บทที่ 59 เด็กน้อยกับหมาป่าตัวใหญ่
เจ้าหน้าที่หันกลับมามองต้นตอของเสียง และในขณะที่เขากำลังจะส่งคนเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง สิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋วขนปุยก็ค่อย ๆ โผล่หัวออกมา “เหมียวเหมียว เจ้าเหมียวอยู่ที่นี่เองหรือ? ”
“เหมียวน้อย ข้าเจอเจ้าแล้ว!”
เด็กน้อยน่ารักราวกับตุ๊กตากระเบื้อง พวงแก้มอวบอิ่มดวงตากลมโตใสแจ๋ว มีมวยผมสองก้อนซ้ายขวา ในขณะที่นางส่ายหัวไปมามวยผมทั้งสองข้างก็เอียงตามไปด้วย แม้แต่เจ้าหน้าที่ผู้เคร่งขรึมก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าอ่อนลง เมื่อได้พบกับสาวน้อยน่ารักคนนี้หัวใจของพวกเขาก็แทบละลายเป็นสายน้ำ
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ วิ่งไปอุ้มลูกแมวที่อยู่มุมห้องขึ้นมา
“เหมียวเหมียวน้อย ดูสิ! ข้าจับเหมียวน้อยได้แล้ว!”
“ท่านลุง นี่เหมียวเหมียวน้อยของข้าเองเจ้าค่ะ ที่บ้านข้าไม่มีคนไม่ดีนะเจ้าคะ ” ใบหน้ากลมป้อมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง พวกเขาเหลือบมองเจ้าขนปุยสี่ขาที่อยู่ในอ้อมกอดของเด็กหญิง และแล้วความสงสัยก็จางหายไปในทันที เขาหันไปพูดกับลูกน้องต่อ
“ไปค้นหลังต่อไป!”
เมื่อกลุ่มเจ้าหน้าที่เดินออกไป ทันทีที่ประตูปิดลง หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก นางหวาดกลัวแทบตาย ตู้เย่ซ่อนตัวอยู่บนคานในห้องเก็บฟืน หากเจ้าหน้าที่ย้อนกลับมาค้นอีกที เขาอาจจะไม่รอด
ถังหลี่มองบุตรสาวที่กำลังอุ้มลูกแมวอยู่ คิดในใจว่าควรจะต้องขอบคุณนางที่เข้ามาได้จังหวะพอดีหรือไม่?
หญิงสาวหยิบจอบขึ้นมาหมุนตัวจะกลับไปทำสวนต่อ ซานเป่าและลูกแมวเล่นกันสักพัก ก่อนที่เด็กหญิงจะวิ่งตามมารดาแล้วดึงชายเสื้อของนางไว้
“ท่านแม่ ทำไมท่านลุงผู้นั้นไม่ออกมาเล่นข้างนอกบ้าง?
“ท่านลุงที่ไหนหรือ? ” ถังหลี่ประหลาดใจ
“ท่านลุงที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บฟืนเจ้าค่ะ” ซานเป่าเงยหน้า ดวงตาของเด็กหญิงฉายแววไร้เดียงสา ถังหลี่ตกใจมาก
ซานเป่าเคยเห็นตู้เย่หรือ?
เจ้าแมวน้อยคงไม่ใช่เหตุบังเอิญใช่หรือไม่? นางจงใจ เด็กน้อยผู้นี้เหตุใดจึงได้ฉลาดเพียงนี้นะ
หญิงสาวมองเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า เด็กคนนี้ต่อไปจะได้เป็นถึงแม่ทัพหญิงผู้เก่งกาจสามารถ เพราะแบบนี้เองนางจึงได้แตกต่างจากเด็กคนอื่น ๆ
ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว
“ซานเป่า!เจ้าไปชวนท่านลุงออกมาเดินเล่นข้างนอกเถิด อยู่แต่ในห้องจะอุดอู้เกินไป ”
เด็กน้อยพยักหน้าก่อนจะวิ่งตื๋อไปยังห้องเก็บฟืน นางยื่นหัวโผล่เข้าไป
“ท่านลุง! ออกมาเล่นกันเถิด! ” ไม่มีวี่แววของใครสักคนที่จะเดินออกมาจากที่ซ่อน ไหล่ของซานเป่าลู่ลงด้วยความผิดหวัง
“ท่านลุง! ท่านไม่ออกมา เพราะไม่ชอบซานเป่าหรือ? ”
ทันใดนั้นเงาสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซานเป่า เด็กหญิงรู้สึกเบิกบานใจมากที่ท่านลุงของนางยอมออกมาจากที่ซ่อน ซานเป่าเงยหน้ามองอีกฝ่าย
อ่า..สูงจังเลย ท่านลุงผู้นี้สูงพอ ๆ กับท่านพ่อของข้าเลย…
ซานเป่ายื่นมือเล็กป้อมของนางออกไปก่อนจะคว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อของตู้เย่!
