บทที่ 77 วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 77 วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม

แสงจันทร์สาดส่องผืนทะเล ส่องเรือเวทที่เกราะคุ้มกันแตกสลาย และสาดบนตัวสวี่ชิง เขาได้ยินเสียงเคารพนับถือของศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดด้านนอก สีหน้าไม่ค่อยแน่ใจ

การทะลวงขั้นครั้งนี้ แม้จะเป็นไปตามที่คาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว แต่กระบวนการที่สุ่มเสี่ยงเช่นนั้นก็ทำให้เขาพรั่นพรึงอย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่คิดจะทะลวงขั้นเคล็ดคีรีสมุทร ความรู้สึกที่ทั้งร่างแทบจะปริแตกนั้น ทำให้สวี่ชิงอดสูดปากไม่ได้

หากไม่ใช่เพราะการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วง เกรงว่าเงาป๋ายังไม่ทันได้ปรากฏ ร่างเขาก็คงได้แตกเป็นเสี่ยงๆ จนตายไปเสียก่อน ทว่าการยกระดับที่แลกมาจากความสุ่มเสี่ยงนี้ก็น่าตกตะลึงเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะเงาป๋าบนหัวตอนนี้ที่ค่อยๆ สลายหายไป พลังน่าหวาดกลัวที่หลั่งทะลักออกมาจากตัวมัน ทำให้ดวงตาสวี่ชิงเผยแววคาดหวังเฝ้ารอขึ้นมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงเดินออกจากห้องเรือ เขาที่ผมดำขลับอยู่ในชุดนักพรตสีเทา ร่างตรงดุจต้นสนภายใต้แสงจันทร์ ความงดงามเย็นชาบนใบหน้าราวกับแกะสลักออกมา เหมือนมีท่วงทำนองเทพหลังการทะลวงขั้นของเคล็ดคีรีสมุทรอยู่รางๆ

“ขอบคุณทุกท่าน” สวี่ชิงยืนอยู่บนเรือ ประสานมือคารวะไปยังศิษย์ที่อวยพรอยู่รอบๆ อย่างเรียบนิ่ง

ศิษย์รอบๆ เรือเวทก็ต่างคารวะกลับทันที เหมือนมองคลื่นพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงที่ยังไม่สลายไปออก จึงคาดเดาว่าการทะลวงขั้นครานี้ ยังไม่ใช่บทสรุปของการฝึกบำเพ็ญในค่ำคืนนี้

ดังนั้นหลังจากคารวะตอบแล้ว ในใจก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง ทุกคนกลับไปยังเรือของตนอย่างรู้ความ ไม่เข้าไปรบกวนอีก

ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนที่สวี่ชิงเพิ่งมายังเจ็ดเนตรโลหิตเมื่อหลายเดือนก่อนหน้า ภาพนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แต่วันนี้กลับปรากฏขึ้นแล้ว

สวี่ชิงถอนสายตา กลับเข้าไปในเรือ หลังจากนั่งขัดสมาธิก็มองไปในค่ายกลรวมวิญญาณที่มีเศษหินวิญญาณแตกเป็นรอยกระจายอยู่ จากนั้นก็มองไปยังตัวเรือที่ปริแตก ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

เขารู้ว่าเป็นเพราะคลื่นพลังมากเกินไประเบิดออกมาในพริบตานั้นทำให้เกราะคุ้มกันแตกสลาย หินวิญญาณในฐานะที่เป็นศูนย์กลางจึงแตกร้าว

“ไม่รู้ว่าเคล็ดคีรีสมุทรทะลวงขั้นครั้งต่อไป จะยังเป็นแบบนี้อยู่หรือไม่….”

สวี่ชิงพึมพำ ในใจยังคงพรั่นพรึงอยู่ ยิ่งปวดใจมากขึ้น ถึงอย่างไร…การซ่อมแซมเรือเวทก็ต้องมีค่าใช้จ่าย

ทว่าเมื่อคิดถึงสิ่งที่ได้จากเด็กหนุ่มเผ่าเงือก สวี่ชิงก็เบาใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาไปคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนั้น สวี่ชิงสงบความพรั่นพรึงในใจจากการทะลวงขั้นของเคล็ดคีรีสมุทรลง เขายังสัมผัสได้ว่าคัมภีร์แปรสมุทรของตนเองก็กำลังตีเกลียวครืนครันอยู่ในร่างกาย เหมือนจะทะลวงขั้นเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจลึก จัดการเปลี่ยนหินวิญญาณที่ใช้การไม่ได้แล้วในค่ายกลรวมวิญญาณเสียใหม่

