บทที่ 60 คืนเข้าห้องหอ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 60 คืนเข้าห้องหอ

“เฮอะๆ แม่นางพูดเรื่องตลกแล้ว” เซียวจิ่นหยูหัวเราะนิ่ง

“ข้าไม่ได้พูดตลก พวกเจ้าก็ลงมือซะสิ ไม่ต้องเกรงใจ พวกข้าไปก่อนหล่ะ” พูดจบก็ดึงโหลวเย่วเดินออกไป

พูดเล่นอะไร

พวกเขาเป็นถึงองค์ชายสามในเจ็ดคนของเมืองหลวง และเย่แจ๋หยิ่งก็เป็นหัวหน้าขององค์ชายทั้งเจ็ด พวกเขาต้องรู้จักกันแน่อยู่แล้ว หากพวกเขารู้ว่านางคือหลานเยาเยา ต่อไปไปฟ้องเย่แจ๋หยิ่งเข้าละก็ นางคงรับผลที่จะตามมาไม่ได้แน่

อย่างไรหนีเอาตัวรอดก็เป็นแผนที่ดีที่สุด!

เมื่อเห็นหลานเยาเยาลับสายตาไป องค์ชายอีกสองคนที่เพิ่งได้สติกลับมาก็อดสงสัยถามขึ้นไม่ได้

“แม่นางเมื่อครู่ไม่ใช่ที่คราวก่อน ทำประมูลอยู่หน้าประตูที่ร้านประมูลเสินตูหรือ?นางทำไมถึงแข็งแรงขนาดนี้?”

“เพียงแต่บนตัวนางนอกจากเสื้อนอกตัวนั้นแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นอาภรณ์งานแต่งงานทั้งสิ้น แม้กระทั่งรองเท้าสีแดงปักดิ้นทองนั่นก็ใช่ คงไม่ใช่เจ้าสาวที่หนีงานแต่งออกมากระมัง!”

เมื่อได้ยินข้อสงสัยจากทั้งสองคน เซียวจิ่นหยูเพียงยิ้มมุมปากขึ้น

“ข้าเหมือนจะรู้แล้วว่านางคือใคร” เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่อยู่ในใจ รอยยิ้มของเขายิ่งลึกขึ้น “ไป รีบไปแสดงความยินดีกับเย่อ๋อง”

เหอะ!

หากเย่อ๋องรู้ว่าในงานวันแต่ง พระชายากลับไม่อยู่ในจวน แต่กลับอยู่บนถนนในตรอกและทำร้ายคนอยู่ เขาจะทำหน้าอย่างไรกัน?

เมื่อออกมาจากตรอกแล้ว หลานเยาเยารีบพาโหลวเย่ววิ่งไปยังร้านเหล้าชั้นสูงหลบภัยอันตราย และยังสั่งอาหารแสนอร่อยมาเต็มโต๊ะ จากนั้นจึงเริ่มลงมือกิน

ทันใดนั้น หลานเยาเยาก็พบว่ามีอะไรผิดแปลกไป

“โหลวเย่ว เจ้าเป็นอะไรไป?”

เมื่อออกมาจากตรอกนั้น นางก็ดูซึมเซาไม่สดใสนัก

“หมดกัน หมดกัน เซียวซื่อจื่อเห็นข้าในมุมอันป่าเถื่อน ต่อจากข้าจะพบหน้าเขาอย่างไร?” โหลวเย่วมีความเขินอายไม่กล้าพบผู้อื่น

นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งประเทศก่วงส้า เปิดเผยด้านที่ป่าเถือนออกมา หากแพร่งพรายออกไป นางก็คงจบกันคราวนี้

“จะกลัวอะไร?เจ้าปิดบังร่างกายแน่หน้าขนาดนี้ ต่างก็ไม่มีใครดูออกว่าเจ้าเป็นใคร?

ต่อไปรอเพียงเจ้าหายป่วยแล้ว ถอดหมวกที่คลุมอยู่ทิ้งไป เจ้าก็ยังคงเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์อยู่ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเคยทำร้ายใครในตรอกมาก่อน”

กล่าวถึงตอนนี้ หลานเยาเยาเขยิบเข้าใกล้โหลวเย่ว สายตาอันเฉียบคมจดจ้องมองเข้าไปในนัยน์ตานาง

“จะว่าไปแล้วทำไมเจ้าถึงใส่ใจเซียวซื่อจื่อนัก?”

