ตอนที่ 142 สมควรแล้วที่จะปกป้องเจ้า ตอนที่ 143 บุตรสาวคน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 142 สมควรแล้วที่จะปกป้องเจ้า / ตอนที่ 143 บุตรสาวคนโตตระกูลฉินรูปโฉมอัปลักษณ์
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 142 สมควรแล้วที่จะปกป้องเจ้า
“พวกเราต้องรับผิดชอบแทนเจ้า! ”
ฉินหลิวซีมองสะใภ้หวังด้วยท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย มีความรู้สึกแปลกๆ ในอก บอกไม่ถูกว่าคืออะไร วูบๆ วาบๆ เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก
“ท่านแม่จะบอกว่าข้าผิดหรือ” นางถามพลางเม้มริมฝีปาก ผิดตรงไหน พูดความจริงก็ผิดหรือ
เมื่อสะใภ้หวังเห็นว่านางเหมือนสุนัขตัวน้อยที่สับสนทำตัวไม่ถูก ก็ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจ
ฉินหลิวซีจากบ้านไปตั้งแต่อายุห้าขวบ ตอนที่ทั้งสองคนพบกันคือก่อนที่นางจะอายุห้าขวบ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตัวเองเคยสูญเสียบุตรชายไปหนึ่งคนตั้งแต่ยังเด็ก หัวใจรู้สึกห่อเหี่ยว โชคดีที่มีบุตรชายอีกคน กลัวว่าเขาจะจากไปเหมือนบุตรชายคนโต จึงเอาแต่กังวลทั้งวันทั้งคืน จึงให้ความสนใจเขามากเกินไปจนละเลยฉินหลิวซีซึ่งมีอายุมากกว่าบุตรชายคนรองเพียงสามปีเท่านั้น
จะว่าไปแล้วพวกนางก็ไม่ได้มีช่วงเวลาและความรักต่อกันมากนัก ฉินหลิวซีไม่เข้าใจความรู้สึก ตัวเองจะเข้าใจสักเท่าไหร่กันเชียว
ไม่ว่าเด็กคนนี้จะสงบเยือกเย็นมากเพียงใด ก็เป็นเพียงเด็กที่พึ่งจะอายุครบสิบห้าปีและเติบโตขึ้นมาด้วยตัวเอง
สะใภ้หวังก้าวเข้าไปจับมือฉินหลิวซี เดินมุ่งไปที่ลานของเรือนตัวเองพร้อมกับนางพลางเอ่ย “จะว่าเจ้าผิดก็ไม่ใช่ทั้งหมด เจ้าเพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างอิสระจนเคยชิน ไม่มีใครมาสอนเจ้าเกี่ยวกับกฎมารยาททางโลกเช่นนี้”
สะใภ้หวังก้าวเข้าไปจับมือฉินหลิวซี เดินมุ่งไปที่ลานของเรือนตัวเองพร้อมกับนางพลางเอ่ย “จะว่าเจ้าผิดก็ไม่ใช่ทั้งหมด เจ้าเพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างอิสระจนเคยชิน ไม่มีใครมาสอนเจ้าเกี่ยวกับกฎมารยาททางโลกเช่นนี้”
“ซีเอ๋อร์ ข้าเห็นว่าเจ้าประพฤติตนอย่างไรในชีวิตประจำวัน คนของเสวียนเหมินไม่ควรถูกทางโลกควบคุมจนเกินไป ควรเป็นอิสระ ไม่มีการผูกมัด แต่ในต้าเฟิงผู้ปกครองดูแลอาณาจักรด้วยความกตัญญู ในทางโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูลชนชั้นสูง ความกตัญญูและมารยาทเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เช่นเดียวกันกับที่เจ้าล่วงเกินท่านย่าเมื่อครู่ หากเผยแพร่ออกไปจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ขึ้นชื่อว่าอกตัญญูไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับได้ ต่อให้อยู่ในตำแหน่งสูงแต่ก็ไม่มีใครกล้าแบกรับชื่อเสียงอกตัญญูได้”
