ตอนที่ 63 จบลงดื้อๆ

ไม่นานฮั่นจี้เหม่ยก็ตระหนักได้ว่าความคิดของตนนั้นเลยเถิดไปมากแค่ไหน

แน่นอนว่าฉู่ขวงไม่มีทางเขียนเนื้อเรื่องที่เสียดสีเพียงเพราะต้องการเสียดสีพรรค์นั้นหรอก

[ในครอบครัวอันแสนอัตคัดนี้ มีของสองสิ่งซึ่งล้ำค่าที่สุดสองอย่าง อย่างแรกคือนาฬิกาทองคำซึ่งตกทอดมาสามรุ่นของคุณเอ อีกอย่างหนึ่งคือเส้นผมของคุณนายเอ ถ้าหากมีหญิงสาวที่มั่งคั่งและหน้าตาสะสวยอาศัยอยู่ฝั่งตรงข้าม คุณนายเอก็จะปล่อยเรือนผมสยายออกไปตากแดดนอกหน้าต่าง ทำให้เพชรนิลจินดาและของขวัญของหญิงสาวดูหมดราคาไป ถ้าหากมีชายหนุ่มฐานะร่ำรวยนำทรัพย์ศฤงคารเข้ามาในห้องใต้ดิน คุณเอก็จะหยิบนาฬิกาทองคำออกมาดูทุกครั้งที่เดินผ่าน เพื่อให้อีกฝ่ายอิจฉาจนหนวดกระตุกตาลุกเป็นไฟ]

นี่คือวิธีการบรรยายที่พิเศษมากอย่างหนึ่ง

เพราะบนบลูสตาร์ไม่มีการถอดเสียงภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีน ดังนั้นในครั้งแรกที่เห็นการบรรยายประเภทนี้ ฮั่น

จี้เหม่ยถึงกับรู้สึกสนุกขึ้นมาหลังจากลองออกเสียงอย่างยากเย็น

เอาเถอะ ฮั่นจี้เหม่ยรู้แล้วว่าคุณนายเอคิดจะขายเส้นผม

นี่เป็นการตัดสินใจอันยากลำบากอย่างหนึ่ง เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่คุณนายเอหวงแหนและภาคภูมิใจ

[เรือนผมงดงามของเธอนั้นแผ่สยายระร่างกาย ประดุจสายน้ำตกสีนิล ดำขลับทอประกาย

เส้นผมของเธอตรงยาวลงมาต่ำกว่าเข่า ราวกับเป็นชุดเดรสคลุมร่างของเธอ

เธอรีบร้อนรวบผมกลับอย่างกระวนกระวาย

เธอลังเลอยู่สักพัก ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ หยาดน้ำตาร่วงเผาะลงบนพรมสีแดงผืนเก่าคร่ำคร่า]

เนื้อเรื่องยิ่งบรรยายว่าเส้นผมของคุณนายเองดงามมากเท่าไหร่ ฮั่นจี้เหม่ยก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเสียดายและปวดร้าวของหญิงสาว

ทว่าสุดท้ายแล้วหญิงสาวก็นำเส้นผมอันเป็นความภาคภูมิใจไปขาย หนำซ้ำยังแลกมาเป็นเงินยี่สิบหยวนได้สำเร็จ

และของขวัญที่เธอซื้อก็คือสายคล้องนาฬิกาสีขาว ราคายี่สิบสามหยวน นี่เป็นราคาสูงสุดที่ได้รับหลังจากต่อรองกับเถ้าแก่อยู่ครึ่งชั่วโมง

คุณนายเอนำเงินที่เหลืออยู่แปดเหมากลับบ้านมาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

ความจริงแล้ว…

[ถึงแม้ว่านาฬิกาของคุณเอจะหรูหรา แต่ก็เพราะใช้สายหนังทรุดโทรมเส้นหนึ่งมาทำเป็นสายคล้อง บางครั้งเขาจึงลอบหยิบขึ้นมองก็เท่านั้น]

เมื่อกลับถึงบ้าน เธอมองกระจกครั้งแล้วครั้งเล่า

เธอซึ่งมีผมสั้นกุดพันผ้าไว้ แลดูเหมือนกับนักเรียนเด็กประถมที่โดดเรียน

เธอเริ่มกังวลขึ้นมา

ถ้าสามีรู้จะโมโหไหม

จะตำหนิด่าทอเธอหรือเปล่า

ถึงอย่างไรเขาก็เคยเอ่ยชมเรือนผมของเธอนับครั้งไม่ถ้วน ตนซึ่งปราศจากผมยาวสลวย สำหรับเขาแล้วจะยังสวยอยู่หรือไม่

