ตอนที่ 58 เวรกรรมมีจริง
เมื่ออาเฟยกลับไปแล้ว อาหมานที่รู้สึกอัดอั้นจึงบ่นกระปอดกระแปดว่า “ที่ตกลงไว้คือให้หนึ่งร้อยตำลึง จู่ๆ มาเปลี่ยนใจให้สองร้อยตำลึง แม่ไก่ออกไข่ยังไม่ไวปานนี้เลยเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อยื่นมือมาดีดหน้าผากอาหมานเอ่ยว่า “ข้าไม่ยักรู้มาก่อนว่าเจ้าเห็นแก่เงินขนาดนี้”
อาหมานใช้มือป้องหน้าผาก เบะปากพลางคิดในใจว่า ก็เพราะเมื่อก่อนคุณหนูไม่มีเงินนี่หน่า ต่อให้จะอยากเห็นแก่เงินแค่ไหนก็คงได้แต่ฝัน
“อย่ามัวแต่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้เลย เงินน่ะสำคัญมากก็จริง แต่สำหรับพวกเราแล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด”
นางต้องการใช้เงินในการทำสิ่งต่างๆ ขาดก็แต่คนที่จะทำงานให้นางเท่านั้น
หากนางมีทางเลือก นางจะเรียกใช้นักเลงข้างถนนที่ไม่รู้จักมักจี่อย่างอาเฟยทำไม
ยังดีที่นางเป็นคนมีโชค เพราะอาเฟยเป็นคนมีไหวพริบ วิสัยทัศน์ก็ไม่ได้คับแคบขนาดนั้น นับว่าใช้การได้ทีเดียว
“เอาเงินสองร้อยตำลึงนี้ให้หลิวเซียนกู ใช้คืนที่ยืมมา”
“คุณหนูจะไม่รอพบหลิวเซียนกูด้วยหรือเจ้าคะ”
“ไม่ล่ะ ไม่มีเรื่องใดให้ต้องพบกัน” หนี้ค้างก็จ่ายคืนแล้ว นับแต่นี้ไปก็ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก หลิวเซียนกูเองก็ถึงคราวที่ต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้แล้ว
เมื่อชาติภพที่แล้วหลิวเซียนกูเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่นาน แม้กระทั่งนางแต่งงานกับอวี้จิ่นไปแล้วและกลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง หลิวเซียนกูก็ยังคงอยู่อย่างสุขสบาย
จนกระทั่งวันหนึ่งหลิวเซียนกูที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์กลับถูกพบเป็นศพอยู่ในบ้าน และส่วนฆาตกรก็ลอยนวลไปได้
นางบังเอิญรู้ว่าฆาตกรคือใคร
ครั้นตำแหน่งตกไปอยู่ในมือของท่านอาที่สอง นางก็เริ่มสงสัยเรื่องที่อาสะใภ้รองเชิญให้หลิวเซียนกูมาทำพิธีขับไล่วิญญาณชั่วร้ายที่จวน นางจึงขอร้องให้อวี้จิ่นที่กำลังสืบเรื่องท่านอาที่สองอย่างลับๆ สืบเรื่องของหลิวเซียนกูด้วยอีกคน
มีหลายเรื่องที่หากไม่คำนวณต้นทุน เวลา และความพยายามที่ทุ่มเทลงไปในการสืบก็จะพบว่ามีเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดเกิดขึ้นอีกมากมาย
เรื่องที่น่าขยะแขยงที่สุดเกี่ยวกับหลิวเซียนกูคือนางให้ลูกชายปลอมตัวเป็นหญิงไปหลอกล่อลูกสาวในตระกูลร่ำรวยและปู้ยี่ปู้ยำจนเสื่อมเสีย ฉะนั้นสาเหตุที่นางถูกฆ่าก็มาจากเรื่องเลวร้ายนี้เอง
แน่นอนว่า ฆาตกรรายนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับจวนเศรษฐีเหยียน
การที่หลิวเซียนกูมีความคิดทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายเฉพาะแค่จวนเศรษฐีเหยียนเท่านั้น เพราะถึงแม้จะมีเด็กสาวบางคนที่ดื้อรั้นโอดครวญอยากแต่งงานกับเด็กยาจกนั่นจะเป็นจะตายเพียงเพราะช่วงเวลาแค่เจ็ดคืน แต่ก็ยังมีพ่อแม่บางคนที่รักลูกจึงพยายามห้ามปรามไม่ให้ลูกสาวทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้น
แต่จากที่อวี้จิ่นไปสืบมาผลปรากฏว่ามีเด็กสาวอย่างน้อยสี่ถึงห้าคนที่มีอาการแปลกๆ เช่นเดียวกับคุณหนูตระกูลเหยียน
หลิวเซียนกูวางแผนมาอย่างละเอียดรอบคอบ หญิงสาวทั้งหมดล้วนเป็นลูกสาวคนเดียว แต่ละคนอาศัยอยู่ต่างเมืองกัน และแต่ละเมืองอยู่ห่างกันอย่างน้อยหลายร้อยลี้ นอกจากนี้เด็กหนุ่มยาจกที่พวกนางเฝ้าฝันนั้นจะอาศัยอยู่กับญาติห่างๆ ฉะนั้นญาติที่ถูกอ้างถึงในแต่ละครั้งจึงไม่ใช่คนเดิม