เมื่อถูกประกายตาอันแจ่มจ้าของหลานเยาเยามองอย่างทะลุปรุโปร่ง ใบหน้าของโหลวเย่วก็แดงขึ้นทันที จากนั้นก็ก้มหน้างุดเริ่มกินอาหารอย่างเงียบๆ

ใครจะรู้!

หลานเยาเยาหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ขึ้น ดูราวกับว่านางเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างเป็นอย่างดี

“เจ้าต้องเคยผูกพันอะไรกับเขา ดังนั้นจึงเกรงว่าเขาจะจำได้ และจะโดนทำลายชื่อเสียงองค์หญิงของเจ้าใช่หรือไม่?”

เมื่อฟังคำพูดของนาง โหลวเย่วเบิกตากว้างขึ้น รีบพยักหน้าแล้วลอบถอนหายใจกับตัวเอง

ดีที่เยาเยาคาดคะเนผิดไป นั่นเป็นความลับของนางเลยทีเดียว

จากนั้นทั้งสองต่างก็กินไปพูดไป เมื่อพูดคุยสนุกสนานพวกนางก็จิบชา จิบช้าแล้วพวกนางก็ดื่มเหล้าเล็กน้อย

ฟ้ามืดลงอย่างไม่รู้ตัว ทั้งสองคนต่างมึนเหล้าเล็กน้อย จึงกลับจวนอ๋องเย่อย่างไม่เต็มใจนัก

ครั้งนี้พวกนางก็กลับเข้ามาทางประตูหลังเช่นเดิม เพียงก้าวเข้ามาหลานเยาเยาก็พบความผิดปกติบางอย่าง

กลิ่นเลือดบ้างมีบ้างไม่มีลอยเข้ามาเตะจมูก ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น

เป็นดั่งที่นางคาดไว้ จวนเย่อ๋องเกิดเรื่องขึ้นแล้ว

องค์รักษที่หลบซ่อนในมุมมืดทั้งสี่คนต่างไม่อยู่แล้ว

โชคยังดีที่เมื่อกลางวันนางลากองค์หญิงจาวหยางออกมาด้วย ไม่อย่างนั้น หากมีคนรอบซุ่มทำร้าย นางก็คงหนีรอดไปไม่ได้

ดังนั้นจึงรีบพาองค์หญิงจาวหยางกลับไปยังลานน่อนซิน ตัวนางเองรีบกลับไปยังห้องหอลานซวนซี ภายในห้องนั้นเงียบผิดปกติ

ก่อนนางออกมาจากห้อง นางได้วางผงสีขาวไว้บนพื้นใต้ประตู ตอนนี้ผงแป้งนั้นกลับคงรูปเดิมไม่เปลี่ยนแปร กล่าวได้ว่าหลังจากที่นางออกไปแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าห้องนางอีก

ในขณะที่นางกำลังวางใจคลายความกังวลอยู่นั้น…

นางกลับได้กลิ่นคาวเลือดที่เดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย

เสียง “เอี๊ยด” ดังขึ้น หลานเยาเยาเปิดประตูออกไป ภายนอกประตูสาวใช้ทั้งสี่ต่างนอนฟุบอยู่บนพื้น แต่ทั่วทั้งห้องต่างไม่มีร่องรอยเลือดแต่อย่างใด

เมื่อเดินตรวจสอบต่อไป พบว่าพวกนางต่างเพียงแค่สลบไป นางจึงเดินตรงไปยังห้องโถงด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

ตอนนั้นเป็นเวลามืดแล้ว ลมพัดผ้าแพรสีแดงบริเวณทางเดินเอื่อยๆ ยิ่งเพิ่มความเงียบเหงาวังเวงให้กับคืนที่แปลกประหลาดและเย็นเยียบ นางเดินจนมาถึงห้องโถงด้านหน้า

ร่องรอยของเลือดไหลเป็นทางปรากฏเบื้องหน้านาง ทำให้คิ้วขมวดขึ้นมาโดยพลัน พลางเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า

“ฟึบ ฟับ ฟึบ ฟับ” เสียงอาวุธฟาดฟันกันดังขึ้นจากไม่มีเป็นมี จากเบาเป็นดังกึกก้อง

เมื่อมาถึงห้องโถงด้านหน้า นางกลับไม่ได้รับร้อนจะเข้าไปดูสถานการณ์ แต่กลับหลบอยู่ใต้เงามืดไร้ซุ่มเสียง พลางสังเกตการณ์เหตุการณ์ตรงหน้า

ในห้องโถงด้านหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายต่างแต่งชุดเต็มยศ ในเวลานั้นต่างกำลังต่อสู้กับชายชุดดำที่คลุมหน้าอยู่ บนพื้นเกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพ มีหยดเลือดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ แต่ส่วนมากกลับเป็นซากศพของชายชุดดำ

อย่างไรก็ตาม!

