล้างให้สะอาดแล้ว ก็ได้เต็มถ้วยใหญ่หนึ่งถ้วยพอดี

หลังจากที่ยุ่งอยู่กับงานทั้งหมดเสร็จแล้วก็ชำระล้างให้สะอาดดังเดิม

กู้เสี่ยวหวานนวดลำคอที่ปวดเมื่อยเล็กน้อย ในที่สุดก็ทำงานใหญ่สำเร็จแล้ว!

“ท่านพี่ สิ่งของที่อยู่ในท้องปลาเหล่านี้ก็สามารถกินได้หรือ?” แม้กู้หนิงผิงรู้สึกว่าพวกมันถูกสวนล้างจนสะอาดแล้ว แต่ดูเหมือนกับว่ายังมีกลิ่นเหม็นหลงเหลืออยู่เล็กน้อย สิ่งของที่เหม็นขนาดนี้ จะสามารถกินได้จริง ๆ หรือ?

“แน่นอนว่าต้องกินได้สิ พี่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว” เมื่อเห็นสีหน้าไม่อยากจะเชื่อของเด็กทั้งสาม กู้เสี่ยวหวานจึงทำได้แค่เริ่มล้างสมองพวกเขาอีกครั้ง “เครื่องในปลาก็มีสารอาหารอยู่มาก เหมือนกับเครื่องในหมู เครื่องในวัว ทุกอย่างล้วนเหมือนกันหมดตรงที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก!”

ตอนนี้เด็กทั้งสามชื่นชมกู้เสี่ยวหวานยิ่งนัก นางพูดอะไรก็เป็นอย่างนั้น ต่อให้มันจะมีกลิ่นน่าสะอิดสะเอียน แต่ในเมื่อพี่สาวพูดว่ากินได้ เช่นนั้นก็คงต้องกินได้อย่างแน่นอน

กู้เสี่ยวหวานหว่านแหมาครึ่งวันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาบ้างแล้ว จึงพาพวกน้อง ๆ ไปพักผ่อนสักครู่หนึ่ง รอจนถึงตอนที่ลุกขึ้นมาก็น่าจะประมาณสี่โมงเย็น

เวลานี้ยังเร็วเกินไปสำหรับมื้อเย็น

กู้เสี่ยวหวานตั้งใจว่าจะถือโอกาสในตอนที่ฟ้ายังไม่มืดออกไปเดินรอบหนึ่ง เมื่อเด็กทั้งสามคนได้ยินว่าพี่สาวอยากจะออกไปเดินเล่น ทั้งหมดก็ลุกขึ้นมาอย่างฉับไว ชั่วครู่หนึ่งทั้งสี่คนก็แต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย กู้เสี่ยวหวานพูดไม่ออกเล็กน้อยเมื่อมองเสื้อผ้าบนร่างนางที่แยกไม่ออกว่าคือสีอะไร คิดว่าเมื่อผ่านไปอีกสองสามวันจะเข้าเมืองไปอีกรอบหนึ่งและนำเสื้อผ้าใหม่กลับมา ส่วนเสื้อผ้าเก่าเหล่านี้ ไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด อันไหนที่ควรทิ้งก็ทิ้งเถอะ

ตามสุภาษิตว่า เก่าไม่ไป ใหม่ไม่มา

มือข้างหนึ่งของกู้เสี่ยวหวานจูงมือกู้เสี่ยวอี้ให้เดินอยู่ตรงกลาง กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงเดินอยู่ทั้งสองด้าน เด็กทั้งสี่จับมือกัน และออกจากประตูไปอย่างมีความสุข

เมื่อออกมาจากบ้าน กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้เดินบนเส้นทางขึ้นเขาตามปกติ แต่เดินไปอีกด้านหนึ่ง เพราะด้านนั้นมีพวกชาวบ้านมารวมตัวกันเยอะพอสมควร

กู้เสี่ยวหวานเดินพลางมองสำรวจรอบด้านไปด้วย ใกล้จะสิ้นปีแล้วก็ไม่เห็นพวกชาวบ้านเหล่านั้นทำของแห้งตากแดดเตรียมฉลองวันสิ้นปีในบ้านเลย บางครั้งก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของเด็กเล็กดังออกมาจากประตู

