เมฆหมอกสีดำทะมึนก่อตัวกันกลายเป็นรูปร่าง

ไม่สิ สถานการณ์เบื้องหน้านี้ไม่สามารถอธิบายได้อย่างง่ายๆเช่นนั้น

ทันทีที่มันเริ่มก่อเป็นรูปทรงขึ้นมา สิ่งแรกที่สามารถสังเกตเห็นได้ก็คือ เงาของผู้หญิงหลายคน

มีเพียงโปรเฟตะเท่านั้นที่สามารถจำรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงเหล่านั้นได้ พวกเธอคือแม่มด(เซนต์)ของยุคสมัยก่อนๆ ปะติดปะต่อกันจนกลายเป็นร่างสูงใหญ่ขึ้นมา

ตัวตนนั้นคือมนุษย์ยักษ์สีดำสนิท ตัวสูงทัดเทียมเมฆ

ร่างกายของมัน ขา แขน ลำตัว และศีรษะ ล้วนสร้างขึ้นโดยใช้เง่ของแม่มดเหล่านั้นเป็นฐาน เป็นตัวตนที่น่าสยดสยองไม่น่าดู

รยางค์จำนวนมากงอกออกมาจากหลังของมัน และบนปลายรยางค์นั้นก็คือใบหน้าของแม่มด ดูไปก็ทำให้คิดถึงผีคอยาว

ดวงตาของแม่มดแต่ละนางเปิดออก นัยน์ตากะพริบสลับสีขาวดำ น้ำตาสีแดงดั่งเลือดพรั่งพรูออกมา

ในจำนวนแม่มดเหล่านั้นเองก็มีใบหน้าของอเล็กเซียซึ่งถูกปราบไปเมื่อไม่กี่วันก่อนรวมอยู่ด้วย

“…ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ท่านแม่”

อัลเฟรียมองไปยังใบหน้าที่ใหญ่ที่สุด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหลังของเธอ

ใบหน้าที่ใหญ่ที่สุดนั้นฝังรากอยู่ที่กลางอกของเจ้ายักษ์ แค่ขนาดใบหน้าก็เทียบได้กับปราสาททั้งหลัง

เป็นใบหน้าของหญิงสาวหน้าตาดี แต่ทั้งแววตาและสีหน้านั้นกลับเย็นเยียบ

นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของแม่มดคนแรก อีฟ ซึ่งมีเพียงอัลเฟรียและโปรเฟตะซึ่งมาจากยุคสมัยเดียวกันที่สามารถจำได้

“นั่นไม่ใช่อีฟ เป็นแค่เศษเสี้ยวที่เหลือของเธอเท่านั้น”

“…นั่นสินะ”

ทั้งๆที่นี่สมควรจะเป็นการเจอกันครั้งแรกในรอบพันปีระหว่างแม่ลูก แต่ทางฝั่งแม่นั้นไม่มีวิญญาณหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

ตัวตนตรงหน้านั้นเป็นเพียงกลุ่มก้อนของความรู้สึกด้านลบและพลังเวทย์ที่รวบรวมมาจากแม่มดรุ่นสู่รุ่น

สติสัมปชัญญะของแม่มดเหล่านั้นไม่มีเหลือ จะตอบสนองต่อความรู้สึกด้านลบเพียงเท่านั้น เป็นตัวตนที่ก่อร่างขึ้นจากความเป็น”แม่มด”ที่แท้จริง

“เกลียด”

“น่าอิจฉา”

“จะสาปแช่งแก”

“ยกโทษให้ไม่ได้”

เหล่าแม่มดเริ่มพ่นคำสบถออกมาจากปากของพวกมัน

นี่ไม่ใช่คำพูดซึ่งมาจากความคิดของแม่มดแต่ละคน

ต้องบอกว่าเป็นความรู้สึกด้านลบที่รวบรวมมากจากผู้คนในโลกน่าจะถูกกว่า

จู่ๆใบหน้าหนึ่งของแม่มดก็พูดออกมาด้วยเสียงของผู้ชาย

“ถ้าแค่ไม่มีฮานส์อยู่ล่ะก็ ข้าคงจะได้กลายเป็นหัวหน้ากองคนถัดไปแล้วแท้ๆ อาา…ถ้าแค่ไม่มีมันอยู่ล่ะก็… จะฆ่าตัวตายหรืออุบัติเหตุก็ได้ ช่วยตายๆไปสักทีได้มั้ยเนี่ย?”

คนส่วนมากไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทหารนายหนึ่งกลับหน้าซีด

“นะ…นั่นมัน…เสียงของข้า…?”