ดูจากสภาพการณ์แล้ว คล้ายกลับกลุ่มชายชุดดำกำลังถูกล้อมไว้แล้ว

เมื่อนางเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดของสตรีวัยกลางคนสองคนด้านข้าง ถึงกับต้องเบิกตาโพลง

นั่นไม่ใช่แม่นมสองคนที่หลานเฉินมู๋จัดการให้นางหรอกหรือ?

ดูจากสภาพน่าจะสิ้นจไปแล้ว แต่ในมือของนางยังถือดาบไว้ ดูไปแล้วคล้ายจะเป็นพวกเดียวกับชายชุดดำ

ไม่ได้การหล่ะ นางในตอนนี้ไม่ควรอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นหากมีคนมาพบเข้า นางก็คงจะถอนตัวยากแล้ว

ดังนั้น!

หลานเยาเยารีบกลับไปที่ลานซวนซี พลางนอนอยู่บนเตียง ทำราวกับไม่เห็นไม่รับรู้อะไรเลยอย่างไรอย่างนั้น

ไม่รู้แน่ว่าผ่านไปนานเท่าใด

“นายท่าน พวกนางทั้งสี่หมดสติไปแล้ว ไม่รู้ว่าพระชายาจะเป็นอะไรหรือไม่”

เสียงอันเร่งร้อนของจื่อซีดังเข้ามาจากด้านนอก

และก็มีเสียงอันทรงพลังน่าดึงดูดตอบรับเรียบๆ “อืม” และไม่มีคำพูดอื่นใด

จากนั้นก็มีเสียงดัง “สวบ สาบ สวบ สาบ” ดังเข้ามา จากนั้น

ก็ไม่มีเสียงใดเข้ามาอีก

หลานเยาเยาลอบถอนหายใจกับตัวเอง

จากนั้นจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง นางนั่งเงียบๆ ครู่หนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนออกไปหมดแล้ว

จากนั้นนางก็รีบย่องมายังประตูด้านหน้า แล้วจึงเปิดรูเล็กๆ มองลอดออกไป

จากรูที่มองลอดออกไปนางก็ได้เบิกตากว้างขึ้น คนผู้หนึ่งใส่อาภรณ์สีแดงยืนอยู่เบื้องหน้าประตูนี้ จากมุมสายตาของนางมองเห็นเพียงเอวของเขาเท่านั้น ด้วยความสงสัยนางจึงปรับมุมสายตาเงยขึ้นไปมอง

ทันใดนั้นก็ประสานสายตากับสายตาอันนิ่งลึก และสายตาเย็นชานั้นก็กำลังมองมาที่นางเช่นกัน

หลานเยาเยาเย็นวาปไปทั้งสันหลัง นางยังไม่ทันจะล็อคประตู ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกแล้ว

“แม่นมที่มาพร้อมเกี้ยวนำชายชุดดำจากภายนอกเข้ามาเพื่อลอบทำร้ายข้า เจ้าไม่คิดจะอธิบายเรื่องนี้สักหน่อยหรือ?”

เมื่อเสียงดังขึ้น เย่แจ๋หยิ่งที่แต่งอาภรณ์มงคลสีแดงก็เดินเข้ามาแล้ว เมื่อเขาเข้ามาแล้ว ก็ย่างสุขุมเข้ามาประชิดตัวนาง

ทันใดนั้น!

ประตูห้อง “ปัง”ปิดลง หลานเยาเยาสะดุ้งตกใจ พลางรีบเอ่ยขึ้น

“ข้าขอสาบานว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ตัดสัมพันธ์บิดาบุตรธิดากับหลานเฉินมู๋แล้ว”

ในวันนั้น เขาก็คงเห็นแล้ว

แต่แม้ว่านางจะอธิบายออกไป แต่ดูราวกับเย่แจ๋หยิ่งก็ยังไม่มีทีท่าจะปล่อยนางไป ยังคงเดินย่างเข้าใกล้นางขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบีบนางจนชนเข้าขอบเตียง แล้วเขาก็ยื่นมือออกมา…

จบกัน จบกัน

เย่แจ๋หยิ่งดูราวจะไม่เชื่อถือนาง ดูราวกับจะลงมือกับนางแล้ว

ใครจะรู้!

“ข้าบาดเจ็บแล้ว!