ตอนที่ 79 วารสาร ‘เซลล์’

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 79 วารสาร ‘เซลล์’

แม้ว่าจะพูดกันขำๆ แต่ทุกคนก็แอบคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน

นักวิจัยกลุ่มนี้ไม่คิดปฏิเสธการแพทย์แผนจีนเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าองค์ความรู้ต่างๆ จำเป็นต้องผ่านการทดลองมานับไม่ถ้วนทั้งนั้น

ซึ่งศาสตร์การแพทย์แผนจีนนั้นได้รับการพัฒนาต่อมาเป็นเวลานับพันปี ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการรักษาโรคจึงมีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก

ทว่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้นยังมีข้อจำกัดอยู่ ทำให้ยังพิสูจน์หลายๆ อย่างในขณะนี้ไม่ได้!

แต่…

วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่นำความรู้ด้านอื่นๆ มาสอดแทรกได้ ถ้าหากซึมซับแก่นแท้ของทั้งสองวิชาและนำมาพัฒนากันและกันได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก!

ทุกคนหัวเราะกันจนพอใจก่อนจะเริ่มมีคนยกมือขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

“แม้ว่าบทความนี้จะมีคุณภาพที่สูงมาก แต่ก็ยังมีปัญหายิบๆ ย่อยๆ อีกหลายประการ อย่างแรกคือการฟอร์แมตบทความ ฉันคิดว่าคุณควรจะใช้รูปแบบของวารสาร ‘ธรรมชาติ’ จะทำให้บทความดูมีความเป็นสากลมากขึ้น ลองศึกษาวิธีจัดหน้าบทความดูนะ…”

“ผมคิดว่าการใช้ภาษาของคุณดู…เด็กมาก! ใช่แล้ว มันน่ารักมากๆ เพราะว่าภาษาที่เหมือนเด็ก แต่คุณจะตีพิมพ์มันโดยใช้ภาษาแบบนี้ไม่ได้ คุณควรอ่านนิตยสารและวารสารต่างประเทศให้มากขึ้น ลองศึกษาวิธีการใช้ภาษาของคนอื่นดูนะ แล้วก็…ผมคิดว่าคุณคงต้องพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของคุณจริงๆ มีหลายคำที่ใช้ได้ เอ่อ…แปลกมาก นั่นแหละนะ คุณควรจะศึกษาภาษาอังกฤษสำหรับการแพทย์และอ่านหนังสือภาษาอังกฤษสำหรับมืออาชีพมากขึ้น…”

“ฉันคิดว่าบทความของคุณมีการอ้างอิงน้อยเกินไป แถมที่นำมาอ้างอิงยังเป็นวารสารที่ไม่ค่อยดังด้วย ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไร ถ้าคุณจะส่งมันไปยังสำนักตีพิมพ์วารสารใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ต่อไปอาจจะมีปัญหาได้นะ”

“มีเหตุผล แต่…ฉันคิดว่าเนื้อหาของบทความนี้ค่อนข้างยาก คุณน่าจะลองแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วน เพราะว่าจริงๆ แล้วบทความนี้เขียนได้สองประเด็น หนึ่งคือการวิเคราะห์ย้อนหลังเกี่ยวกับสารอาร์เทแอนนิวอินเชิงซ้อน และอีกประเด็นคือเรื่องคุณค่าและการสกัดสารประกอบของอาร์เทแอนนิวอิน วิธีนี้จะทำให้คุณตีพิมพ์ได้ถึงสองบทความ แต่ก็ทำให้คุณเขียนรายละเอียดได้มากขึ้นและนำไปสู่ข้อสรุปได้อีกมากมาย!”