“…แบรี่ นี่แกคิดอย่างนี้กับข้าเองรึ…”

“ไม่ ไม่ใช่นะ! นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด!”

นั่นคือเสียงจากจิตใจของนายทหารที่ชื่อแบรี่อย่างนั้นหรือ?

ทหารอีกคนที่ชื่อฮานส์ดูจะตกใจมากที่รู้ว่าเพื่อนของตนคิดอย่างนี้กับตัวเอง

ต่อไปเป็นเสียงของฮานส์ที่ลอยออกมาจากปากของแม่มด

“ไอ้เวรแบรี่… ทั้งๆที่ด้อยกว่าข้าในทุกๆด้านแท้ๆ ชอบทำตัวเหมือนเราอยู่ในระดับเดียวกัน ตามข้าไปไหนมาไหนตลอด น่ารำคาญเป็นบ้า”

แบรี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมาซัดกับฮานส์ ซึ่งฮานส์เองก็สวนกลับไป

“ไอ้สารเลว!”

“อะไรวะ! อยากสู้รึไง?!”

“หยุดนะ! นี่ไม่ใช่เวลาจะมาทะเลาะกันเองนะ!”

ทั้งๆที่มีศัตรูตรงหน้า แต่ทหารทั้งสองนายก็เริ่มสู้กันเอง

ในขณะที่ทหารอีกนายหนึ่งพยายามที่จะปรามทั้งสองคน เสียงอื่นๆมากมายก็ดังออกมาจากปากของเหล่าแม่มด

“ลิลี่นี่เป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ ดีเกินไปสำหรับคนอย่างริค ถ้าจับจุดอ่อนของเธอได้ล่ะก็…ขอแค่ได้ลิ้มลองเธอสักครั้ง เธอก็จะตกเป็นของข้า”

“ถ้าแค่ไม่มีเลย์ล่าซังอยู่ล่ะก็ …ท่านพ่อก็คงจะได้กลายไปองครักษ์ส่วนตัวไปแล้ว”

“เป็นความผิดของท่านเอลริสที่เวอร์เนลไม่ยอมหันมามองชั้นเลย…”

“ถ้าแค่เวอร์เนลไม่ได้เกิดมาล่ะก็ ท่านเอลริสก็คงไม่ต้องมาตาย”

“เราเป็นถึงเซนต์คนแรกเชียวนะ ชมเราอีกสิ! สรรเสริญเราให้มากกว่านี้หน่อย!”

“ทุกครั้งที่เห็นท่านเอลริสในคริสตัล… หุหุ… อาจจะฟังดูสกปรกนะครับแต่ว่า… ผลน่ะ…ของขึ้นเลย…”(*ล้อคิระ โยชิคาเงะจากโจโจ้ภาค 4)

“โลกที่ไม่มีท่านเอลริสนี่ ถึงถูกทำลายไปก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

คำพูดในใจของผู้คนมากมายถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของแม่มด

ทหารที่ได้ยินเช่นนี้ บางคนก็เบือนหน้าหนี บางคนก็พยายามที่จะอุดหูของตนเอาไว้

นี่คือความลับดำมืดในจิตใจที่พวกเขาต้องการที่จะปฏิเสธ

ไม่ต้องการที่จะได้ยิน ไม่ต้องการที่จะรับรู้

แม่มดพยายามที่จะเปิดโปงความลับเหล่านั้นออกมา

“อัลเฟรีย!”

“รู้แล้วน่า! เจ้า…สัตว์ประหลาดตัวนั้นนี่มีรสนิยมที่แย่จริงๆ”

ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ล่ะก็ ขวัญกำลังใจของพวกทหารนี่คงไม่เหลือแน่

โปรเฟตะส่งสัญญาณให้อัลเฟรียโจมตีด้วยกระสุนพลังเวทย์ที่รวมรวมมาถึงตอนนี้

มันคือกระสุนเวทย์ความมืดที่มีเพียงเซนต์หรือแม่มดเท่านั้นที่จะใช้ได้ กระสุนมีสีดำสนิทเนื่องจากความทึบที่แสงไม่อาจไหลผ่าน

กระสุนพุ่งเข้าใส่ใจกลางของ”แม่มด”ส่งผลให้รูปร่างของมันบิดเบี้ยวไป

แต่ถึงจะถูกโจมตีจนเป็นรู “แม่มด”ก็ไม่สะทกสะท้านสักนิด แถมรูนั้นก็ค่อยๆซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาอีก

“อุแหงะ ไม่ได้ผลเลยอ่ะ…ทั้งๆที่เราใส่สุดแรงแล้วนะ”

อัลเฟรียนำกลีบดอกแองเจโล่ขึ้นมา นี่คือกลีบจากดอกไม้ที่เคยใช้ประดับศีรษะของเอลริส และยังเป็นแหล่งพลังเวทย์สำรองที่สามารถดึงมาใช้ได้

เธอเปิดการต่อสู้ด้วยการโจมตีเต็มแรง แต่กลับไม่ได้ผลอะไรเลย

และถ้าอัลเฟรียในสภาพเต็มกำลังยังไม่เพียงพอล่ะก็…ในโลกนี้ก็คงยากจะหาใครที่สามารถต่อกรกับมันได้

“ทำไมถึงมีแค่ข้าที่ต้องเจ็บปวด”

“ทุกคนเองก็ต้องมาเจ็บด้วยกันสิ”

“ไม่ยกโทษให้โลกที่ปล่อยให้ข้าต้องเจ็บปวดอยู่คนเดียวหรอก”

“ทุกอย่างต้องสูญสิ้น”

“แม่มด”เอ่ยความตั้งใจของมันออกมา ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปโดยเพิกเฉยพวกอัลเฟรีย

เพียงแค่มันเดิน ทหารทุกนายในเส้นทางของมันก็ปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว

ไม่มีใครที่สามารถทำให้มันช้าลงได้เลย

“อย่าปล่อยให้มันเข้าเมืองได้! โจมตี โจมตีมันเลย!”

เวทมนตร์และห่าฝนลูกธนูถูกยิงเข้าใส่เจ้ายักษ์ตามคำสั่งของราชาไอส์

แต่ก็ไม่เป็นผล

การโจมตีเหล่านั้นทะลุผ่านร่างของมันไป

ใบหน้าของอเล็กเซียโผล่ออกมาจากหลังของมัน จับจ้องไปยังไอส์

“เจ้าคนทรยศ ทั้งๆที่ข้าพยายามถึงขนาดนั้นแท้ๆ เจ้ากลับหักหลังข้า ยกโทษให้ไม่ได้ ยกโทษให้ไม่ได้…”

“อ…อเล็กเซีย”

ไอส์แบกรับความรู้สึกผิดนี้มาตลอด

ยิ่งมาเจอการกล่าวโทษโดยตรงจากอเล็กเซีย ทำเอาเขาก้าวขาไม่ออก

เพลิงสีดำถูกปล่อยออกมาจากใบหน้านั้น และยิงเข้าใส่จุดที่ไอส์อยู่ ส่งผลให้เกิดแรงระเบิดที่ส่งตัวเขาปลิวไป

เขากระแทกเข้ากับกำแพงร้องโอดโอย

“นี่ กลับมานะ! จะไปไหนน่ะ!?”

“…นี่มันแย่แล้ว”

“แค่เห็นก็รู้แล้วน่า! ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ล่ะก็ เมืองได้ราบเป็นหน้ากลองแน่!”

“ไม่ใช่ ไม่สิ ก็ถูกอยู่ แต่ว่า…จุดหมายของเจ้าสิ่งนั้นน่ะคือโบสถ์ ถึงแม้มันจะไม่มีสติอยู่…แต่ดูเหมือนว่าจะรู้ได้ว่าสิ่งใดที่เป็นภัยกับมันโดยสัญชาตญาณ”

โปรเฟตะก้าวอย่างช้าๆ พร้อมอธิบายจุดประสงค์ของแม่มด

ถึงแม้จะเป็นเต่ายักษ์ มันก็ยังเป็นแค่เต่าอยู่วันยังค่ำ จะตามให้ทันได้นี่ไม่มีทางเลย

เต่าที่วิ่งได้เร็วกว่าคนปกติก็มีอยู่ แต่โปรเฟตะน่ะเป็นสายพันธุ์ที่เชื่องช้านะ

“เจ้าสิ่งนั้นน่ะคือการรวมตัวของความรู้สึกด้านลบ ซึ่งก็แปลว่ามันเกลียดความรู้สึกด้านบวกเป็นที่สุด…ถ้าจะให้พูดก็คือ ในยุคสมัยนี้น่ะ มีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมกับคำว่า สัญลักษณ์แห่งความหวัง”

“…เราเหรอ?”