เรียกได้ว่าการที่หลิวเซียนกูโยนตาข่ายกับดักเช่นนี้เป็นการทุ่มทุนอย่างมหาศาล
หนึ่งในนั้นมีลูกสาวตระกูลโต้ว นางเกิดมาหน้าตาสะสวยและเป็นที่รักของพ่อแม่ แต่มีนิสัยแน่วแน่เด็ดเดี่ยว หลังจากถูกลูกชายของหลิวเซียนกูทำเรื่องเสื่อมเสีย นางที่ได้รู้ความจริงจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยที่ไม่ได้เอ่ยลาบุพการีสักคำ
ลูกชายของหลิวเซียนกูแต่งตัวเป็นหญิงได้อย่างแนบเนียน พ่อแม่ของเด็กสาวจึงไม่รู้เลยว่าคนที่นอนอยู่กับลูกสาวตัวเองทุกคืนเป็นผู้ชาย เมื่อลูกสาวจากไป พ่อแม่ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็จนปัญญาจะตามหาความจริง
เมื่อหลิวเซียนกูเห็นว่าเรื่องนี้บานปลายถึงขั้นทำคนตายจึงรีบหนีไปทันที
เดิมทีเด็กสาวตระกูลโต้วมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ทั้งสองเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อโตขึ้นชายหนุ่มถูกส่งไปเป็นนายพลประจำที่หลินเฉิง เนื่องจากในเวลานั้นเกิดความชุลมุนวุ่นวายกอปรกับเหตุกบฏร้ายแรง เมื่อเขากลับมาก็พบว่าคู่หมั้นของตัวเองเสียชีวิตแล้ว นั่นทำให้ชายหนุ่มแทบเสียสติ
พ่อแม่เด็กสาวที่ต้องมาตอบคำถามของว่าที่ลูกเขยทำได้เพียงร้องไห้ฟูมฟาย
การจากไปของคู่หมั้นเป็นความเจ็บปวดที่ชายหนุ่มไม่อาจลบเลือนไปจากใจ เขาไม่อยากจะเชื่อว่านางจะจบชีวิตลงเพียงเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาแน่ใจว่าจะต้องมีบางอย่างที่นางรู้สึกทนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มพุ่งเป้าไปที่หลิวเซียนกูที่เคยมาที่เรือนของตระกูลโต้ว
แต่ในตอนนั้นการสืบหาเบาะแสก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากหลิวเซียนกูหายตัวไปราวกับหยดน้ำที่หยดลงในมหาสมุทร เรียกได้ว่าแม้แต่เงาก็ยากที่จะหาพบ
นอกจากนี้แม้ว่าคนอื่นๆ ในแต่ละเมืองที่เคยประสบชาตากรรมเดียวกันจะรู้ความจริง แต่ทุกคนล้วนปิดปากเงียบ ไม่มีใครพูดถึงความชั่วร้ายของหลิวเซียนกูเลยสักคนเดียว ซ้ำร้ายยังฝืนใจเอ่ยชมหลิวเซียนกูด้วยความชอกช้ำ
เมื่อเหยื่อพยายามปกปิดความผิดของผู้ที่กระทำผิด คนนอกก็ยากที่จะควานหาความจริง
ไปๆ มาๆ เรื่องนี้ก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว
ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้ทราบความจริงทั้งหมดจากการคาดคะเนและการสืบหา เขาตามหาลูกชายหลิวเซียนกูจนพบ และตัดเจ้าโลกของชายผู้นั้นขาดสะบั้นด้วยความโกรธแค้น หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ตรงเข้าในเมืองหลวงซึ่งเป็นที่กบดาลของหลิวเซียนกูและอาศัยจังหวะตอนค่ำใช้มีดฟันหลิวเซียนกูจนตาย
กว่าคนที่จะมาเชิญหลิวเซียนกูไปทำพิธีที่บ้านจะมาพบเข้า ชายหนุ่มก็หนีออกไปนอกเมืองและกลับไปยังเมืองที่เป็นบ้านเกิดของคู่หมั้นของเขาเสียตั้งนานแล้ว
คดีเช่นนี้ยากแก่การสืบเสาะหาความจริง เพราะแม้ว่าทางการจะสอบสวนคนที่เคยมีประวัติกับหลิวเซียนกูอย่างไรก็คงไม่มีใครย้อนกลับไปค้นเรื่องเมื่อสิบปีก่อนอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นคือหลิวเซียนกูมิได้มาจากครอบครัวชนชั้นสูง นางเป็นเพียงหญิงสาวที่เกิดในชนบท การที่นางได้ไปมาหาสู่กับตระกูลสูงศักดิ์ก็เป็นเพราะ ‘ความสามารถ’ ของนางล้วนๆ การตายของนางจึงเป็นเพียงเรื่องธรรมดาทั่วไป คดีนี้จึงถูกปล่อยค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น