เธอใคร่ครวญ ในใจก็กระวนกระวาย

อ่านถึงตรงนี้ ฮั่นจี้เหม่ยก็นึกสงสารหญิงสาวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ถ้าหากบนโลกนี้มีราชวงศ์ถัง ฮั่นจี้เหม่ยจะต้องนึกโยงถึง ‘คู่สามีภรรยาที่ยากจนย่อมมีแต่ความทุกข์ระทม’ และรู้สึกกังวลขึ้นมา

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ควรเกิด สุดท้ายก็ต้องเกิด

เรื่องราวยังคงบรรยายจากมุมมองของคุณนายเอ

[ประตูเปิดออก สามีของเธอเดินเข้ามา พลางเอื้อมมือปิดประตู เขาผ่ายผอม ท่าทางเคร่งขรึม คนที่น่าสงสาร เขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบสองปีก็ต้องแบกรับภาระในครอบครัว! เขาไม่มีเสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่ต้องการ ไม่มีแม้แต่ถุงมือ]

เธอรักสามีของตนมากจริงๆ

ไม่ใช่เพราะฉู่ขวงใช้สำนวนภาษาซึ่งพรรณนาความรักอันซื่อสัตย์ หากแต่ความรู้สึกเปี่ยมล้นถูกถ่ายทอดผ่านรายละเอียดในแต่ละตัวอักษร

สามีจะโกรธไหม

ฮั่นจี้เหม่ยถึงขั้นไม่กล้าอ่านต่อ แต่สุดท้ายเธอก็อ่านต่อจนได้

[“คุณไปตัดผมมาเหรอ?” สามีเอ่ยถามอย่างปวดใจ ราวกับว่าหลังจากที่เขาเค้นสมองขบคิด ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องที่ชัดเจนและง่ายดายเช่นนี้ได้]

นี่เรียกว่าโกรธไหมนะ

ฮั่นจี้เหม่ยสงสัยในความคิดของสามีเช่นเดียวกับคุณนายเอ เธอไม่รู้ว่าอีกชั่วครู่หนึ่ง เขาจะบันดาลโทสะฟาดฝ่ามือมาหรือเปล่า

ผู้ชายเลวๆ ถึงจะทำแบบนี้!

ถ้าหากเป็นแบบนั้น หลังจากนี้เธอคงทำใจอ่านนิยายของฉู่ขวงไม่ลงแล้ว

[“ไม่ได้แค่ตัด แต่ขายไปแล้ว” คุณนายเอเอ่ยถาม “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร คุณยังรักฉันเหมือนเดิมมั้ยคะ ถึงแม้จะไม่มีผมแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นฉันไม่ใช่เหรอคะ”]

เธอพูดอย่างระมัดระวังด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

ในตอนนี้เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงตอนจบ

ฮั่นจี้เหม่ยนึกไม่ออกว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร จนกระทั่งเธออ่านข้อความท่อนต่อมา

[สามีหยิบสิ่งของห่อหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม ก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ

“อย่าเข้าใจผมผิดนะ ที่รัก” เขาพูด “ไม่ว่าคุณจะตัดผม โกนผม หรือว่าสระผม ความรักที่ผมมีต่อภรรยาก็ไม่มีทางลดลง แต่เมื่อคุณเปิดของห่อนี้ออก คุณก็จะเข้าใจว่าทำไมเมื่อกี้ผมถึงอึ้งไป”

นิ้วเรียวขาวผ่องแกะเชือกและกระดาษห่อของออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะมีเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจตามมา จากนั้น ไอ้หยา! กลับกลายเป็นหยาดน้ำตาและเสียงร่ำไห้จากใจของหญิงสาว จนเจ้าของอพาร์ตเมนต์ต้องรุดเข้ามาปลอบประโลมเธอ]

มันคือหวี!

สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้า สิ่งที่สามีหยิบออกมา ก็คือหวีซึ่งใช้ทัดประดับบนเส้นผม

ชุดหวีทั้งชุด สำหรับประดับจอนผม สำหรับประดับด้านหลัง ล้วนมีพร้อมสรรพ

ที่แท้ก็เป็นของซึ่งอยู่บนชั้นวางสินค้าของถนนอันพลุกพล่านสายหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปจากอพาร์ตเมนต์ และเป็นสิ่งที่คุณนายเอปรารถนามาเนิ่นนาน แต่ทว่ามันแพงเกินไป เธอตัดใจซื้อไม่ลง และไม่มีเงินซื้อด้วย

นี่เป็นหวีนี้ทำมาจากกระดองเต่าบริสุทธิ์ ด้านข้างประดับด้วยอัญมณีงดงาม!

หากนำมาประดับบนเรือนผมยาวสลวยซึ่งไม่เหลืออยู่แล้วของคุณนายเอ สีสันนับว่างดงามเกินบรรยาย

ภรรยารู้ดีว่าหวีชุดนี้ราคาสูงลิบ ใจปรารถนามาแสนนาน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีหวังจะได้ครอบครอง ยามนี้เธอได้มาแล้ว แต่เรือนผมซึ่งหวังว่าจะนำมาใช้ประดับนั้นกลับไม่เหลืออยู่แล้ว

“…”

ฮั่นจี้เหม่ยอ้าปากค้าง

เธอไม่อาจอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้

อย่างไรก็ดี เนื้อเรื่องได้พรรณนาความรู้สึกของคุณนายเอไว้อย่างละเอียด [เธอกอดชุดหวีไว้แนบอกไม่ยอมปล่อย ผ่านไปเนิ่นนาน เธอถึงเงยหน้าขึ้น ดวงตารื้นด้วยน้ำตาจนพร่าเลือน พูดกับสามีด้วยรอยยิ้ม “ผมของฉันยาวเร็วมากนะ!”]

จากนั้นคุณนายเอก็หยิบสายคล้องนาฬิกาออกมา

เธอมองสามีด้วยความคาดหวัง [สวยมั้ยคะ ฉันเดินหาจนทั่วเลยนะกว่าจะเจอ ตอนนี้ทุกวันคุณก็หยิบนาฬิกาออกมาดูได้เป็นร้อยรอบ หยิบนาฬิกาของคุณมาให้ฉันหน่อยค่ะ ฉันจะดูตอนที่ใส่คู่กับนาฬิกาว่าเป็นอย่างไร]

ฮั่นจี้เหม่ยค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา ทั้งยังเผยรอยยิ้มหวานอันคุ้นเคย

ถึงแม้คุณนายเอจะขายเส้นผมไปแล้ว แต่สามีก็ไม่โกรธเคือง เพียงแต่ทอดถอนใจที่หวีนั้นไร้ประโยชน์เป็นการชั่วคราว

ดีจริงๆ

ตอนจบของเรื่องเช่นนี้เปี่ยมไปด้วยความหมายอันลึกซึ้งงดงาม ทำให้คนอดรู้สึกอยากมีความรักไม่ได้ ถึงแม้ว่าฮั่นจี้เหม่ยจะแต่งงานแล้วก็เถอะ

จิบชาหนึ่งคำ

ฮั่นจี้เหม่ยมองไปยังเนื้อเรื่องท่อนสุดท้าย เธอคิดว่านี่อาจเป็นบทสรุปของเรื่องนี้ นิยายสั้นชอบเขียนบทสรุปไว้ในบรรทัดสุดท้าย

ตัวอย่างเช่น ‘นี่คือความรักอันสวยงาม’ อะไรทำนองนั้น?

ทว่าเมื่อเห็นท่อนสุดท้าย น้ำชาในปากของเธอก็แทบจะพ่นออกมาใส่นิตยสาร

[สามีไม่ได้ทำตามที่เธอบอก

เขาเพียงทรุดตัวลงบนโซฟา สองมือประสานรองศีรษะพลางหัวเราะอออกมา “พวกเราเก็บของขวัญวันคริสต์มาสเอาไว้ชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน ของขวัญดีมากเลยล่ะ ถ้าจะใช้ตอนนี้ก็น่าเสียดาย ผมขายนาฬิกาทองคำไปแล้วเอาเงินมาซื้อหวีให้คุณ”]

เรื่องราวจบลงดื้อๆ เพียงเท่านี้

ชั่วขณะนั้น ฮั่นจี้เหม่ยอ้าปากค้างไปแล้ว

……………………………………………………..