ไม่รู้อัลเฟรียไปเอาความมั่นหน้านี้มาจากไหน เลยโดนโปรเฟตะเตะไปหนึ่งที

“เอลริสยังไงล่ะ ถึงเธอจะตายไปแล้ว เด็กคนนั้นก็ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนอยู่ จนถึงตอนนี้ ก็ยังมีคนนับไม่ถ้วยที่พากันมาเคารพและภาวนาให้กับเธอ ลองคิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคริสตัลที่เก็บศพของเธอไว้ถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตาประชาชนน่ะ…ความรู้สึกด้านลบจะแผ่กระจายไปทั่ว และเจ้านั่นก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก”

ถ้าคิดถึงความสามารถในการต่อสู้ล่ะก็ เอลริสนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถต่อกรกับ”แม่มด”ได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวเอลริสเองนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ความหวัง และแสงสว่าง ถึงแม้เธอจะจากไปแล้ว ตัวตนของเธอในจิตใจของผู้คนก็ยังคงป้องกันไม่ให้พวกเขาตกลงสู่ความสิ้นหวัง

การทำลายสัญลักษณ์นี้และย้อมโลกใบนี้ด้วยความสิ้นหวัง จะเสริมพลังให้มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก นี่จึงเป็นจุดมุ่งหมายหลักของมันในตอนนี้

“ท่านอัลเฟรียคะ!”

“เอเทอร์น่าจัง! ได้จังหวะเลย!”

พวกเวอร์เนลและผองเพื่อนตามมาสมทบบนหลังม้า

โดยปกติแล้ว การมาถึงของเซนต์ที่แท้จริงนั้นจะนำมาซึ่งความหวังใหญ่

ยิ่งรวมกับอัลเฟรียด้วยแล้ว ต้องบอกว่าพวกเธอในตอนนี้เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าขุมกำลังใดๆในประวัติศาสตร์มนุษยชาติกว่าพันปี ไม่นับรวมเอลริส

แต่ศัตรูของพวกเธอก็ยังเป็นศูนย์รวมพลังเวทย์จากแม่มดทั้งหลายมานานกว่าพันปี

โดยปกติแล้วจะต้องใช้เวลาประมาณสิบห้าปีกว่าเซนต์จะโตพอจนสามารถจัดการแม่มดได้ และใช้อีกห้าปีหากเซนต์คนนั้นพยายามที่จะต่อต้าน จนกระทั่งตกลงสู่ความบ้าคลั่งในที่สุด เอาเป็นว่าโดยเฉลี่ยแล้วแม่มดคนหนึ่งจะต้องทนทรมาณไปกว่า 20 ปี

หรือก็คือ”แม่มด”เบื้องหน้านี้เป็นศูนย์รวมพลังของแม่มดกว่าห้าสิบคน

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ตัวเลขที่ชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น…

ก็ยังเป็นการต่อสู้ระหว่างเซนต์แค่สองคน…แม่มดกว่าห้าสิบตน ไม่มีทางที่จะสู้ได้เลย

ถ้าจะมีใครที่มีโอกาสชนะหากต้องสู้กับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ ก็คงมีเพียงเอลริสเท่านั้น

“เจ้านั่นกำลังมุ่งตรงไปทางโบสถ์เพื่อทำลายศพของเอลริส!”

“…!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความโกรธของเวอร์เนลก็พุ่งทะลุหลอดในทันที

เขากระโดดลงจากหลังมา ในมือถือดาบที่ได้รับจากเอลริส และพุ่งเข้าฟัน”แม่มด”

แต่ถึงกระนั้น ดาบนั้นก็ทะลุผ่านตัวของันไป ในขณะที่หมัดสวนกลับมาโดนเวอร์เนลเข้าเต็มๆ

ร่างกายที่ฝึกมาอย่างดีของเวอร์เนลถูกส่งปลิวไปเหมือนกิ่งไม้โดนลมพัด ลอยผ่านอาคารต่างๆและหายไปจากสายตา

“อะ อะไรล่ะนั่น! โกงกันชัดๆเลย! จะมีตัวตนหรือไม่มีก็เอาสักอย่างสิ! ทำไมถึงตีมันไม่โดนแต่มันตีพวกเราได้ล่ะ!?”

“ใจเย็นๆอัลเฟรีย! มันก็แค่ควบแน่นสร้างร่างออกมาเฉพาะตอนที่จะโจมตีเท่านั้นล่ะ”

ถึงเวอร์เนลจะแพ้ในทันที แต่นั่นก็ทำให้ได้ข้อมูลที่สำคัญมา

ถ้าโจมตีมันในตอนที่มันกำลังโจมตี ก็จะสร้างความเสียหายได้

“เล็งตอนที่มันกำลังโจมตีซะ!”