พริบตาต่อมา เกราะคุ้มกันบนเรือเวทก็ทำงานอีกครั้ง

สวี่ชิงมองแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาในห้องเรือที่พังยับ เมื่อครุ่นคิดก็วางหินวิญญาณก้อนหนึ่งเข้าไปอีกครั้ง ระหว่างที่ทำปางมือเรือเวทก็ส่งเสียงครืนครัน เกราะคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นออกมาในขณะที่มีหินวิญญาณสองก้อนอยู่ใจกลางก็แข็งแกร่งทนทานกว่าเดิม กระทั่งว่าแสงจันทร์ก็ยังถูกบังไปกว่าครึ่ง

เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็นั่งลงขัดสมาธิ หลับตาทั้งสองลง สัมผัสกับพลังที่ปล่อยออกมาจากในร่างกายเวลานี้ที่ยิ่งใหญ่กว่าก่อนหน้าหลายเท่า

ต้องรู้ว่าพลังก่อนหน้านี้ของสวี่ชิงคือระดับที่ฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทรระดับบริบูรณ์ไปแล้ว การทะลวงขั้นตอนนี้ ทำลายพันธนาการลง ทำให้พลังกายเนื้อของเขาไปอยู่ในระดับที่สูงยิ่งขึ้น

ความแข็งแกร่งของพลังนี้ ทำให้สวี่ชิงเกิดความรู้สึกมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองไม่จำเป็นต้องใช้วิชาเวทคัมภีร์แปรสมุทร เพียงแค่เคล็ดคีรีสมุทรสุดกำลังหมัดเดียว ต่อให้เป็นบรรพชนสำนักวัชระก็ยังตกตะลึง

ถึงอย่างไร เขาก็เป็นคนแรกนับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันที่ฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทรมาได้ถึงระดับนี้

เงาขุยของเขาก่อนหน้าถือเป็นระดับสูงสุดแล้ว ทว่าปัจจุบันเงาขุยแปรสภาพกลายเป็นป๋าอย่างไม่เคยมีมาก่อน บนตัวมันไม่ได้แฝงแค่กลิ่นอายคีรีสมุทรเท่านั้น แต่ยังมีเปลวไฟที่ร้อนแรงอยู่ด้วย

ความบ้าคลั่งที่แผดเผาอาณาประชาราษฎร์ ทำให้สรรพสิ่งเหือดแห้ง ยังคงคั่งค้างอยู่ในความรู้สึกของสวี่ชิง

และนี่ก็เป็นเพียงขั้นแปดเท่านั้น เงาป๋าเป็นแค่ร่างที่เพิ่งถือกำเนิด ยังไม่ถึงขั้นเติบโตสมบูรณ์ สวี่ชิงนึกภาพไม่ออกเลยว่าหลังจากขั้นเก้าแล้วจะมีหน้าตาเช่นไร และตอนถึงขั้นสิบระดับบริบูรณ์ เงาป๋า…จะยังเปลี่ยนแปลงได้อีกหรือไม่

ไม่มีใครสามารถมาชี้แนะเขาเรื่องวิถีของเคล็ดคีรีสมุทรได้แล้ว กระทั่งคนที่คิดวิชานี้ขึ้นมาก็ยังทำไม่ได้เช่นกัน

สวี่ชิงนิ่งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งในดวงตาจึงเกิดประกาย เริ่มกระตุ้นคัมภีร์แปรสมุทร

เวลาผ่านไปเชื่องช้า หนึ่งชั่วยามต่อมา ท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้ากลางดึก ก็เกิดสายลมพัดขึ้น…

สายลมนี้พัดผ่านผืนทะเล มารวมตัวที่เรือเวทของสวี่ชิง ก่อตัวเป็นกระแสวนดูดเข้าคลายออก ราวกับจะกลายเป็นหลุมดำ พลังวิญญาณจากทั่วสารทิศก็ตีเกลียวพัดเข้ามาท่ามกลางเสียงอื้ออึง

