บทที่ 39 เกือบจะจูบอยู่แล้ว

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 39 เกือบจะจูบอยู่แล้ว

“โอเค เรื่องนี้ขอให้หยุดอยู่แค่นี้นะ” ท่านสามพูดเสียงเย็นเฉียบ “ถ้าต่อไปมีใครกล้าทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก ฉันจะไม่มีวันยกโทษให้”

พูดจบ ท่านสามเดินนำหน้าทุกคนออกจากห้อง โดยที่ไม่หันหน้ากลับมามองเลยด้วยซ้ำ

รอจนท่านสามเดินออกไปแล้ว สีหน้าของบรรดาญาติๆ ต่างคลี่ยิ้มออกมา

“มู่หลง เมื่อกี้ที่ฉันไม่ยอมช่วย นายอย่างโกรธกันนะ เรื่องแบบนี้ ฉันก็ไม่สามารถช่วยได้”

เจียงเถ้อฉินที่เพิ่งสบถด่าแรงที่สุดอยู่เมื่อครู่เป็นคนเอ่ยปากอธิบายก่อน

“ใช่ อารมณ์ของคุณปู่ใช่ว่าแกจะไม่รู้ ยิ่งช่วยพูดให้แก เขาก็จะโกรธหนักขึ้นกว่าเดิม” หานเสี่ยพูดสมทบ

เฉินเสว่ไม่ได้สนใจคนสองคนนี้ พลันหัวเราะร่วนออกมาทันที “ฮ่าๆๆ เจียงหว่านเอ๋ย ผิดหวังมากใช่มั้ย? ตำแหน่งลูกชายฉันในตระกูลเจียง แกสู้ไม่ได้หรอก!”

“ลูกรัก เราไปกันเถอะ โปรเจคที่มันจะล้มอยู่แล้ว ใครจะไปสนใจ”

“วัสดุที่แกสอดไส้เข้ามา ก็รอความพินาศตอนที่ตระกูลมู่พบเจอเถอะ!”

เมื่อได้ยินการถากถางของมารดา เจียงมู่หลงลุกขึ้น พลางชำเลืองมองมาทางเจียงหว่านด้วยความสะใจ “เจียงหว่าน ครั้งนี้ถือว่าแกชนะ แต่รอเอาไว้ให้ฉันลงมือคราวหน้า แกคงไม่ได้โชคดีขนาดนี้แน่!”

“ส่วนมึง ไอ้กระจอก!”

สายตาของเขาจ้องมาที่ตัวมู่เซิ่ง และพูดถ่มน้ำลายลงพื้นเต็มที่ “ต่อไปอย่าแส่มาปรากฏตัวอยู่หน้ากู ไม่งั้นกูจะต่อยมึง ทุกครั้งที่เห็นหน้ามึง”

ระหว่างพูด

ครอบครัวของเจียงมู่หลงเดินออกไปอย่างเต๊ะท่า

ความหยิ่งผยองอย่างเปิดเผย

ไร้การปกปิดใดๆ!

“เจียงมู่หลง แกลืมคำสาบานของแก หรือเปล่าวะ?” มู่เซิ่งเดินมาหยุดทางด้านหน้าเจียงมู่หลง และดักหน้าและพูดเจียงมู่หลง

เจียงมู่หลงหันหลังกลับ เมื่อเห็นมู่เซิ่งอยู่คนเดียว จึงพูดเหยียดหยาม “ไอ้กระจอก เฮียเฮยเจียวที่มึงแม่งไปหามากลับไปแล้ว ไอ้ลูกเขยเศษสวะอย่างมึงคนเดียว ยังอยากจะลงมือกับกูขนาดนั้นเชียวเหรอวะ?”