ฉินหลิวซีเงียบไป นางอกตัญญูอย่างนั้นหรือ
“สิ่งที่เจ้าพูดกับท่านย่าเมื่อครู่อาจจะถูก แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าท่านย่าอายุมากแล้ว ร่างกายไม่แข็งแรง หากถูกเจ้าทำให้โกรธจัดจนเป็นอะไรขึ้นมา ร่างกายท่านย่ายังพอให้หมอช่วยรักษาได้ แต่เจ้าจะสามารถกำจัดความอัปยศที่ได้ชื่อว่าอกตัญญูได้หรือ”
ฉินหลิวซีรีบเอ่ยว่า “ท่านแม่วางใจได้ ข้าเป็นหมอนักพรตเต๋ามีวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าท่านย่าจะโกรธจนเป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านย่าเป็นอะไรไปแน่ๆ เจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังสำลัก “…”
เจ้าพูดออกมาทำเอาข้าไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ยว่า “แต่ท่านแม่ยอมปกป้องข้าเช่นนี้ หลิวซียอมรับน้ำใจจากท่านเจ้าค่ะ”
นางถอยหลังหนึ่งก้าว ย่อเข่าคำนับสะใภ้หวังอย่างเคร่งขรึม
สะใภ้หวังเอ่ย “ซีเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพกับข้ามากนัก เจ้าจำไว้ว่าเจ้าคือบุตรสาวคนโตของบ้านเรา เป็นหน้าที่ของแม่ใหญ่อย่างข้าที่ควรจะปกป้องเจ้า เจ้าเป็นคนดีมาก หลายปีมานี้พวกเราเป็นหนี้เจ้าแล้ว”
ช่างเถิด บางอารมณ์ย่อมบังคับกันไม่ได้ วันเวลายังอีกยาวนาน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถิด
“คือว่า ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องตระกูลจ้าวแล้วจริงๆ หรือ” สะใภ้หวังคิดถึงสิ่งที่นางพูด เอ่ยว่า “หนอนงอลำตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อยึดตัวไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด มังกรและงูจำศีลในหน้าหนาวเพื่อรักษาชีวิตไว้ จริงๆ แล้วการก้มศีรษะนั้นก็ไม่ได้มีอะไรหน้าอาย รู้จักแข็งรู้จักอ่อนเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นผู้สำเร็จได้”
สถานการณ์ไม่ได้ดีไปกว่าผู้อื่น จะก้มศีรษะก็ไม่ใช่เรื่องผิด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปกป้องคนในตระกูล รอแสงในภายภาคหน้าส่องมาถึง
“ตระกูลจ้าวไม่คู่ควร!” ฉินหลิวซีสบถอย่างเย็นชา เอ่ย “ท่านแม่ฟังข้าก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวเขา ท่านอยากไปที่ไหนก็ไปได้ทุกที่ หากมีคนรังแกก็ให้มาหาข้า”
สะใภ้หวังหัวเราะ “คำพูดของเจ้าราวกับเจ้าแห่งขุนเขาเสียจริง”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว “ข้าหมายความเช่นนั้นจริงๆ นะเจ้าคะ”
“ก็ได้” สะใภ้หวังเอ่ยว่า “เช่นนั้นคืนนี้ทานอาหารเย็นด้วยกันเถิด สองสามวันนี้ฉุนเอ๋อร์เอาแต่คิดถึงเจ้า”
“เจ้าค่ะ จะได้ดูด้วยว่าเขาเขียนอักษรเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉินหมิงฉุนที่พึ่งวางพู่กันลงยืดตัวบิดขี้เกียจ ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง แย่แล้ว มีลางร้าย!