ผิวทะเลกระเพื่อม เรือทั้งหมดล้วนโคลงเคลง ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดในเรือ ก็ต่างจับจ้องมายังสถานที่นี้ ราวกับว่ากำลังเป็นพยานให้แก่การเติบโตสวี่ชิง

พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่พุ่งเข้าไปในเรือเวทสวี่ชิงจากทั่วสารทิศ หลั่งไหลเข้าไปในร่างกายเขา ทะเลวิญญาณที่คัมภีร์แปรสมุทรก่อตัวขึ้นในร่างกายเขา ก็ระเบิดอาณาเขตขึ้นมาอีก

การยกระดับทุกขั้นของคัมภีร์แปรสมุทร ดูเหมือนอาณาเขตจะกว้างขึ้นแค่สิบจั้ง แต่การยกระดับนี้อันที่จริงเป็นการยกระดับรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นระดับความกว้างหรือความลึก มองแนวราบแล้ว ก็เหมือนความแตกต่างของวงกลมเล็กกับวงกลมใหญ่ รวมถึงความลึกก็ด้วยเช่นกัน

เวลานี้ในขณะที่สวี่ชิงแต่เดิมก็มีรากฐานมากพอจะทะลวงขั้น ร่างกายของเขาก็ครืนครันขึ้นฉับพลันตามการพุ่งเข้ามาของพลังวิญญาณที่แฝงกลิ่นอายทะเลต้องห้ามจากภายนอก เสียงเปรี๊ยะดังก้องขึ้นในหัว พลังวิญญาณในร่างกายสวี่ชิงก็โถมซัดสาดขึ้นมากะทันหัน

จนกระทั่งทะลวงขีดจำกัดสุดท้าย ไปจนถึงระดับแปดสิบจั้ง

และพริบตาที่มาถึงนี้ ร่างกายเขาก็สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง พลังวิญญาณถมอาณาเขตแต่ละจั้งจนเต็ม ไม่จบเพียงเท่านั้น ยังคงขยายต่ออีก

แปดสิบสองจั้ง แปดสิบสามจั้ง แปดสิบสี่จั้ง…

จนตอนที่ถึงแปดสิบเจ็ดจั้ง พลังวิญญาณในร่างกายสวี่ชิงก็สื่อออกมาว่าอิ่มแล้ว เมื่อสวี่ชิงลืมตาขึ้นแสงม่วงก็เจิดจ้า ความรู้สึกของการก้าวผ่านความสามัญเผยออกมาอย่างชัดเจนจากบนตัวเขา

“วาฬบรรพกาล” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ระหว่างที่พึมพำเสียงต่ำมือขวาก็ยกขึ้นโบก ทันใดนั้นก็มีเสียงมังกรคำรามออกมาจากในร่างกายเขา ศีรษะที่คล้ายวาฬคล้ายมังกรขนาดยักษ์ ก็มุดออกมาจากในหน้าอกสวี่ชิง

ร่างกายดำสนิท ในช่วงที่เข้าใจยากจนถึงขีดสุดนั้น ก็ยังมีกลิ่นอายที่ทำให้คนตกตะลึงพรึงเพริด แผ่ซ่านออกมาจากตัวมันด้วย

เวลานี้วาฬทะเลตัวนี้ก็พุ่งออกมาตามเสียงคำรามจากในร่างกายสวี่ชิง ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แหวกเกราะคุ้มกันพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ขณะที่แหงนหน้าเปล่งเสียงคำราม ก็เผยร่างกายทั้งหมดออกมา!

ร่างกายที่ใหญ่โตขนาดแปดสิบจั้ง แผ่พลังที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ หนวดระยางที่กำลังโบยบินทุกเส้นล้วนมีแสงเรืองรองสีน้ำเงินเปล่งออกมา

ผืนทะเลส่งเสียงครืนครันจากการปรากฏตัวของมัน ราวกับถูกดึงดูดจนก่อเกิดคลื่นขนาดยักษ์ และวาฬบรรพกาลตัวนี้ ต่อให้เพียงแค่ตบลงมาเบาๆ ก็เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนพสุธาถึงยอดเขาได้แล้ว

ศิษย์ในเรือเวทรอบด้านต่างพากันตกตะลึง

“วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม!”

“นี่คือวิชาที่มีไว้เฉพาะคัมภีร์แปรสมุทรขั้นแปด แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถก่อนตัววาฬบรรพกาลได้ในขั้นที่แปด สิ่งนี้จำเป็นต้องใช้การควบคุมระดับสูงสุดอีกด้วย!”

