ตอนที่ 75 คุณไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น

รักครั้งแรกของคุณชายปีศาจ

บทที่ 75 คุณไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น

ผมดำขลับของมู่เทียนซิงแผ่กระจายอย่างเป็นธรรมชาติ เธอสวมชุดสีเหลืองห่านแขนตุ๊กตาเสื้อคอวีเล็กน้อยเก็บเข้ารูป ส่วนกระโปรงสีเหลืองนั้นยังแต้มจุดสีขาวขนาดใหญ่ มองดูแล้วเหมือนชีสก้อนโต

เดิมทีคนตัวเล็กก็มีหน้าตาสะสวยและรูปร่างดี เมื่อยืนมองหน้ากระจกซ้ายขวา ท่าทางน่ารักฉลาดเฉลียวก็ทำให้ผู้คนประทับใจ

เธอสวมรองเท้าแตะสีขาว กระเป๋าสีเหลืองห่านเต็มไปด้วยสิ่งของที่จำเป็นในการออกไปข้างนอก

เมื่อลงมาชั้นล่าง เธอก็เอ่ยยิ้มกว้าง “คุณอาฉี! ฉันจะออกไปข้างนอก ให้คนขับช่วยเตรียมรถทีค่ะ!”

ฟางฉี ยิ้มน้อยๆ “คุณหนูใหญ่จะไปที่ไหน?”

แม้ว่ามู่อี้เจ๋อและภรรยาจะไม่ได้ห้ามมู่เทียนซิงออกจากบ้าน แต่ในฐานะพ่อบ้าน เขาย่อมต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องภายในบ้านเป็นธรรมดา

มู่เทียนซิงกำลังจะเอ่ยตอบ แต่กลับเห็นเงาร่างหนึ่งลุกขึ้นยืนจากโซฟา “เทียนซิง! เธอจะไปไหน? ฉันไปกับเธอ!”

เมิ่งเสี่ยวหลงยืนอยู่ที่เดิม เขาคิดจะก้าวเข้าไป แต่ก็กลัวว่าเธอจะไม่พอใจ

ก่อนหน้านี้เขาเคาะประตูอยู่ที่ทางเดินเป็นเวลานาน เขาทั้งขอโทษและเกลี้ยกล่อมเธอไม่หยุด แต่เธอก็ไม่สนใจมัน หัวใจของ เมิ่งเสี่ยวหลงจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ตั้งแต่เล็กจนโต เด็กคนนี้เคยมองเขาเป็นคนอื่นที่ไหนกัน? ทำไมจู่ๆถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้?

ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เทียนซิงก็หายไป หลังจากเงียบไปสองวินาที เธอก็เอ่ยกับเขา “ขอโทษด้วย ฉันมีนัดแล้ว ไม่สะดวก!”

“เทียนซิง!” เมิ่งเสี่ยวหลงไม่วางใจ “เธอนัดใครเอาไว้? ซือซ่าวหรือ?”

“ไม่ใช่”

“ผู้ชายหรือผู้หญิง?”

“นี่เป็นเรื่องของฉัน!”

“เทียนซิง!”

มู่เทียนซิงไม่มองเขาอีกต่อไป เธอขี้เกียจอธิบาย เธอสาวเท้าออกจากประตูห้องโถงไป แต่กลับถูกขวางโดยเมิ่งเสี่ยวหลง “เทียนซิง ฉันจะไปกับเธอ ยังไงเสียฉันอยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ พรุ่งนี้เสี่ยวหวี่ก็มาแล้ว พ่อแม่ของฉันก็มาเช่นกัน เสี่ยวหวี่สนิทกับเธอขนาดนั้น พ่อแม่ก็ดีกับเธออย่างมาก หากเธอยังคงทำตัวแข็งขืนกับฉันแบบนี้ต่อไป หากพวกเขาเห็นเข้าในใจคงรู้สึกเจ็บปวด?”

เมื่อคิดไปถึงเมิ่งเสี่ยวหวี่และพ่อแม่เมิ่ง มู่เทียนซิงก็ลังเลขึ้นมา

ยังไงเสียพวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก สนิทกันเสียยิ่งกว่าญาติ ทำไมถึงได้เหินห่างกันแบบนี้ขึ้นมา?

เธอมองดูเมิ่งเสี่ยวหลง ขมวดคิ้ว “ฉันจะพาคุณไปด้วยก็ได้ แต่คุณต้องรับปากว่าจะไม่พูดจาไร้สาระ!”