ตอนที่ 143 บุตรสาวคนโตตระกูลฉินรูปโฉมอัปลักษณ์
ยามกลางคืน บ้านเรือนหลายหมื่นหลังสว่างไสวด้วยแสงไฟ เรือนหลังหนึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำหลี เป็นหนึ่งในจวนที่มีประตูสามชั้น โคมไฟสว่างไสว แต่กลับเงียบสงบ
“ฉังคง เจ้าแน่ใจหรือว่าจะอยู่ที่นี่” ฉีเชียนมองไปยังบุรุษที่แทบจะกลมกลืนกับสีท้องฟ้ายามค่ำคืน ถามว่า “แม้ว่าสภาพแวดล้อมที่นี่จะเงียบสงบ แต่ก็แคบอยู่เล็กน้อย”
อวี้ฉังคงไม่ได้หันกลับมา เอ่ยว่า “เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยชั่วคราว ข้าเองก็ไม่ชอบให้มีคนมากมายคอยปรนนิบัติ แค่จวนเล็กๆ ก็เพียงพอแล้ว”
“แต่ว่า…”
“อีกอย่างข้าก็เป็นแค่คนตาบอด อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน” เสียงของอวี้ฉังคงเบาและเย็นชา
ฉีเชียนสำลัก เอ่ยว่า “อาจารย์ปู้ฉิวจะต้องรักษาโรคตาของเจ้าหายอย่างแน่นอน”
อวี้ฉังคงไม่ตอบราวกับว่าไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
“อย่างไรเสียข้าก็ขี้เกียจไปอยู่เรือนรับรองที่ตระกูลอวี๋เตรียมไว้ ดังนั้นข้าจะอยู่ที่นี่กับเจ้า พรุ่งนี้จะได้ไปอารามชิงผิงพร้อมกับเจ้า” ฉีเชียนเอ่ย
ในที่สุดอวี้ฉังคงก็หันกลับมา เปลือกตากระตุกเล็กน้อย ก้มหน้าลง เอ่ยว่า “แน่ใจหรือว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อทำงาน”
หมายความว่าเหตุใดจึงมีเวลาว่างพอที่จะพาเขาไปรักษาที่อารามเต๋า
ฉีเชียนใบหน้าร้อนผ่าว เอ่ยว่า “แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง”
อวี้ฉังคงไม่ได้เอ่ยอะไร
ในขณะเดียวกันฉีเชียนถูกอิงเป่ยเรียกตัวออกไป
ซื่อฟังหยิบเสื้อคลุมออกมาสวมให้อวี้ฉังคง เอ่ยว่า “คุณชาย ลมพัดแรงแล้ว เข้าไปในห้องเถิดขอรับ”
อวี้ฉังคงเอ่ย “เสียงเสียดสีของไผ่ข้างนอกจะคงอยู่ทั้งคืนหรือไม่”
ซื่อฟังมองไปตามสายตาของเขา มีเสียงไผ่เสียดสีกันดังขึ้นเป็นพักๆ เอ่ยว่า “ข้างหน้ามีบ้านเรือแพอยู่สองลำ คงจะจอดอยู่ที่นี่ทั้งคืนกระมัง หากคุณชายคิดว่าเสียงดัง ข้าจะให้ลุงเฉียนไปหาที่พักใหม่ดีหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ต้องหรอก เสียงดังเช่นนี้ก็ดี มิเช่นนั้นค่ำคืนอันยาวนานเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะผ่านไปได้อย่างไร”
“คุณชาย…” ซื่อฟังรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
อวี้ฉังคงหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง เอ่ยว่า “อีกอย่าง คิดว่าคงพักที่นี่ไม่นาน”
ซื่อฟังรู้สึกหดหู่ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไป

ฉีเชียนกำลังฟังหั่วหลางรายงานข่าวสารที่ได้รับจากการสอบสวน
“…ช่างบังเอิญเสียจริง ตอนที่พวกเรากำลังเข้าเมือง คนตระกูลฉินเกิดมีเรื่องขัดแย้งกับคนตระกูลจ้าวพ่ะย่ะค่ะ”
“ตระกูลจ้าว? ” ฉีเชียนหยุดชะงักขณะที่กำลังยกถ้วยชา
“คือจ้าวผิง รองนายอำเภอเมืองหลี เขาเป็นพี่ชายของลูกพี่ลูกน้องนายหญิงสามตระกูลเหมิง ตระกูลจ้าวถือว่าเข้ากับตระกูลเหมิงแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นตระกูลจ้าวที่ไร้เหตุผลก่อนพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของหั่วหลางแฝงไว้ด้วยความดูหมิ่น
“หมายความว่าอย่างไร”