“เข้าใจล่ะ… งั้นก็ต้องเอาให้ตรงจังหวะสินะ เอเทอร์น่าจัง จับจังหวะเราให้ดีๆล่ะ!”

“ค่ะ!”

อัลเฟรียและเอเทอร์น่ารีดพลังเวทย์ที่มีทั้งหมดและเตรียมการโจมตี

แมรี่และไอน่าเสริมพลังด้วยเวทย์ไฟและน้ำแข็ง จอห์นและครั๊นช์ไบท์ออกไปเป็นตัวล่อ ในขณะที่ฟิโอร่าคอยสนับสนุนจากด้านหลัง

ในจังหวะที่”แม่มด”เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ นี่เป็นจังหวะที่จะพลาดไม่ได้

“ตอนนี้ล่ะ!”

เมื่อได้ยินโปรเฟตะตะโกนส่งสัญญาณ ทั้งเอเทอร์น่าและอัลเฟรียก็โจมตีเข้าใส่สุดแรงเกิด

นี่รวมทั้งการโจมตีจากไอน่าและแมรี่ รวมไปถึงทหารและอัศวินทั้งหลาย

รอบนี้การโจมตีไม่ได้ทะลุผ่านไปแต่กระแทกใส่”แม่มด”เข้าอย่างจัง ส่งผลให้มันระเบิดออก

อัลเฟรียที่เห็นเช่นนั้นก็ดีใจยกใหญ่

“เยี่ยม! สำเร็จแล้ว!”

นี่เป็นการโจมตีที่ผสานพลังของเซนต์สองคนและเวทมนตร์จากทหารอีกนับไม่ถ้วน

หากเป็นแม่มดล่ะก็ โดนเข้าไปยังไงก็ไม่มีทางรอด

ถ้านั่นเป็นแม่มดเพียงคนเดียวน่ะนะ…

จะลืมไม่ได้เด็ดขาด ว่าตัวตนตรงหน้านี้คือการคงอยู่ที่สร้างขึ้นมาจากประวัติศาสตร์ดำมืดของโลก

เมื่อควันจางหายไป…”แม่มด”ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าบนตัวหายไปสองหรือสามหน้า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กำลังของมันลดลงไป

“…ไม่ไหวหรอก”

อัลเฟรียพึมพำอย่างไร้เรี่ยวแรง นี่เป็นระดับที่ต่างจากสิ่งใดที่เธอเคยเจอมันจนขำไม่ออก

ถึงแม้เสียงของเธอจะไม่ดังมาก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคนที่ได้ยินไม่น้อยเลย

ถ้าจะให้พูด ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้อีกแล้ว

อัลเฟรียและเอเทอร์น่า เซนต์คนแรกและคนปัจจุบัน การร่วมมือกันของเซนต์ทั้งสอง…สามารถเรียกได้ว่าเป็นขุมกำลังที่ไร้เทียมทานปากเป็นในอดีต แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ กระทั่งสิ่งนั้นก็ยังไม่อาจต้านทานไหว

ยิ่งกว่านั้นเจ้ายักษ์มันยังค่อยๆฟื้นฟูตัวเอง ความหวังของพวกเขาแทบจะไม่เหลืออีกแล้ว

เพียงการโจมตีครั้งเดียว เจ้ายักษ์ก็ส่งปาร์ตี้ของพวกอัลเฟรียกระเด็นออกไป

“อุก ระ…รอก่อน ผมจะไม่ให้แก…เข้าใกล้ท่านเอลริสได้เด็ดขาด…”

เวอร์เนลตะเกียกตะกายออกมาจากซากตึก แต่”แม่มด”ก็ไม่แม้แต่จะสนใจเขา ทำเพียงเดินจากไปเท่านั้น

ภัยอันตรายต่อพวกมันนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ก็คือเอลริส

คนอื่นๆนั้นก็ไม่ต่างจากไรฝุ่น

จะเป็นความกล้าของอัลเฟรียและโปรเฟตะ ความมุ่งมั่นของเวอร์เนล และความเสียสละของทหารทั้งหลาย สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยอะไรในการต่อกรกับ”แม่มด”เลย

ทันใดนั้น พื้นดินด้านหน้าก็ยกสูงขึ้น ก่อรูปร่างสร้างเป็นภูเขาขนาดใหญ่ไม่แพ้ยักษ์ตนนั้น

เวทมนตร์ธาตุดินอย่างนั้นรึ? นั่นมันใหญ่เกินไปแล้ว

คนที่มีพลังเวทย์เพียงพอถึงจะใช้เวทย์ระดับนี้ได้มีแค่เซนต์เท่านั้น

ในความจริงนั้น ผู้ที่ใช้เวทย์นี้ไม่ใช่เซนต์ เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆที่เคารพรักเซนต์ตัวปลอมอย่างสุดหัวใจ

“คิดจะไปไหนรึ?”