“พลังในร่างกายที่สวี่ชิงแผ่ออกมาเมื่อครู่ ก็ทำให้คนตกตะลึงมากแล้ว วิชาเวทเวลานี้กลับยังไปถึงขั้นแปดอีก…”

“พลังต่อสู้มากถึงเพียงนี้เชียว…”

ทุกคนพากันสูดปาก

มีเพียงสวี่ชิงที่เวลานี้นั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือเวท เงยหน้าขึ้นมองวาฬบรรพกาลที่โบยบินบนท้องฟ้า ดวงตาเผยประกายแรงกล้า ที่เขารออยู่ก็คือวันนี้

ในบันทึกคัมภีร์แปรสมุทร เมื่อฝึกไปถึงขั้นแปด ด้วยทะเลวิญญาณแปดสิบจั้งจะสามารถสร้างภาพมายาวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามออกมาได้หนึ่งตัว วาฬบรรพกาลตัวนี้ก่อตัวขึ้นจากวิชาเวท จะคงอยู่ไปตลอด

มันจะแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร คอยติดตามเรือและเดินทางไปพร้อมกับศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ด

สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดได้รับพลังช่วยเหลือมากยิ่งตอนออกทะเล

เพียงแต่หากคิดจะสร้างวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามสักตัว ผู้บำเพ็ญจำเป็นต้องมีการควบคุมที่สุดยอด ดังนั้นใช่ว่าศิษย์ขั้นแปดทุกคนจะทำได้

“ในที่สุดก็มาถึงขั้นนี้เสียที” สวี่ชิงพึมพำ กระตุ้นในใจ ฉับพลันวาฬบรรพกาลที่คำรามต่ำอยู่บนฟากฟ้า ก็ไหวตัววูบพุ่งลงไปในทะเลส่งเสียงตูมดังสนั่น โถมคลื่นน้ำทะเลขึ้นมามหาศาล และร่างของมันก็หลอมรวมไปกับทะเล หายไปอย่างไร้ร่องรอย

มีเพียงสวี่ชิงที่สามารถเรียกรวมร่างของมันจากในน้ำทะเลได้ด้วยการนึกคิด

และตัวตนของวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม ในความเป็นจริง…สำหรับศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดแล้วก็เหมือนกับสันปันน้ำ[1]แห่งหนึ่ง!

“ข้าในตอนนี้ หากเจอกับบรรพชนสำนักวัชระในท้องทะเล ข้าคงจะสังหารเขาได้แล้ว!” สวี่ชิงดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ

“ถ้าหากไม่ใช่ในทะเล แล้วข้าโถมใส่สุดกำลังโดยไม่สนอะไร ก็น่าจะทำให้บรรพชนสำนักวัชระเจ็บหนักได้!

“เช่นนั้นตอนนี้ ข้าต้องออกทะเลเสียก่อน ด้านหนึ่งเพื่อลับคมฝึกบำเพ็ญ อีกด้านหนึ่งคือสรรหาทรัพยากร หลังจากกลับมา…ต้องคิดหาวิธี รีบสังหารบรรพชนสำนักวัชระให้เร็วที่สุด!

“พอฟ้าสาง จะรีบไปยกระดับเรือเวททันที ถ้าหากทันก็เดินทางวันพรุ่งนี้ ถ้าไม่ทันก็ตอนเช้าวันมะรืน เริ่มออกทะเล!” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เขารู้สึกได้ว่าตนเองก็ควบคุมเงาได้คล่องขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการทะลวงขั้นคู่ของพลังบำเพ็ญและกายเนื้อ

สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจขึ้นมาก

ขณะเดียวกัน จากการปรากฏตัวของวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามคัมภีร์แปรสมุทรขั้นแปดของสวี่ชิง เสียงคำรามของมันก็ดังก้องไปทั้งท่าเรือ จนทำให้ศิษย์ในท่าเรือมากมายได้ยินเสียงคำรามของวาฬบรรพกาลตัวนี้

เสียงนี้พิเศษมาก บางทีคนภายนอกอาจฟังไม่ออก แต่สำหรับศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดแล้ว พวกเขาคุ้นเคยดี