ทั้งสี่คนเดินไปเรื่อย ๆ ทันใดนั้น กู้หนิงอันก็ชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งที่ดูเหมือนยังใช้ได้อยู่พลางเอ่ยกับกู้เสี่ยวหวานขึ้นมาว่า “ท่านพี่ นั่นคือบ้านที่พวกเราเคยอยู่เมื่อก่อน”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินก็รีบมองไปทางที่กู้หนิงอันชี้ แม้ว่าบ้านจะไม่ได้มีสภาพดีนัก แต่โดยพื้นฐานแล้วมีขนาดใหญ่มาก ตำแหน่งตรงกลางน่าจะเป็นตำแหน่งของห้อง ด้านข้างยังมีบ้านเล็กอีกสองหลัง ดูแล้วไม่เลวเลย

กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองกู้หนิงผิง พบว่ากู้หนิงผิงกำลังกำมือแน่น ดูเหมือนจะรู้สึกตื่นเต้นมาก กู้เสี่ยวหวานจึงรู้ว่าเดิมทีบ้านหลังนี้ก็มีส่วนของพวกเขาอยู่หนึ่งส่วน เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรโทษอาสามและอาสะใภ้สามที่ใจดำเกินไป หรือควรโทษท่านพ่อท่านแม่นางที่นิสัยอ่อนโยนเกินไปดี จึงไม่ได้รับอะไรกลับเลยสักนิด หนำซ้ำยังถูกไล่ออกจากบ้าน

กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าในใจกู้หนิงผิงนั้นคับข้องใจ เพียงแต่กู้เสี่ยวหวานในตอนนี้ไม่ใช่กู้เสี่ยวหวานในตอนนั้น เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทำได้แค่ดึงกู้หนิงผิงให้เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอ่ยขึ้นมา “หนิงผิง อย่ารู้สึกน้อยใจไปเลย ต่อจากนี้ไปข้าจะทำห้องให้เจ้าอยู่ดีกว่านี้เป็นพันเท่าหมื่นเท่า”

กู้หนิงผิงสูดหายใจเข้า พลางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ ข้าไม่ได้รู้สึกน้อยใจ ข้าแค่นึกถึงท่านพ่อกับท่านแม่”

ในตอนนั้น หากไม่เป็นเพราะกู้ฉวนฝูและภรรยาแบกภาระหนี้สินแทนอาสามและอาสะใภ้สามเอาไว้มากมาย ทางบ้านก็คงไม่ยากจนแร้นแค้นจนไม่มีข้าวปลาอาหารกิน และหากไม่ใช่เพราะยากจนถึงกระทั่งไม่มีข้าวปลาอาหารจะกิน ท่านพ่อกับท่านแม่ก็จะไม่ออกไปหาปลา หากไม่ไปจับปลา ท่านพ่อกับท่านแม่ก็จะไม่ตาย

เขาเกลียดมาก เขาเกลียดอาสามและอาสะใภ้สามที่ใจดำ ตอนนั้นท่านพ่อกับท่านแม่ไปสู่ขอภรรยาให้อาสาม แบกภาระหนี้สินเอาไว้มากมาย แต่อาสามกับอาสะใภ้สามกลับไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด และยังขับไล่พวกเขาทั้งครอบครัวออกไปโดยไม่พูดอะไร อีกทั้งสิ่งของก็ไม่ให้เลยสักนิด

เมล็ดพันธุ์ความแค้นในใจกู้หนิงผิงได้งอกขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะอาสามกับอาสะใภ้สามล่ะก็ พวกเขาก็จะไม่ขาดท่านพ่อและท่านแม่ตั้งแต่เล็กหรอก

กู้เสี่ยวหวานไร้การตอบกลับ หากบอกว่าในใจนางไม่เกลียดเลย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ก็ตายไปแล้ว เกลียดแล้วจะเป็นอย่างไร! เรื่องนี้ จะไม่โทษอาสามกับอาสะใภ้สามก็ได้ แต่บอกได้เพียงว่าท่านพ่อกับท่านแม่ของนางนั้นมีจิตใจที่อ่อนโยนเป็นพ่อพระแม่พระมากเกินไป สุภาษิตกล่าวว่า มนุษย์ไม่ได้ถูกฟ้าดินลงโทษแต่โดนตัวเองลงโทษ จะเป็นการดีกว่าที่ท่านพ่อท่านแม่ของนางสละชีพของตัวเองเพื่อผู้อื่น

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

จงมีชีวิตให้ดีกว่าอาสามอาสะใภ้สามเพื่อเป็นการแก้แค้นนะคะ กับคนที่เกลียด ต้องทำให้ตัวเองดีกว่าเพื่อเป็นการแก้แค้นค่ะ

ไหหม่า(海馬)