“เรื่องนี้ ท่านสามลืมไปแล้ว แต่ฉันยังไม่ลืม ตอนนี้ทางที่ดีที่สุดขอแนะนำให้แกนั่งคุกเข่าลงซะ” มู่เซิ่งจ้องมองเจียงมู่หลง พลางพูดด้วยความนิ่งสงบ

“ไอ้สัตว์ ถึงแม้กูเคยพูดคำพูดนี้ออกไป แล้วยังไงวะ? ในฐานะที่มึงเป็นหมาตัวหนึ่งของตระกูลเจียง มึงควรตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงามึงด้วย!” เจียงมู่หลงกัดฟันพูด

“มึงกล้าลงมือกับกูเหรอวะ? กูจะบอกคุณปู่กูมึงเชื่อมั้ย!”

ป๊าบ!ป๊าบ!

มู่เซิ่งขี้เกียจพูดให้เปลืองน้ำลาย จึงใช้เท้าเตะไปสองที

การใช้ปลายเท้าเตะอย่างแม่นยำไร้ความผิดพลาดตรงบริเวณหัวเข่าของเจียงมู่หลง เขาส่งเสียง ‘ซู้ดซ้าด’ ออกมาและนั่งคุกเข่าลง ตรงตำแหน่งของเจียงหว่านอย่างประจวบเหมาะ ไม่มีบิดเบี้ยวสักนิด

“รีบคุกเข่าไปตั้งแต่แรกก็จบแล้ว” มู่เซิ่งพูด

เจียงมู่หลงมันเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดไม่ถึงว่ามู่เซิ่งจะใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ ที่เตะเขาโดยไม่สนใจชื่อเสียงของคุณปู่ด้วยซ้ำ!

“ถ้าพวกคุณสองคนยินยอมพร้อมใจ มานั่งคุกเข่าตรงนี้พร้อมกันก็ได้นะ ผมไม่ถือสาเรื่องที่จะเตะเพิ่ม มีเรื่องบางอย่าง ที่ท่านสามหลงลืมไปแล้ว แต่ผมไม่ลืม” มู่เซิ่งมองมาที่พ่อแม่ของเจียงมู่หลง ลักษณะท่าทางโกรธแค้นที่เตรียมลงมือ จู่ๆ ก็แสยะยิ้มและพูดขึ้นมา

พลันเตือนสติเรื่องประตูบ้านเจียงหว่าน เจียงไห่เชากับเฉินเสว่ถอยกรูดกันพัลวัน ด้วยความหวาดกลัว

มู่เซิ่งหัวเราะร่วน และพาเจียงหว่านลงบันไดไป

เจียงหว่านนั่งลงตำแหน่งคนขับรถ ทางด้านหน้า แต่ยังไม่ยอมสตาร์ทรถ มู่เซิ่งมองออก เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า สร้างความกดดันอยู่ในใจของเธออย่างเต็มที่อยู่ตลอดเวลา

“ต้องการไหล่มั้ยครับ?” มู่เซิ่งค่อยๆ เขยิบมาทางด้านหน้า

“มู่เซิ่ง คุณว่าเรื่องนี้มันเกิดเพราะอะไร ทำไมผลมันออกมาแบบนี้ทุกครั้งเลยคะ ทำไมคุณปู่ถึงไม่คำนึงถึงความรู้สึกของฉันเลยสักครั้ง หรือว่าในสายตาของคุณปู่ มีแค่เจียงมู่หลงคนเดียวใช่มั้ยที่เป็นสายเลือดของเขา!” เจียงหว่านอดกลั้นไม่อยู่ จนกระโจนเข้าซบหัวไหล่ของมู่เซิ่งและร้องไห้ฟูมฟายออกมา

มู่เซิ่งตบหัวไหล่เจียงหว่านแผ่วเบา สีหน้าเย็นชาจนน่าหวาดกลัว

สำหรับในมุมมองของเขาแล้ว การที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อให้เจียงมู่หลงลิ้มรสความลำบากเล็กน้อยเท่านั้นเอง เพราะว่าในตระกูลเจียงนี้ ท่านสามลำเอียงจนไร้ขอบเขต! ให้สำนึกผิดอยู่ในบ้านเจ็ดวัน การลงโทษแบบนี้ มันน่าตลกขบขันเสียเหลือเกิน!