“มีคนไปถึงขั้นแปดอีกแล้ว แถมยังเป็นขั้นแปดที่ก่อร่างวาฬบรรพกาลออกมาได้อีกด้วย พลังเช่นนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย…น่าสนใจ”

ในกรมคุ้มกันสมุทรท่าเรือที่สามสิบสอง เรือรบลำยักษ์จากหน่วยหนึ่งกำลังแล่นออกจากท่าเรือช้าๆ เรือรบของกรมคุ้มกันสมุทรแตกต่างจากเรือเวทของศิษย์คนอื่นที่สำนักสร้างขึ้นโดยเฉพาะ

บนเรือรบตอนนี้มีชายหนุ่มชุดนักพรตสีเทาคนหนึ่งยืนอยู่ ชายหนุ่มคนนี้แผ่คลื่นพลังแข็งแกร่งออกมาทั้งร่าง ใต้ผมสีฟ้าทั้งศีรษะเป็นดวงตาสีทอง เขาเพ่งมองออกไปไกลๆ พึมพำขึ้นเสียงต่ำ

“ศิษย์พี่ติง ต้องการให้พวกเราออกไปสืบหน่อยหรือไม่” ด้านหลังเขายังมีศิษย์จากกรมคุ้มกันสมุทรอีกเจ็ดแปดคน คนหนึ่งเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาเวลานี้

โจวชิงเผิงก็อยู่ในนั้นด้วย ด้านหลังสุด สีหน้าระมัดระวัง

ในที่สุดเขาทำได้แบบที่พูดไว้ในงานเลี้ยงวันนั้นอย่างเห็นได้ชัด ถูกแนะนำให้กับอัจฉริยะฟ้าประทานของกรมคุ้มกันสมุทร และชายหนุ่มผมสีน้ำเงินคนนั้นก็คือศิษย์ติงเซียวไห่ที่ศิษย์หลักบางคนก็ยังต้องให้เกียรติมองเป็นสหายเต๋า ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งระดับรวมปราณแห่งยอดเขาลำดับเจ็ดคนนั้น

“รอกลับมาก่อนแล้วกัน” ติงเซียวไห่เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ถอนสายตากลับมา

ขณะเดียวกัน ในกรมปราบพิฆาต นายกองหกกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจ ในมือเขาถือผลไม้ห้าเหลี่ยมที่หาได้ยากอยู่ผลหนึ่ง กำลังกัดกินเสี้ยวหนึ่งอย่างเพลิดเพลิน และเหมือนสัมผัสถึงอะไรได้บางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา

“นี่เป็นเพราะอารมณ์ดี ดังนั้นเลยทะลวงขั้นหรือ ง่ายดายเสียเหลือเกิน เจ้าเด็กนี่…ข้าชอบนะ แต่ว่ายังอ่อนแออยู่ สมาชิกกองข้าเหตุใดจึงอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ หรือควรจะหาคู่มือมาให้เขาสังหารอีกหน่อยน่าจะดี”

สมแล้วที่จางซานยกให้นายกองหกเป็นพวกโรคจิตกับปาก ระหว่างที่พึมพำนี้ ก็วางผลไม้ลง ขบคิดปัญหานี้อย่างจริงจัง

และวาฬบรรพกาลของสวี่ชิงคืนนี้ก็ดึงดูดความสนใจของคนในยอดเขาลำดับเจ็ดไม่น้อย ทำให้คนบางส่วนเกิดอารมณ์ซับซ้อนขึ้นมา มีทั้งคาดหวัง มีทั้งอิจฉา มีทั้งริษยา

ทว่าก็ยังมีคนที่โกรธแค้นเคืองขุ่นถึงขีดสุด แต่หาที่ระบายไม่ได้

นั่นคือ…ผู้บำเพ็ญเผ่าเงือก

ตอนนี้ ในซอยที่เด็กหนุ่มเผ่าเงือกตายไป ค่ำคืนที่มืดดำมีเงาหลายร่างปรากฏขึ้น ด้านหน้าสุดมีคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย เป็นพี่สาวของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นนั่นเอง และเป็นหญิงชู้ขององค์ชายสามอีกด้วย

พี่สาวหนึ่งในนี้ดูสงบ แต่น้องสาวที่อยู่ข้างๆ กลับร่างกายสั่นเทิ้ม หายใจหอบถี่ในซอยนี้ ต่อมน้ำลายบนหน้าล้วนตั้งขึ้น ในดวงตาเผยจิตสังหารโถมฟ้าออกมา