“นี่เป็นบทความที่ดีมาก อย่างน้อยก็เป็นการค้นพบอาร์เทแอนนิวอินชนิดใหม่ๆ ฉันคิดว่าคุณควรส่งบทความนี้ไปที่สำนักพิมพ์ดังๆ นะ”

“ใช่! หาข้อบกพร่องและแก้ไขมันซะ ผมคิดว่านี่ต้องเป็นบทความที่มีมาตรฐานสูงมากและมีคุณค่ามากๆ สองบทความแน่นอน ลองอ่านวารสารที่มีคะแนนไอเอฟเกินสิบคะแนนดูสิ”

“…”

ผู้คนที่นี่ต่างก็มีตำแหน่งในแวดวงวิชาการ ถึงแม้จะไม่ใช่บุคคลมีชื่อเสียง แต่ก็ถือเป็นบุคลากรแนวหน้ากันทั้งนั้น

พวกเขาจึงคุ้นเคยกับการตีพิมพ์วารสารมาก คาริสเคยบอกไป๋เยี่ยว่าคนพวกนี้เคยตีพิมพ์วารสารกันรวมๆ แล้วถึงสิบเล่มได้ แล้วแต่ละบทความยังเป็นวารสารที่มีคะแนนไอเอฟสูงอีกด้วย!

ไป๋เยี่ยคิดว่าสิ่งที่พวกเขาพูดฟังดูมีเหตุผลจึงหยิบปากกาขึ้นมาจด ไป๋เยี่ยอาจจะไม่รู้ตัวว่าตนเองมีข้อบกพร่อง ทว่าคนอื่นบอกเขาถึงข้อบกพร่องเหล่านั้นได้ ไป๋เยี่ยจึงยินดีที่ได้รับฟังคำแนะนำเหล่านั้นและจะจดจำมันไว้

ช่วงแลกเปลี่ยนความรู้ที่ซาลอนจบลงแล้ว

หลังจากที่ไป๋เยี่ยกลับมายังหอพัก เขาก็เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นและเชื่อมฐานข้อมูลของที่นี่ทันที ก่อนจะเริ่มค้นคว้านิตยสารและวารสารจากต่างประเทศ

การอ่านบทความของคนอื่นและการเขียนด้วยตนเองนั้นแตกต่างกันมาก เมื่อลองอ่านดูครั้งแรกเขาก็คิดว่ามันเป็นบทความธรรมดาๆ เท่านั้น แต่พอลองตั้งใจอ่านดูก็จะพบว่ามันแตกต่างจากงานของไป๋เยี่ยโดยสิ้นเชิง!

เหมือนกับที่เขาโดนติมาว่าภาษาที่เขาใช้นั้นเด็กเกินไปไม่มีผิด!

ใช่แล้ว งานเขียนของเขานั้นดูเด็กเกินไป อ่านๆ ดูแล้วเหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัยกำลังอ่านงานเขียนของนักเรียนชั้นประถม ไม่ว่าจะใช้ศัพท์ดีแค่ไหนก็ยังคงแฝงความเป็นเด็กไว้อยู่ดี

ไป๋เยี่ยใช้เวลาทั้งคืนไปกับการแก้ไขข้อบกพร่องนี้

คืนนั้น เขาได้พบข้อบกพร่องของตนเองหลายข้อ เขาต้องปรับปรุงทักษะภาษาอังกฤษของเขา เพราะว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย วารสารและนิตยสารส่วนใหญ่จึงถูกตีพิมพ์ออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วย

แม้ว่าจะมีปัญหาแค่เรื่องภาษา แต่นั่นถือเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดความรู้อย่างหนึ่ง

ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็ลงมือปรับปรุงภาษาอังกฤษของเขาทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยไม่ได้พักผ่อนเลย เขามีแรงมากขึ้นหลังจากที่ดื่มต้งม่ายที่ระบบส่งมาให้

ไป๋เยี่ยลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปที่โซนเลี้ยงหนูทันที

คาริสจากกลุ่มหนึ่งและเดซี่จากกลุ่มที่สี่คือคนที่เขาสนิทมากที่สุด

ปกติเวลานี้เดซี่จะตื่นมาออกกำลังกายที่นอกระเบียง เธอบอกว่าสองสิ่งที่ควรทำในตอนเช้าหลังตื่นนอนคืออ่านหนังสือและออกกำลังกาย (แอโรบิกและการออกกำลังกายตอนเช้า)

แม้ว่าเดซี่จะเป็นสาวโสดอายุราวๆ สามสิบปี แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางการขึ้นเป็นหนึ่งในผู้มีประสบการณ์ของเธอเลย