ที่ยอดเขานั้นคือซัปเปิ้ล เมนต์ ผู้เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทดลองของตนตั้งแต่เอลริสจากไป

มือของเขากางออก รอยยิ้มบนใบหน้านั้นบิดเบี้ยว

ภูเขานั้นแตกออก และยักษ์หินผาขนาดใหญ่…โกเลมก็โผล่ร่างออกมา

คนคนนี้ไปเอาพลังเวทย์มาจากไหนตั้งมากมาย?

เขาในตอนนี้นั้นแข็งแกร่งไม่แพ้เซนต์อย่างเอเทอร์น่าหรืออัลเฟรียเลย

“…”

“หึหึหึ… คงจะคิดสินะ ว่ากระผมไปได้พลังถึงขนาดนี้มาได้อย่างไร? กระผมก็เพียงทำเช่นเดียวกับเจ้า โคจะและไหลเวียนพลังเวทย์เข้าออกเพื่อเพิ่มพูนภาชนะบรรจุพลังเวทย์ในร่างกาย”

ซัปเปิ้ลโม้เหม็นความสำเร็จของตนใส่หน้า”แม่มด”

ที่เขาทำก็แค่โคจรพลังเวทย์…ฟังดูเป็นเรื่องง่าย ในทางทฤษฎี ไม่ว่าใครก็สามารถทำเช่นเดียวยกับเขาได้

เอลริสที่ไม่ใช่ทั้งเซนต์หรือแม่มดเองก็สามารถสร้างปาฏิหาริย์เหล่านั้นได้ด้วยวิธีนี้

แต่ถึงแม้มันจะเป็นไปได้สำหรับทุกๆคน คนที่สามารถทำมันได้จริงๆนั้นมีอยู่น้อยนิด

การกระทำเช่นนั้นจะเป็นการซึมซับความรู้สึกด้านลบจากภายนอกเข้ามาในจิตใจ ย้อมหัวใจของผู้ใช้ให้กลายเป็นสีดำ

นี่เป็นสิ่งที่กระทั่งแม่มดคนแรก อีฟ ก็ยังไม่อาจต้านทานได้

บุคคลในประวัติศาสตร์ทั้งหลายที่มีอาการเดียวกับอีฟนั้น…ล้วนกลายเป็นวายร้ายไปเสียหมด

“ซัปเปิ้ลเซนเซย์…ได้ยังไง…?”

“เป็นเรื่องง่ายๆเท่านั้นล่ะเอเทอร์น่าคุง ตั้งแต่ความตายของท่านเอลริส กระผมก็มุ่งหวังที่จะชุบชีวิตเธอขึ้นมาเช่นเดียวกันในครั้งที่เธอชุบชีวิตเวอร์เนลคุง…หากกระผมสามารถใช้เวทมนตร์เดียวกันกับเธอได้ ก็มีโอกาสที่จะสามารถนำเธอกลับมาได้ แต่คนธรรมดาขาดซึ่งพลังเวทย์ที่จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์เช่นนั้น ถ้าอย่างนั้น คำตอบก็มีอยู่หนึ่งเดียว…กระผมก็เพียงแค่ต้องเพิ่มปริมาณพลังเวทย์ในตัวเอง เท่านั้นก็สิ้นเรื่อง”

ในช่วงเวลาที่เอลริสจากไป สิ่งที่อยู่ในหัวของชายคนนี้ไม่ใช่ความสิ้นหวัง แต่เป็นความคิดที่จะนำเธอกลับมาให้ได้

คำตอบที่เขาได้ออกมาก็คือการลอกเลียนแบบเวทมนตร์ที่เธอใช้ในการชุบชีวิตเวอร์เนลในตอนนั้น

ร่างกายของเอลริสถูกผนึกไว้ในคริสตัลทันทีหลังจากที่เธอตาย

ซัปเปิ้ลจึงคิดว่า มีโอกาสอยู่ที่เขาจะสามารถนำเธอกลับมายังภพนี้ได้

ที่เขาขอให้อัลเฟรียผนึกร่างของเธอไว้นั้นไม่ใช่เพื่อจะสืบทอดร่างนี้ต่อไปยังชนรุ่นหลัง แต่เป็นการกักสภาพไม่ให้ศพเน่าเปื่อยก่อนที่จะสามารถชุบชีวิตเธอขึ้นมาได้ต่างหาก