ข้างๆ ยังมีชายชราเผ่าเงือกอีกคนหนึ่ง เขายืนอย่างขมขื่น เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

“กลิ่นอายของฝ่าบาท หายไปจากจุดนี้ เห็นได้ชัดว่าถูกจัดการไปแล้วที่นี่ มองไม่เห็นร่องรอยใดเลย แต่ด้วยพลังและฐานะของฝ่าบาท น่าจะยังไม่ตายเพียงแค่หายตัวไปเท่านั้น ไม่รู้ว่าตราชีวิตในเผ่า…”

“ตราชีวิตของฝ่าบาท…แตกยับไปแล้ว” ไม่รอให้ชายชราพูดจบ น้องสาวในกลุ่มหญิงสาวเผ่าเงือกสองคนนั้นก็กัดฟันเอ่ยขึ้น

ชายชราอ้ำอึ้ง สีหน้าค่อยๆ ซีดเผือด

ในฐานะที่เป็นผู้คุ้มครองเต๋า เขารู้ว่าจุดจบของตนเองคืออะไร แต่เรื่องนี้ก็เป็นความต้องการของฝ่าบาทที่ไม่อนุญาตให้เขาติดตามไปเอง และเขาก็เข้าใจว่าน่าจะมาจากเรื่องความชอบส่วนตัวของฝ่าบาท

แต่อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…

“เป็นระดับสูงของเจ็ดเนตรโลหิตลงมือหรือไม่” ชายชราสงสัย

“หากระดับสูงของเจ็ดเนตรโลหิตคิดจะสังหารคน จำเป็นต้องปิดบังด้วยหรือ”

“สืบหาต่อไป โดยเฉพาะกล่องปรารถนาในถุงเก็บของของฝ่าบาท ของสิ้นนี้สำคัญมาก จะตกไปอยู่ในมือผู้อื่นไม่ได้” หญิงสาวเงือกคนพี่เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา สูดลมหายใจลึก

“ท่านพี่ ฝ่าบาทดับสูญไปแล้ว พวกเราต้องล้างแค้นให้ฝ่าบาท แต่ท่านยังสนใจแต่กล่องปรารถนา!!” น้องสาวที่อยู่ข้างๆ มองอย่างโกรธเคือง

“เจ้าควรจะรู้ถึงความสำคัญของกล่องปรารถนา นั่นเป็นของขวัญที่มาจากยุคสมัยหนึ่ง”

“ข้ารู้แต่ว่าฝ่าบาทดับสูญไปแล้ว พวกเราต้องหาตัวฆาตกร!”

พี่น้องสองคน ประสานสายตากัน ผ่านไปเนิ่นนาน คนพี่ก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เจ้าล้างแค้น ข้ารับกล่องไป เรื่องแค่นี้ทำได้อยู่แล้ว ฝ่าบาทมีฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์ บนตัวมีจุดดึงดูดทางสายเลือดอยู่ พอเข้าใกล้ผู้ที่สังหารเขา พวกเราก็จะสัมผัสได้

“ตอนนี้ ไปตามสืบคนที่มีความบาดหมางกับฝ่าบาทในช่วงนี้มาให้หมด รวมไปถึงครอบครัวของคนที่เขาทรมานสังหารด้วย พวกเราเองก็ต้องออกค้นหาเช่นกัน ตรวจสอบให้ละเอียด ข้าอยากจะรู้นัก ว่าใครกันที่อาจหาญเช่นนี้ กล้ามาสังหารคุณชายของเผ่าเรา!”

“หลังจากพบแล้ว ข้าจะจับเขาทรมานเสีย เอาให้ไม่อาจอ้อนวอนขอความตาย เจ็บปวดจนกรีดร้อง ดวงวิญญาณต้องหนีเข้าสิงในปลาในกุ้ง ข้าจะกัดพวกเขาทีละคำๆ แล้วกลืนลงท้องไปเสีย!!” น้องสาวที่อยู่ข้างๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาเผยความบ้าคลั่งออกมา

[1]สันปันน้ำ คือแนวสันเขาหรือสันเนินซึ่งเป็นแนวเขตแบ่งระหว่างลุ่มน้ำ