“ท่านลุงอยู่ในห้องไม่เบื่อหรือ? ท่านออกมาเล่นกับข้าเถิด!”
“…ตกลง” ตู้เย่ขานรับ
ตู้เย่รู้สึกว่าตอนนี้เขากำลังล้มเหลวในฐานะนักฆ่า ไม่เพียงแต่ถังหลี่จะไม่กลัวเขา แม้แต่ลูกของนางก็ยังไม่กลัวเขาเลย!
เขายังเป็น ‘เสวียน เซิง ตู้ เย่’ ชื่อที่ทำให้เด็กน้อยที่ได้ยินไม่กล้าร้องไห้งอแงกลางดึกอยู่หรือเปล่า?
“ท่านลุง ท่านตัวสูงมาก ข้าคุยกับท่านแล้วเมื่อยคอ ท่านทำให้ตัวเตี้ยลงหน่อยได้หรือไม่? “ซานเป่าแหงนหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่ไร้เดียงสา แก้มของนางป่องออกดูน่าขัน
ตู้เย่นั่งลงตรงหน้าของเด็กสาวและมองตุ๊กตาจิ๋วที่อยู่เบื้องหน้าตัวเอง
“เจ้าคนแคระ! ”
“ข้ายังเด็กอยู่! อีกไม่นานข้าก็จะสูงเท่าท่าน!” ซานเป่าเม้มปากแน่น
“เจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไรหรือ? ”
“กินเยอะ ๆ ก็จะโตไว ๆ ” ซานเป่ามั่นใจ
“กินเท่าไหร่ก็ไม่สูงเท่าข้าหรอก หากเจ้ากินมากมีแต่จะทำให้เจ้าอ้วนเป็นลูกหมู” คำพูดของเขากระทบใจของซานเป่าอย่างแรง
“ท่านลุงนิสัยไม่ดี! ข้าไม่สนใจท่านแล้วข้าจะไปเล่นกับพี่รอง!” ว่าแล้วนางก็รีบวิ่งไปหาพี่รองของนาง
เขามองเจ้าหัวไชเท้าน้อยที่วิ่งหนีไป รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาสนุกที่ได้แกล้งเย้าแหย่เด็กน้อยเช่นนี้ ไม่นานนักซานเป่าก็ลืมคำพูดของท่านลุง นางวิ่งกลับมาหาเขาอีกครั้ง เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาโตเป็นประกายแวววาว
“ท่านลุง! ท่านเก่งจริง ๆ …ท่านสอนข้าต่อสู้ได้หรือไม่? ซานเป่าอยากเป็นคนแข็งแกร่ง จะได้เอาชนะคนที่มารังแกท่านแม่ของข้า!”
“ข้าจะทดสอบเจ้าก่อน หากเจ้ารับหมัดของข้าได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ตกลงไหม? ” ตู้เย่ก้มมองเด็กน้อย
ซ่านเป่าพยักหน้าอย่างจริงจัง นางย่อขา กำมือเป็นหมัดน้อย ๆ ก่อนจะออกแรงเหวี่ยงชกตู้เย่
“ท่านลุงมาสู้กับข้า!”
ตู้เย่เหยียดแขนยาว ๆ ของเขา หลบเลี่ยงจากการปะทะกำปั้นของซานเป่า ก่อนที่จะดีดนิ้วไปที่หว่างคิ้วของเด็กหญิงตัวน้อย
ซานเป่าหงายหลังลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้น เด็กหญิงตกตะลึง นางจ้องมองตู้เย่ด้วยดวงตาที่กลมโตจากนั้นก็ตะโกนเสียงดังใส่เขา
“ท่านลุงนิสัยไม่ดี! ข้าไม่เล่นกับท่านแล้ว!” จากนั้นนางก็วิ่งหนีเขาไปอย่างรวดเร็วด้วยขาที่สั้น ๆ ป้อม ๆ ของนาง
หากไม่ใช่เพราะเขาติดนิสัยที่จะทำหน้าตาเย็นชาเคร่งขรึมแล้วละก็ ตู่เย่คงได้เท้าเอวหัวเราะลั่นไปแล้ว!
*****
ซานเป่าจดจำความแค้นครั้งนี้เอาไว้ นางไม่สนใจชายหนุ่มอีกต่อไป นางขี่ม้าไม้ไผ่ที่ถังหลี่ซื้อให้ออกไปที่ลานบ้าน ม้าไม้ไผ่ตัวนี้ตรงส่วนหัวถูกประดับตกแต่งเป็นหัวม้า เด็กหญิงชื่นชอบมันมาก นางขี่เล่นไปมาหลายครั้งจนใบหน้าแดงก่ำ ศีรษะของเด็กน้อยเต็มไปด้วยเหงื่อ การเล่นม้าไม้ไผ่สนุกมาก แต่ถ้าได้ขี่ม้าจริง ๆ ล่ะจะสนุกกว่านี้ไหม? ซานเป่าอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
ในขณะนั้นเองก็มีสายตาของเด็กชายคู่หนึ่งจับจ้องมาที่นางด้วยดวงตาเป็นประกาย ไม่ว่าซานเป่าจะขี่ม้าไม้ไผ่ไปที่ไหน เขาก็จ้องมองนางอย่างไม่คลาดสายตา ดวงตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและชื่นชอบเป็นอย่างมาก
พี่ชายคนนี้คือเพื่อนบ้านของนางหรือ?