การจะฟื้นคนตายกลับมานั้นไม่ใช่สิ่งที่พลังเวทย์ธรรมดาๆจะสามารถทำได้

ซัปเปิ้ลจึงเสาะหาพลังเวทย์

“ตะ แต่ว่า…คนปกติไม่น่าจะทนได้…”

“ใช่แล้ว กระผมเองก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกดำมืดมากมายถาโถมเข้ามาราวกับพยายามที่จะกดดันกระผมจนตาย แน่นอนว่าในฐานะของผู้ฝึกสอนเอง กระผมก็รู้ถึงผลกระทบนี้ดี แต่ว่า…แล้วจะทำไมกันล่ะ! กะอีแค่ความรู้สึกด้านลบของคนเป็นพันเป็นหมื่น ต่อให้กระผมจะโดนสาปแช่งโดยมนุษยชาติทั้งหมดทั้งมวล สุดท้ายแล้วจำนวนของคนเหล่านั้นก็ยังมีขีดจำกัด ของแค่นั้น…จะมาสู้ความรักไร้ขีดจำกัดที่กระผมมีให้แก่ท่านเอลริสได้อย่างไร!”

ซัปเปิ้ลตอบคำถามของโปรเฟตะด้วยคำตอบที่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่เข้าใจได้

จิตใจของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อเอลริส ไม่ว่าจะพยายามย้อมมันด้วยความมืดเท่าไรก็ไร้ความหมาย

จะย้อมหัวใจที่ดำมิดมาตั้งแต่แรกด้วยสีดำได้ยังไงกันล่ะ?

“แม่มด”และโกเลมเข้าปะทะกัน

แขนของโกเลมพังทลายลง ในขณะที่แขนของแม่มดเองก็ได้รับความเสียหาย

ในตอนที่แม่มดพยายามที่จะฟื้นฟูความเสียหายนั้น แขนของโกเลมก็งอกกลับมาใหม่

“ไม่ได้ผลหรอกน่า แม่มดเอ๋ย! ถึงแม้เจ้าจะฟื้นฟูตนเองได้ โกเลมของกระผมเองก็สามารถซ่อมแซมตนเองได้เช่นเดียวกัน! คิดว่าเจ้าเป็นอมตะเช่นนั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นเวทมนตร์ของกระผมเองก็เป็นนิรันดร์!”

ซัปเปิ้ลยิ้มอย่างลำพองใจ ในขณะที่”แม่มด”และโกเลมสู้กันต่อ

หาก”แม่มด”ฟื้นตัว โกเลมก็จะงอกกลับมา

หากส่วนไหนของโกเลมกระจัดกระจายออกไป มันก็จะดูดพื้นดินขึ้นมาแทนที่

นี่เป็นศึกยักษ์ชนยักษ์ที่สูสีไม่เบา

“จงก้มหัวให้กับความยิ่งใหญ่ของเซนต์ที่แท้จริงซะ เจ้าของปลอม ตัวเจ้าก็เป็นเพียงพวกชั้นสองที่กระทั่งผ่านมาตั้งพันปีก็ไม่อาจเทียบกับเซนต์ที่แท้จริงเพียงคนเดียวได้”

หากใครได้ฟังก็คงรู้สึกตะหงิดๆ

เขาประกาศว่าเอลริสนั้นเป็นตัวจริงในขณะที่เซนต์และแม่มดคนอื่นๆนั้นเป็นตัวปลอม

เขารู้ถึงความเป็นจริงนั้นดี

ตามทฤษฎีแล้ว เอลริสนั้นสมควรจะที่จะเป็นเซนต์ตัวปลอม

ถึงกระนั้น ความศรัทธาที่เขามีนั้นก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ไม่สิ ต้องบอกว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ความเชื่อของเขาถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นความศรัทธาที่แท้จริง

แค่เด็กสาวธรรมดา!

เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเซนต์ กลับสามารถทำในสิ่งที่เซนต์ทุกคนในอดีตไม่อาจทำได้

เมื่อเขารับรู้ถึงเรื่องนั้น ความเคารพรักในตัวเอลริสที่เขานึกว่าถึงจุดสูงสุดไปแล้วกลับลอยขึ้นไปอีกจนถึงอวกาศ

อา ท่านผู้นี้—ก้าวข้ามอุดมคติใดๆที่เขาเคยมีมาอย่างแท้จริง

เขาได้พบเห็นจุดสูงสุดของความสูงส่ง ความดีงาม ความบริสุทธิ์ที่มนุษย์สามารถไปถึงได้

นี่เป็นเส้นทางที่มนุษย์คนหนึ่งเลือกเดิน ไม่มีเจตจำนงค์ของโลกหรือโชคชะตาใดๆ ไม่มีตำแหน่งเซนต์จอมปลอมที่โลกให้มา

ด้วยตัวเอง คนคนหนึ่งสามารถไปถึงจุดที่อยู่เหนือจินตนาการของผู้ใด ตราบเท่าที่หัวใจยึดมั่นในความยุติธรรมและจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน ความเป็นไปได้ของมนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด!

มนุษยชาติทรยศอเล็กเซียรึ? แล้วยังไงล่ะ?

เอลริสเองก็โดนทรยศเหมือนกัน แต่เธอยังไม่เห็นจมดิ่งสู่ความสิ้นหวังเลย กระทั่งช่วยเหลือคนที่ทรยศเธอด้วยซ้ำ

ต่อหน้าความดีงามนั้น คำสาปแช่งใดๆจากปากแม่มดก็ไม่ต่างจากผายลม

ตกลงสู่ความบ้าคลั่งเพราะดูดซับความรู้สึกด้านลบเข้าไป? แล้วยังไงล่ะ?

ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเอลริสต้องทนทรมาณมามากแค่ไหนจนมาถึงระดับพลังที่เธอมีได้

ถ้าหากเด็กสาวธรรมดาอย่างเอลริสสามารถทนได้ พวกเซนต์ก็ควรที่จะทนได้

แต่ถ้าไม่ได้…ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็ไม่ใช่เซนต์ตัวจริง

นี่คือข้อสรุปที่ซัปเปิ้ลได้มา

ซัปเปิ้ลได้ค้นพบความจริง สิ่งที่เอลริสทำนั้นไม่ใช่ปาฏิหาริย์ เป็นเพียงผลลัพท์จากความพยายามของมนุษย์

เขาได้เห็นความล้ำเลิศที่แท้จริงของมนุษย์ด้วยตาของตนเอง ความรักที่เขามีต่อเอลริสพุ่งทะยาน ผลักดันให้เขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“สุดท้ายแล้วเจ้าก็เป็นแค่ของปลอมที่ไม่อาจทนรับความชั่วร้ายของโลกนี้ได้ ของอย่างเจ้าจะเอามาเทียบกับเซนต์ผู้สูงส่งหนึ่งเดียวของกระผมได้อย่างไรกัน!”

คำพูดของเขาเหมือนจะปักธงปะไรบางอย่าง แต่ตัวซัปเปิ้ลเองดูจะยังไม่รู้ตัว

ถ้ามีใครช่วยบอกให้เขาหุบปากได้ก็คงจะดี น่าเสียดายที่คอนเซ็ปต์ของการ”ปักธง”ในโลกนี้ยังไม่แพร่หลายมากนัก

“ดูให้ดีแม่มดเอ๋ย! ความรักของกระผมที่มีต่อท่านเซนต์! ต่อหน้าความรักนี้เจ้าก็ไร้พลั–“

เมื่อเขารู้สึกตัว ซัปเปิ้ลก็พูดไม่ออก

เบื้องหน้านั้นคือใบหน้าของแม่มดหลายตนเล็งการโจมตีมายังโกเลมของเขา พร้อมกับระดับพลังเวทย์ที่ค่อยๆเข้มข้นขึ้น

โกเลมของเขานั้นแข็งแกร่งและสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ก็จริง

แต่มันก็ยังเป็นแค่โกเลม ถ้าโดนเป่ากระจุยในการโจมตีครั้งเดียวก็จบเห่

“ดะ เดี๋ย…”

ในจังหวะนั้น ก็เกิดแรงระเบิดใหญ่ขึ้นจนอากาศสั่นไหว

ลำแสงทำลายล้างของแม่มดทำลายโกเลมซะกระจุยกระจาย ตัวซัปเปิ้ลเองก็โดนแรงกระแทกส่งลอยไปจนหน้าดิ่งพื้นหมดสติ

ถึงแม้จะดูเอาเรื่องแค่ไหน ก็ยังเป็นแค่ซัปเปิ้ลอยู่วันยังค่ำ

ตกลงเจ้าหมอนี่มันมาทำไมเนี่ย?