“เจียงหว่าน คุณยังอยากจะอยู่ในตระกูลเจียงอยู่มั้ย?” มู่เซิ่งเอ่ยถามเสียงแข็ง “หรือยังอาลัยอาวรณ์ตระกูลเจียงอยู่มั้ย?”

โทนน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกของเขา พฤติกรรมของตระกูลเจียงในวันนี้ มู่เซิ่งแค่รู้สึกอารมณ์คุกรุ่นอยู่

ถ้าเจียงหว่านยินยอม

เขาสามารถฆ่ายกครัวตระกูลเจียงทั้งตระกูล เพียงพลิกฝ่ามือ!

“ฉัน…”

เจียงหว่านลังเลทันที เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งพูดจาอย่างหนักแน่น “ที่ฉันต้องการอยู่ในตระกูลเจียง ก็เพื่อสู้สักตั้ง! ฉันต้องพิสูจน์ให้คุณปู่เห็นว่า สายตาคุณปู่มองพลาดไปแล้ว ฉันยอดเยี่ยมกว่าเจียงมู่หลงเป็นไหนๆ!”

“วางใจเถอะ คุณต้องทำได้แน่” มู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง

“ใช่สิคะ คุณพูดว่าคุณจะอธิบายอะไรให้ฉันฟัง ว่าทำไมคุณรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกใช่มั้ย? อีกอย่างเรื่องวัสดุไร้ค่า จัดการได้จริงๆ แล้วใช่มั้ยคะ?” เจียงหว่านเปลี่ยนเรื่องพูดทั้งที่จมูกแดงอยู่

“อืม… ผมรู้ว่าคุณให้ความสำคัญกับโปรเจคนี้มาก ดังนั้นตอนกลางคืนเลยออกมาสำรวจที่ไซต์งานก่อสร้างบ้าง จึงเจอพวกเขาแอบลักลอบลดวัสดุโดยบังเอิญ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ตามสเปคที่คุณต้องการ ดังนั้นจึงแอบเปลี่ยนวัสดุ อีกทั้งจึงเลยอยากเห็นว่าตกลงใครมันเป็นคนทำ” มู่เซิ่งพูดสร้างเรื่องเอาเองโดยไร้ความเขินอาย

“คุณเลยไปเชิญเฮยเจียวมาใช่มั้ย?” เจียงหว่านพูดอย่างแปลกใจ

“ผมอาศัยเพื่อนให้เชิญมาอีกที ผมจะหน้าใหญ่ขนาดนั้นมั้ยล่ะ”

“เพื่อนคุณเหรอคะ? กู่ชิงเสวียนคนนั้นอีกแล้วใช่มั้ยคะ!” เจียงหว่านย่นคิ้วเข้ากันอย่างอดใจไม่อยู่ ไม่สบอารมณ์ “ฉันเคยพูดแล้วนะว่าไม่ต้องให้เธอเข้ามาช่วย ทำไมคุณถึงไม่เชื่อฟังสักทีคะ?”

แต่เธอฉุกคิดถึงเรื่องถ้าเฮยเจียวไม่ออกมาช่วยเหลือ เกรงว่าเมื่อวานนี้ มู่เซิ่งกับเขาก็คงตกอยู่ในมือของหวางกุ้ยแล้ว พลันพูดบ่นพึมพำ “คราวหน้า คราวหน้าไม่อนุญาตให้เป็นแบบนี้อีกแล้วนะ”

“รู้แล้วครับ…” มู่เซิ่งหัวเราะอย่างหมดสภาพ “แต่เจียงหว่านครับ คุณลงจากตัวผมก่อนมั้ยครับ?”