อวี้จิ่นที่ได้รับมอบหมายจากเจียงซื่อได้ลงมือสืบเรื่องของหลิวเซียนกูตั้งแต่เนิ่นๆ จึงได้จับตาดูชายหนุ่มและได้รู้ความจริงอีกไม่น้อย
แต่จุดจบของชายผู้นั้นก็ทำให้เจียงซื่อถึงกับถอนหายใจออกมา
หลังจากที่ชายหนุ่มฝากฝังบรรดาพี่ชายน้องชายให้ดูแลบิดามารดาแล้ว เขาไปที่หน้าหลุมศพของคู่หมั้นและปลิดชีพตัวเองที่นั่น
เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจให้แก่คนแถวนั้นอย่างมาก
ผู้คนเหล่านั้นต่างบอกว่าชายผู้นี้รักอย่างขาดสติ เมื่อคิดถึงคู่หมั้นที่จากไปเมื่อสิบปีก่อนจนทนไม่ไหวจึงคิดสั้นฆ่าตัวตายตาม
ไม่มีใครนำเรื่องราวการตายของชายผู้นี้ไปผูกโยงกับการตายของแม่หมอในเมืองหลวงเลยสักคน หรืออาจบอกได้ว่า ผู้คนที่นั่นอาจลืมเรื่องที่หลิวเซียนกูเคยมาที่นี่เมื่อสิบปีก่อนไปจนหมดสิ้น อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงก็คงไม่กระจายมาถึงหูคนในเมืองที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้ได้
เจียงซื่อยังคงจำได้ดีว่าอวี้จิ่นแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เพียงใดตอนนั้นที่นางพูดว่าอิจฉาหญิงสาวที่มีคู่หมั้นที่มั่นคงในความรัก
นางกลอกตาใส่อวี้จิ่นพลางบอกว่า “ก็เพราะบนโลกนี้มีผู้ชายแบบนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
อวี้จิ่นจึงตอบนางว่า “ใช้เวลาตั้งสิบปีกว่าจะล้างแค้นและตายตามคู่หมั้นไป หญิงสาวนั่นรอจนรากงอกแล้วหรือเผลอๆ คงไปเกิดใหม่แล้วกระมัง ชายโง่งมเช่นนี้น่าอิจฉาตรงไหนกัน”
ทั้งสองต่างหัวเราะและถกเถียงกันไปมา จากนั้นก็พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
ก่อนที่จะถึงเวลานัดกับหลิวเซียนกู เจียงซื่อทิ้งอาหมานไว้ที่นั่น ส่วนตัวเองก็กลับไปก่อน
เมื่อหลิวเซียนกูที่มาถึงตรงเวลาเห็นว่าเจียงซื่อไม่ได้อยู่ที่นั่นก็รู้สึกโล่งใจ “เงินน่ะ ข้าไม่เอาคืนหรอก ข้าอยากจะมาขอบคุณคุณหนูสี่ที่ช่วยข้าไว้ต่างหาก”
“ไม่ได้หรอก คุณหนูสั่งเอาไว้ เป็นหนี้ก็ต้องใช้คืนเป็นกฎของสวรรค์ ท่านรับไปเถอะ อีกอย่างหากภายหน้าบังเอิญเจอคุณหนูก็ให้ทำเป็นไม่รู้จักกันจะดีที่สุด”
คำขอของหลิวเซียนกูไม่เป็นผลจึงต้องรับเงินสองร้อยตำลึงนั้นคืนไปแต่โดยดี
หลายวันหลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้
เด็กหนุ่มเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ เท่านั้น เขาเกิดมาพร้อมใบหน้าหล่อเหลา เพียงแต่ท่าทางการเดินของทำให้เขาดูเป็นคนขี้เล่นไม่จริงจัง
การที่เด็กหนุ่มมาปรากฏตัวในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดึงดูดความสนใจของผู้คนแต่อย่างใด
เด็กหนุ่มไปหยุดอยู่หน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ใช้มือลูบคางพลางพึมพำกับตัวเองว่า “คุณหนูบอกชายผู้นั้นชอบมาดื่มสุราที่โรงเตี้ยมนี้สินะ”
ในขณะนั้นเองมีแขกคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากโรงเตี้ยมพอดี เด็กหนุ่มจึงรั้งตัวเขาไว้และยัดแผ่นทองแดงสองสามแผ่นใส่มือ “พี่ชาย ไม่ทราบว่าฉินเจียงจวินมาดื่มสุราที่นี่หรือไม่”
แขกคนนั้นชี้เข้าไปในโรงเตี้ยมพลางพูดอย่างสะลึมสะลือว่า “ก็นั่งดื่มอยู่นั่นไง”
“ขอบใจมาก” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบพลางเดินเข้าไปในโรงเตี้ยม