เมิ่งเสี่ยวหลงหัวเราะ เขารู้ว่าเด็กน้อยอย่างเธอนั้นช่างใสซื่อและใจอ่อน เอาพยักหน้าติดๆกัน “ได้! ฉันสัญญา”

เที่ยวตรง

ร้านหม้อไฟที่โด่งดังที่สุดในเมืองM

มู่เทียนซิงจองห้องส่วนตัวระดับสูงเอาไว้ เมื่อเธอมาถึง ที่นี่ก็มีหลายคนรอต่อแถวอยู่ข้างนอกแล้ว แต่เธอกับเมิ่งเสี่ยวหลงก็เข้าไปยังห้องส่วนตัวชั้นสี่ด้วยกัน

ห้องมีขนาดใหญ่มาก สภาพแวดล้อมดีอย่างยิ่ง แต่ที่หายากก็คือ ภายในห้องไม่มีกลิ่นหม้อไปเลยสักนิด

ในห้องมีห้องโถง และห้องน้ำ

โซฟาและโต๊ะน้ำชาถูกวางไว้ในห้องโถง ต้นไม้ต้นใหญ่สองต้นถูกวางไว้เป็นฉากกั้นระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหาร บนพื้นปูด้วยพรมดอกโบตั๋นสีน้ำตาลแดงพุทรา ขอบหน้าต่างไม้มะฮอกกานีถูกแกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วออกจะโบราณอยู่บ้างและสง่างาม

โต๊ะรับประทานอาหารเป็นแบบกลม มีหม้อขนาดเล็กสำหรับแต่ละคน

มู่เทียนซิงไม่รู้ว่าพวกหนีหย่าจูนมีกี่คน ดังนั้นจึงไม่ได้บอกไปว่าต้องการหม้อเล็กๆกี่ใบ

หลังจากเธอส่งที่อยู่ของห้องไปให้หนีหย่าจูน เธอก็นั่งบนโซฟากับเมิ่งเสี่ยวหลง

เมิ่งเสี่ยวหลงอาศัยช่วงเวลาก่อนที่แขกจะมา ไล่ถามคำถามมู่เทียนซิงนู่นนี่ แต่มู่เทียนซิงก็เอ่ยแค่ว่าเป็นเพื่อนที่เพิ่งจะรู้จักเมื่อไม่นาน และช่วยเธอเอาไว้สองครั้ง ดังนั้นจึงเชิญคนมาเลี้ยงเป็นการขอบคุณ

ในขณะที่เมิ่งเสี่ยวหลงจะเอ่ยถามอีกครั้ง ประตูห้องก็ถูกเคาะขึ้นเบาๆ

จากนั้นบริกรก็เปิดประตู ปรากฏเป็นใบหน้าที่งดงามโดดเด่นของหนีหย่าจูน

ไม่ว่าจะเป็นลูกครึ่ง หรือมองจากทางไหนๆ ก็ล้วนหล่อเหลาจนคนต้องหลั่งเลือด!

คนที่ยืนอยู่ข้างๆเขา หญิงสาวที่ช่วยเปิดประตูหน้าแดงขึ้นมา และเอ่ย “คุณหนูมู่ เป็นแขกของคุณใช่หรือไม่?”

“พี่หยาจูน!” มู่เทียนซิงรีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว และทักทายอย่างสนิทสนม จากนั้นจึงเอ่ยกับบริกร “อืม คนมาแล้ว”

หนีหย่าจูนยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีอำพันเงาแวววาวของเขาส่องประกาย แต่ความสนใจกลับไม่ได้อยู่ที่เธอ แต่เป็นเด็กชายที่อยู่ด้านหลังของเธอ “นี่ก็คือพี่ชายใหญ่เพื่อนบ้านของเธอ?”

มู่เทียนซิงพยักหน้า จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาหนีหย่าจูนเพื่อเชิญเขาเข้ามา แต่กลับพบว่า เงาร่างของหนีหย่าจูนหันข้างไปจากนั้นจึงเดินก้าวเข้ามาต่อไปไม่กี่ก้าวเพื่อหลีกทางให้!

เก้าอี้ล้อเลื่อนสีเงิน และชายหนุ่มที่เปล่งประกายระยิบระยับราวกับแสงจันทร์

“คุณอา!”