“วันนี้ตอนเข้าเมือง นายหญิงใหญ่ฉินซึ่งเป็นภรรยาเอกของฉินปั๋วหง ได้ยินว่านางกับนายหญิงรองฉินไปไว้พระที่วัดอู๋เซียงด้วยกัน ตอนขากลับเข้าเมืองก็ต่อแถวเข้าเมืองตามปกติ แล้วรถม้าของตระกูลจ้าวก็มาชน คนที่อยู่ข้างในรถม้าตระกูลจ้าวไม่ใช่คนตระกูลจ้าว แต่เป็นสะใภ้เจิ้งคนน้อง น้องสาวของภรรยารองนายอำเภอจ้าว ซึ่งมาเยี่ยมฮูหยินจ้าวพ่ะย่ะค่ะ”
“สะใภ้เจิ้งคนน้องผู้นั้นเป็นคนหยิ่งยโส เมื่อได้รู้สถานะของพวกนายหญิงใหญ่ฉินจากคนรับใช้ตระกูลจ้าว ต่อให้นายหญิงตระกูลฉินยอมถอยให้ ก็ยังคงไม่ลดละ จะให้พวกนางก้มหัวขอโทษให้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฉีเชียนได้ฟังเช่นนี้ก็เผยสีหน้ารังเกียจออกมา เอ่ย “ก็แค่สุนัขที่อาศัยบารมีผู้อื่นรังแกชาวบ้าน รองนายอำเภอจ้าวเป็นเพียงพี่ชายของลูกพี่ลูกน้องของนายหญิงสามตระกูลเหมิง เมื่อมีความสัมพันธ์กับตระกูลเหมิง แม้แต่คนในตระกูลภรรยาของเขาก็หยิ่งผยองตามกันไปด้วย ตระกูลเหมิงได้ดี หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดีไปด้วย”
“ใช่แล้ว ทุกคนในใต้หล้านี้ต่างก็เอาชีวิตรอดโดยการหาผลประโยชน์จากสิ่งต่างๆ ทั้งนั้น แต่เป็นเพียงแค่น้องสาวภรรยารองนายอำเภอจ้าวก็ยังรังแกคนเช่นนี้ หากเป็นคนของตระกูลที่มีฐานะสูงศักดิ์กว่านี้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเบ่งอำนาจแค่ไหนพ่ะย่ะค่ะ” หั่วหลางเองก็ทอดถอนใจ

รองนายอำเภอจ้าวเป็นเพียงแค่ขุนางระดับห้า น้องสาวภรรยาของเขาก็อาศัยอำนาจเขามารังแกผู้อื่นเช่นนี้แล้ว หากเป็นขุนนางคนอื่นที่มีตำแหน่งสูงกว่าเล่า
ฉีเชียนลูบลวดลายบนถ้วยชา คิดว่านี่อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาที่โผล่ออกมาให้เห็น พระสนมเหมิงกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปราน ตระกูลเหมิงมีหน้ามีตาขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาคงจะเป็นเช่นนั้นแล้ว
ในใจฉีเชียนรู้สึกรังเกียจ ยกชาขึ้นมาจิบ แม้ว่าเขาจะดูถูกตระกูลเหมิงที่ใช้สตรีเพื่อให้ได้รับความโปรดปราน แต่กลับไม่กล้าบอกว่าฮ่องเต้เลอะเลือน
“แล้วตระกูลฉินล่ะ”
“เมื่อตระกูลฉินกลับมาที่เมืองหลีก็แทบจะไม่ออกไปไหน ถ่อมตนเป็นอย่างมาก วันนี้เป็นครั้งแรกที่ออกจากเมืองไปจุดธูปไหว้พระ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับตระกูลจ้าวที่ไม่ลงรอยกับตระกูลฉิน ตระกูลฉินมีแต่เด็ก สตรี คนชรา หากไปทำให้ตระกูลจ้าวขุ่นเคืองเข้า เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะตั้งหลักในเมืองหลีในภายภาคหน้าพ่ะย่ะค่ะ” หั่วหลางตอบ “นอกจากนี้ดูเหมือนว่าตระกูลฉินอยากจะไปเยี่ยมนางติงผู้เฒ่า ซึ่งบังเอิญเป็นช่วงเวลาที่พวกเราพบกับคนตระกูลติงที่จุดพักม้าก่อนถึงเทศกาลโคมไฟพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเชียนเข้าใจทันทีว่าตระกูลติงจงใจหลบ มิเช่นนั้นเหตุใดนางติงผู้เฒ่าจึงต้องไปฉลองเทศกาลโคมไฟที่เมืองหลวง คงกลัวว่าหากไปมาหาสู่กับตระกูลฉินจะทำให้ตระกูลเหมิงไม่พอใจกระมัง
เมื่อบุคคลสูญเสียอำนาจ มักจะถูกคนอื่นๆ ใช้โอกาสนี้โจมตีให้ล่มจมลงโดยสิ้นเชิง
“ตระกูลฉินถูกยึดทรัพย์ไม่เหลือ ตอนนี้ที่บ้านเดิมก็มีเพียงสตรีและคนชรา พวกเขาจะเอาอะไรมาประทังชีวิต” ฉีเชียนถาม