ไป๋เยี่ยเห็นเดซี่สวมชุดโยคะ นั่งขัดสมาธิบนเสื่อโยคะค่อยๆ ยืดเส้นยืดสาย…

ไป๋เยี่ยเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “คุณเดซี่ รบกวนหน่อยครับ เมื่อคืนผมลองแก้ไขบทความดู คุณพอจะมีเวลาเช็กให้ผมไหมครับ”

เดซี่หันกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม “วัยรุ่นนี่พลังล้นกันจริงๆ เลยนะ ไม่ได้นอนทั้งคืนยังมีแรงอยู่เลย สนใจมาเล่นโยคะด้วยกันไหม”

ไป๋เยี่ยฝืนยิ้ม “ผมรีบแก้เพราะจะเอามาให้คุณอ่านเลยนะ”

เดซี่เห็นดังนั้นก็หยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เดซี่ก็ลุกขึ้น ส่วนสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรทำให้เธอดูมีส่วนโค้งเว้าจริงๆ

“ดีมาก! สมกับเป็นคนที่ฉันเลือกจริงๆ! ฉันคิดว่าคุณเป็นคนมีความสามารถตั้งแต่แรกเห็นเลยละ!”

ไป๋เยี่ยยิ้ม แน่นอนว่าเดซี่ก็คือคนที่ชวนไป๋เยี่ยให้เข้าร่วมกลุ่มของเธอ “เดซี่ คุณคิดว่าผมควรจะส่งมันไปให้สำนักพิมพ์ไหน คือว่าผมไม่ค่อยรู้เรื่องวารสารต่างประเทศเท่าไหร่น่ะ”

เดซี่ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ส่งให้ ‘เซลล์’ สิ!”

ดวงตาของไป๋เยี่ยเบิกกว้างด้วยความตกใจ “‘เซลล์’ งั้นเหรอ ไม่มีทางหรอกน่า นั่นเป็นวารสารที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กับ ‘ธรรมชาติ’ และ ‘วิทยาศาสตร์’ เลยนะ ผมจะกล้าส่งไป…ได้ไง”

วารสาร ‘เซลล์’ ตีพิมพ์บทความด้านความก้าวหน้าของงานวิจัยด้านชีววิทยาที่สำคัญๆ มากมาย และเป็นหนึ่งในวารสารเชิงวิชาการที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในโลก เช่นเดียวกับ ‘ธรรมชาติ’ และ ‘วิทยาศาสตร์’

คะแนนไอเอฟของปี 2010 สูงถึง 31.957 ซึ่งสูงกว่าคะแนนไอเอฟของวิทยาศาสตร์ (31.027) และคะแนนไอเอฟของธรรมชาติ (38.597) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบทความที่ตีพิมพ์ได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง

แม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ค่อยรู้จักวารสารต่างประเทศมากนัก แต่เขามักจะได้อ่านวารสารชั้นนำดังกล่าว และรู้ว่าวารสารเหล่านั้นมีคุณค่ามากเพียงใด

พูดตามตรง ตอนที่ไป๋เยี่ยยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย วารสารที่ดีที่สุดที่เขารู้จักคือวารสารในประเทศที่มาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งและองค์กรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เขาไม่เคยได้สัมผัสกับวารสารระดับไฮเอนด์เช่นนี้มาก่อน นี่ทำให้เขาตะลึงไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว

เดลี่เหลือบมองไป๋เยี่ยครู่หนึ่ง “คุณไม่ดูข่าวเลยเหรอ”

ไป๋เยี่ยประหลาดใจเล็กน้อย “ดูข่าวก็เกี่ยวเหรอครับ”

เดซี่ส่ายหัว “คุณว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมเลยหรือไง จำไว้เลยนะว่างานวิจัยใดๆ ก็ตามต้องพัฒนาขึ้นตามความต้องการของสังคมและมนุษย์เรา”

พูดจบ เดซี่ก็ตรงไปที่ห้องแล็บ เปิดโน้ตบุ๊ก กรอกชื่อเว็บไซต์ก่อนจะหันมาพูดกับไป๋เยี่ยว่า “ดูนี่สิ”