ท่านแม่เคยบอกว่าถ้าซานเป่าใจดีมีน้ำใจต่อคนอื่น รู้จักแบ่งปันของเล่นให้ผู้อื่นมากขึ้น ซานเป่าจะเป็นเด็กที่มีเพื่อนฝูงมากมาย
“พี่ชายมาขี่ม้ากับข้าไหม? ” นางเอ่ยถามเด็กชาย
เด็กชายเขินอายเล็กน้อย แต่ความสนใจที่เขามีต่อม้าไม้ไผ่นั้นมีมากกว่า ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบกลับซานเป่า
“นี่ม้าไม้ไผ่ของข้า พี่ลองขี่ดูสิ” ซานเป่ามอบม้าไม้ไผ่ของตนให้เด็กชายลองเล่นอย่างไม่หวงของ
เขาคว้าม้าไม้ไผ่มาลองขี่เล่น ตอนแรกเด็กชายออกจะเขินอายอยู่บ้าง ต่อมาไม่นานนัก เขาก็เริ่มสนุกไปกับมัน พี่ชายข้างบ้านคนนี้ตะโกนร้องว่า “ฮี้ก็อบก็อบ” ราวกับกำลังขี่ม้าของจริงอยู่! เด็กชายเล่นอย่างมีความสุขเป็นเวลานาน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ตอนนี้เขาลังเลที่จะคืนม้าไม้ไผ่ให้ซานเป่า
เด็กหญิงมองดูอย่างใกล้ชิด ตอนแรกนางปรบมือให้กำลังใจพี่ชาย แต่ตอนนี้ซานเป่ากำลังมองเขาอย่างใจจดจ่อ
พี่ชายคนนี้จะเล่นเสร็จเมื่อไหร่กันนะ? ข้าอยากเล่นม้าไม้ไผ่ของข้าแล้ว!
เมื่อซานเป่าต้องการขอคืนม้าไม้ไผ่ของนาง ประตูบ้านข้าง ๆ ก็เปิดออกทันที
“จื้อเสวีย อาหารเย็นพร้อมแล้ว กลับบ้านมาทานได้แล้วลูก”
เยี่ยมมาก! พี่ชายคนนี้กำลังจะเข้าบ้านไปกินข้าวแล้ว ซานเป่าจะได้ม้าไม้ไผ่คืนแล้ว เด็กหญิงคิดอย่างมีความสุข!
ทันทีที่เฉียนกุ้ยอิงออกมาจากบ้าน ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนสีกะทันหันเมื่อเห็นลูกชายคนสุดท้องของนางกำลังเล่นกับเด็กบ้านนอก!
“จื้อเสวียใครสอนให้เจ้าเล่นของพรรค์นี้! เนื้อตัวสกปรกไปหมดแล้ว นี่เป็นของที่บัณฑิตควรเล่นหรือ?!” เสียงของเฉียนกุ้ยอิงปรี๊ดแหลมขึ้นมา
จื้อเสวียตกใจมากเขารีบโยนม้าไม้ไผ่ในมือทิ้ง ก่อนจะยืนก้มหัวให้มารดา ร่างเล็ก ๆ ของเขาขดกลมราวกับลูกบอล เฉียนกุ้ยอิงอุ้มบุตรชายของนางขึ้นมาในอ้อมกอด ก่อนจะปัดเศษฝุ่นบนร่างกายของเขา
“ทำไมเจ้าถึงไปเล่นกับนาง.. เป็นนางที่ชักชวนเจ้าให้เล่นด้วยหรือ? ” เฉียนกุ้ยอิงชี้ไปที่ซานเป่า
นางรู้ว่าการมีเพื่อนบ้านเป็นพวกบ้านนอกนั้นไม่ใช่สิ่งดีอะไร วันนี้ก็เห็นถึงข้อเสียของการมีเพื่อนบ้านแบบนี้แล้ว หากปล่อยให้ลูกชายนางไปคลุกคลีกับเด็กบ้านนอกแบบนี้คงไม่ดีแน่ เด็กพวกนี้โตขึ้นก็ไม่แคล้วเป็นพวกทำงานในไร่ในนา หรือเป็นบ่าวรับใช้ให้ผู้อื่น พวกเขาไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่เหมือนลูกของนางที่ต้องเป็นบัณฑิตในวันข้างหน้า!!
—————————–