หั่วหลางเอ่ยว่า “แม้ว่าการยึดทรัพย์ตระกูลฉินจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหลีกเลี่ยงไม่ทัน ตอนที่พวกเขาออกจากเมืองหลวงก็มีคนคอยช่วยเหลือพวกเขาลับๆ เสมอ เพียงแต่ในแต่ละวันต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเท่านั้น พวกหั่วอิงและคนอื่นๆ พบว่าตระกูลฉินซื้อที่ดินในอำเภอถัดไปภายใต้ชื่อของผู้ดูแลจวนเก่า นอกจากนี้ท่านอาหญิงใหญ่ตระกูลฉินที่ถูกตระกูลซ่งทอดทิ้งกลับมาก็ได้หางานทำในร้านอาหาร สตรีในบ้านส่วนใหญ่ก็ทำงานฝีมือแลกเงินขอรับ”
ฉีเชียนเอ่ย “นอกจากบุรุษที่ถูกเนรเทศแล้ว ตอนนี้ในตระกูลฉินมีใครอีกบ้าง”
“บ้านใหญ่ฉินปั๋วหงมีบุตรชายสองคนและบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายคนโตพึ่งอายุได้สิบสองปีเต็มจึงถูกเนรเทศด้วย แต่บุตรสาวคนโตผู้นี้…” หั่วหลางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง
ฉีเชียนหันไปมอง “มีอะไรหรือ”
มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของหั่วหลางอย่างรวดเร็วจนเขาจับมันไว้ไม่ทัน จึงส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “บุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่แปลกเล็กน้อย ได้ยินว่านางถูกเลี้ยงดูที่บ้านเก่าเพราะสุขภาพไม่ดีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ก่อนที่คนตระกูลฉินจะกลับมา นางอาศัยอยู่บ้านเก่ากับคนรับใช้อย่างสันโดษ ไม่เคยถูกพากลับเมืองหลวงและไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นพ่ะย่ะค่ะ”
“อยู่คนเดียวหรือ” ฉีเชียนก็รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยเช่นกัน
หั่วหลางพยักหน้า “หั่วอิงตรวจสอบไม่พบอะไร รู้เพียงว่าตระกูลฉินมีบุตรสาวคนหนึ่งที่เลี้ยงดูในบ้านเก่า สุขภาพและเวลาตกฟากของนางไม่ค่อยดีนัก”
ฉีเชียนเอ่ยเสียดสี “เช่นนั้นตระกูลฉินก็โหดร้ายเกินไปแล้ว ทิ้งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ให้อาศัยอยู่บ้านเดิม แล้วยังบอกว่าเพื่อดูแลร่างกายของนาง เป็นการกดดันให้นางตายมากกว่ากระมัง”
“อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องในครอบครัว หั่วอิงก็ไม่ได้ตามสืบไปมากกว่านี้ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ใช่ว่าตระกูลขุนนางอื่นๆ จะไม่มีเรื่องเช่นนี้ เด็กสาวตระกูลฉินผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นบุตรสาวอนุ หากนางไม่ได้มีปัญหาเรื่องร่างกายหรือเวลาตกฟาก เช่นนั้นก็อาจจะมีรูปโฉมอัปลักษณ์หรือมีข้อบกพร่องบางประการ แต่ก็เป็นเรื่องดีที่นางถูกส่งมาตั้งแต่อายุยังน้อย หากถูกส่งมาตอนเกือบจะเป็นสาวแล้ว ก็จะยิ่งถูกคนวิพากษ์วิจารณ์จนเป็นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วพ่ะย่ะค่ะ” หั่วหลางเอ่ยด้วยความเห็นใจ
อาจารย์ปู้ฉิวที่รูปโฉมอัปลักษณ์ลูปใบหน้าอันงดงามแล้วสบถเบาๆ ดวงตาฝ้าฟางเป็นโรคอย่างหนึ่งต้องรักษา
ฉีเชียนเงียบไปครู่หนึ่ง เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร หากเด็กหญิงที่เกือบโตเป็นสาวแล้วถูกส่งไป เกรงว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นทำให้ชื่อเสียงเสียหายกระมัง
สายตาของผู้คนช่างน่ากลัว ตระกูลชนชั้นสูงที่มีกฎที่เข้มงวดยิ่งให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของสตรี
มีแสงสว่างผ่านวาบเข้ามาในหัวของฉีเชียน เขาถามว่า “บุตรสาวคนโตของฉินปั๋วหงผู้นั้นมีชื่อเล่นว่าอะไร”