“หือ—”

เมื่อเจียงหว่านก้มหน้าลงมอง จึงกรีดร้องเสียงหลงทันที ตอนที่เธอร้องไห้ฟูมฟาย เธอไม่ใช่อาศัยแอบอิงหัวไหล่ของมู่เซิ่งเท่านั้น แถมเอาตัวแนบชิดตัวติดหนึบอยู่บนตัวมู่เซิ่ง ขณะนี้เธอเหมือนปลาหมึกสายตัวหนึ่ง ที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงมู่เซิ่งอย่างติดหนึบเลยแหละ!

เธอรีบลงมาทันควัน หัวใจเต้นระรัว ใบหน้าเล็กสีแดงสุกปลั่งคอยประเมินมู่เซิ่งอยู่ตลอดเวลา

“ไม่เป็นไร ไม่รังเกียจน้ำลายคุณหรอก” มู่เซิ่งก้มหน้ามองรอยเปียกชื้นเป็นวงกว้างตรงแผงอกกำยำของเขา

“คุณ!” ใบหน้าแดงก่ำของเจียงหว่านแดงแจ๋หนักกว่าเดิม และค้อนขวักใส่มู่เซิ่งอย่างเต็มที่ในเวลาเดียวกัน “คุณกล้ารังเกียจเหรอ?”

“ฮ่าๆๆ น้ำลายของคุณหนูใหญ่ผมไม่รังเกียจหรอก ขอเพิ่มให้ผมหน่อยได้มั้ยละ” มู่เซิ่งอ้าปากยิ้ม

“นี่คุณอยากตายใช่ปะ!”

เจียงหว่านหน้าแดงแจ๋ เตรียมกระโจนพุ่งใส่มู่เซิ่งทันที มู่เซิ่งพลิกตัวอย่างรู้ทัน ใครจะไปรู้ว่ายังนั่งทรงตัวไม่อยู่ เจียงหว่านก็กระโจนมาอยู่บนตัวแล้ว

ทั้งสองถูไถเนื้อแนบเนื้อ ประสานสายตา จนริมฝีปากใกล้จะสัมผัสอยู่รอมร่อ

ทั้งสองคนแต่งงานมาสามปี ทั้งที่ไม่เคยใกล้ชิดเฉกเช่นนี้มาก่อน

นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เจียงหว่านได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ เมื่อมองผู้ชายที่อยู่ด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวันทางด้านหน้า แพขนตาเธอสั่นเทา พลางหลับตาลงตามสัญชาตญาณทันที

มู่เซิ่งตกตะลึง

เขาจะไม่เข้าใจความหมายของเจียงหว่านได้ยังไง? แต่จากคำสั่งเสียของเจียงเจิ้งจื๋อ ทั้งสองคนยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกสองเดือนก็จะหย่าร้างกันแล้ว วันนี้ทั้งสองคน ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ เลย

จะจูบดีมั้ย?

มู่เซิ่งลังเลชั่ววูบ พลันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายทางด้านนอกรถ

“แย่แล้ว มีคนเป็นลม!”

เสียงเอะอะเอ็ดตะโรเรียกสติเจียงหว่านทันที เธอลืมตา จนเห็นมู่เซิ่งอยู่ใกล้แค่คืบ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

บรรยากาศภายในรถยนต์ประดักประเดิดมาก มู่เซิ่งกลืนน้ำลายลงคอ ไม่กล้าสบตาเจียงหว่านซึ่งๆ หน้า เป็นเทพสงครามทั้งที่เคยเผชิญหน้าต่อภูเขาดาบและทะเลเลือดมาแล้ว แต่เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ จนน้ำเสียงหวั่นไหวตาม

“เอ่อ เราออกไปดูกันหน่อยมั้ย?”

“อื้อ” ใบหน้าเลือดฝาดของเจียงหว่านเริ่มแดง น้ำเสียงอู้อี้