มู่เทียนซิงไม่อยากจะเชื่อว่าจะเห็นหลิงเล่ที่นี่ ขาของเขาไม่ดี การมาที่นี่เพื่อทานอาหารไม่สะดวกอย่างมาก!

หลิงเล่มองไปที่เมิ่งเสี่ยวหลงที่อยู่ด้านหลังของเธอด้วยสีหน้าอึมครึม ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

หนีหย่าจูนหัวเราะ “โชคดีที่ที่เธอจองมีลิฟต์ ไม่อย่างนั้น ฮ่าฮ่า ~”

ไม่เช่นนั้นเก้าอี้รถเข็นของหลิงเล่ไม่มีทางขึ้นมาได้!

“คุณอา!” มู่เทียนซิงเดินไปที่ด้านหลังของเก้าอี้รถเข็นของหลิงเล่ จากนั้นจึงเข็นเขาเข้ามา จะวิ่งออกไปที่ประตูมองซ้ายมองขวาราวกับขโมย จากนั้นจึงกลับมาและปิดประตูลง “คุณอา พวกจั๋วซีล่ะ? ยังมีพี่หย่าจูน ทำไมมีแค่คุณคนเดียว?”

เมิ่งเสี่ยวหลงที่อยู่ไม่ไหว ราวกับกำลังไม่พอใจที่เขาคล้ายจะถูกลืม

ตั้งแต่มู่เทียนซิงทักทายกับหนีหย่าจูน เขาก็เป็นฝ่ายยื่นมือออกไปทักทายกับหนีหย่าจูนก่อน “เมิ่งเสี่ยวหลง คู่หมั้นของมู่เทียนซิง”

เขายอมรับ ชายทั้งสองคนตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นหนีหย่าจูน หรือหลิงเล่ ล้วนหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร ทำให้ตนทั้งโกรธและหึง!

แต่แล้วยังไงกัน?

หล่อไม่สามารถรับประทานเป็นอาหารได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในสายตาของมู่อี้เจ๋อและภรรยาของเขา เมิ่งเสี่ยวหลงเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุด นั่นก็เพียงพอแล้ว!

หนีหย่าจูนยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและมองดูมู่เทียนซิงอย่างลึกซึ้ง แต่กลับไม่ยื่นมือจับเมิ่งเสี่ยวหลง

เมื่อมู่เทียนซิงได้ยินคำพูดของเมิ่งเสี่ยวหลง เธอก็โต้กลับทันที “พี่เสี่ยวหลง! คุณอย่าพูดเรื่องไร้สาระอีกต่อไป!”

เขาสัญญากับเธอแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องไร้สาระ เธอถึงได้พาเขามา

ตอนนี้มาถึงที่แล้ว แขกก็มาแล้ว คุณอาก็มาด้วย แต่ทำไมเขาถึงได้เอ่ยพูดจาแบบนี้?

เมิ่งเสี่ยวหลงไม่สนใจมู่เทียนซิง เขากล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ได้ยินว่าคุณช่วยเทียนซิงของพวกเราเอาไว้สองครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ทราบสถานการณ์ที่ชัดเจน แต่ก็ต้องขอบคุณคุณ”

“ฮ่าฮ่า” หนีหย่าจูนหัวเราะ

เขาเดินตรงไปที่ห้องอาหาร แผ่นหลังอันอบอุ่นแต่กลับให้ความรู้สึกเป็นอิสระเหนือโลกใบนี้ “บนโลกใบนี้ ผู้ชายที่โชคดีพอที่จะได้จับมือของผมมีไม่มากนัก ทำยังไงดี คุณไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกเขา”

เมิ่งเสี่ยวหลงขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเอ่ยอย่างไม่ไหว้หน้า “คุณเป็นแขก แต่การฝึกฝนขั้นพื้นฐานและมารยาทดูเหมือนจะยังขาดไปมาก”

“ต่อให้เป็นต่อหน้าเจ้าแผ่นดิน ผมก็เป็นแบบนี้ ทำไม คุณถือสาหรือ?” หนีหย่าจูนหัวเราะเยาะ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เห็นเมิ่งเสี่ยวหลงอยู่ในสายตา “หนูน้อย เธอเชิญฉันมาทานข้าว เพื่อขอบคุณฉัน แต่มีผู้คนมากมายที่ต้องการเชิญชวนฉันไปทานอาหารเย็น ไม่ใช่ว่าหมาแมวทั่วไปจะมาทานข้าวโต๊ะเดียวกันกับฉันได้!”