บทที่ 67 สนใจชิงตำแหน่งนายน้อย (ต้น)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 67 สนใจชิงตำแหน่งนายน้อย (ต้น)

บทที่ 67 สนใจชิงตำแหน่งนายน้อย (ต้น)

หวังเหิงเหยียบย่างบนหมู่เมฆก่อนบินหายไป ยามนี้หมู่เมฆหมอกบางส่วนปกคลุมยอดเขาซู่หยางเอาไว้ กู่หงเฟยมองยอดเขาที่อยู่ไกลลิบ มีนกกระเรียนบินไปมาระหว่างขุนเขา ปกคลุมอยู่ในแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์ เป็นภาพที่งดงามนัก

“ลู่หยวน…”

กู่หงเฟยหรี่ตา สายตาจับจ้องไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป

ขุนเขารอบข้างล้วนโดดเดี่ยว ห้อมล้อมโดยค่ายกลสีแดงขนาดใหญ่บนไหล่ผา ซ้อนทับด้วยปราณกระบี่สีแดงนับพันห้อมล้อมค่ายกล บางครั้งจะมีสายลมโชยผ่าน พัดพาใบไม้สีเขียวลอยมา ปราณกระบี่พลันเข้าฟาดฟันสังหาร จนใบไม้กลายเป็นผุยผงในพริบตา

ภูเขาลูกนี้มีชื่อว่ายอดเขาบาปสวรรค์ มันคือสถานที่สำหรับศิษย์สำนักอักขระสวรรค์ผู้กระทำผิด

ตอนนี้บนยอดเขา มีศิษย์หญิงเพียงคนเดียวถูกจองจำอยู่ที่นั่น

ดวงตาของกู่หงเฟยมืดมน “ศิษย์พี่หนอศิษย์พี่ ถ้าลู่หยวนไม่ทำร้ายท่านในตอนนั้น ท่านคงเป็นคนที่น่าดึงดูดมากที่สุดในสำนักอักขระสวรรค์วันนี้”

“แต่ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง เมื่อข้ากลายเป็นผู้สืบทอดแล้ว ข้าจะขอให้ท่านเจ้าสำนักปล่อยตัวท่านออกมา ถึงตอนนั้น ท่านจะยังคงเป็นศิษย์พี่ที่น่านับถือในสำนักอักขระสวรรค์”

สายตาของกู่หงเฟยเลื่อนกลับมา เขากำลังจะจากไป ทันใดนั้น ใครบางคนก็ออกมาจากภูเขาพร้อมกระบี่

“ข้าได้ยินมาว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่หยวนกำลังมา เร็ว รีบไปตรวจสอบเสีย!”

“จริงหรือ? ไป ไปดูให้ชัด!”

กลุ่มศิษย์รีบมุ่งหน้าไปทางประตูสำนัก

กู่หงเฟยมองดูคนจำนวนมากที่ประตูสำนักอยู่ไกลลิบ พร้อมสายตาเหยียดหยันเล็กน้อย

เขาไม่เหมือนกับคนเหล่านี้ ที่มัวแต่มาเสียเวลาเพราะเรื่องพรรค์นั้น

เขากลับไปยังส่วนลึกของขุนเขา ใช้มือแทนพู่กัน วาดค่ายกลจำนวนมาก และประทับพวกมันลงบนศิลาอย่างไม่ใส่ใจ สายลมพัดพา… ศิลาแตกสลายเมื่อต้องลม

ที่ประตูสำนักอักขระสวรรค์ ตอนนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ไม่อาจลอดผ่านพื้นที่รอบข้างไปได้

ศิษย์จำนวนมากมองกลุ่มคนผู้กำลังเข้าใกล้หมู่เมฆช้า ๆ อยู่ไกลลิบ พวกเขารู้ว่าอีกฝ่ายคือพวกลู่หยวน

ฝูงชนในสำนักก็คึกคักเช่นกัน

“ลู่หยวนมาทำอะไรที่นี่? หรือว่าพวกเขาต้องการชิงตำแหน่งนายน้อยของสำนักอักขระสวรรค์?”

“พูดเรื่องอะไรน่ะ? เขาไม่ใช่ศิษย์ของสำนักอักขระสวรรค์ แล้วทำไมเขาต้องมาต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งนี้ด้วย?”

“เหอะ บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่เข้าร่วมสำนักอักขระสวรรค์เมื่อห้าปีก่อน แต่เขาไม่ได้เข้าร่วมพิธีรับเข้าเป็นศิษย์เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องศิษย์พี่ ตอนนี้เจ้ากับข้าคงไม่เรียกเขาว่าศิษย์หรอก”

“หุบปาก!”

เสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากเหนือท้องนภา ชายร่างกำยำไว้หนวดเคราผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างองอาจเหนือหมู่เมฆ เขาสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม อักขระรอบชุดคลุมเคลื่อนไหว ราวกับมีค่ายกลอยู่ในร่างกาย

ทั่วร่างถูกห้อมล้อมด้วยสายฟ้า ทุกครั้งที่เกิดฟ้าร้องและฟ้าผ่าขึ้นมา อีกฝ่ายแทบไม่ต่างจากเทพอสนี

บุรุษชุดน้ำเงินก้มมองผู้คนที่อยู่ใต้ประตูสำนัก เพียงแค่ปรายตามอง ก็เหมือนกับมีสายฟ้าฟาดลงมา ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงนัก

ศิษย์ทุกคนก้าวถอยหลังหลายจั้งเมื่อเห็นคนผู้นี้ ปากปิดสนิท ไม่กล้ากล่าวอะไรเพิ่มอีกแม้แต่คำเดียว

นี่คือผู้คุมกฎอาวุโสเหลยโม่ ปกติแล้วจะมีอารมณ์แปรปรวน เจ้าอารมณ์ หากไปทำให้ขุ่นเคือง ย่อมถูกเขาลงโทษอย่างแน่นอน

เมื่อเฉิงเหิงและเฉิงหลินเห็นศิษย์จำนวนมากรวมตัวที่ประตูสำนัก พวกเขาล้วนยืดตัวตรง มีสีหน้าจริงจัง ดูทรงพลังราวกับผู้อาวุโส

พวกเขาอยู่ในสำนักสาขามาหลายปี ตอนที่อยู่ในสำนักนี้ ศิษย์ยังคงต้องเรียกผู้อาวุโสด้วยความเคารพ ทว่าผ่านมาหลายปีแล้ว เมื่อพบหน้ากันนานวันเข้า ก็ไม่มีใครประทับใจในตัวพวกเขาอีก

คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้คนมากมายเข้ามาทักทายพวกเขาในวันนี้ มันทำให้รู้สึกชื่นใจเล็กน้อย

เมื่อฝีเท้าของกลุ่มคนลงถึงพื้น อาภรณ์ของเหลยโม่พลิ้วไหวในอากาศ ความว่างเปล่าสั่นไหวชั่วขณะ ก่อนบุรุษชุดน้ำเงินจะมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเฉิงเหิง ก่อนเขาจะทำความเคารพ “ไม่ได้พบกันเสียนาน ผู้อาวุโสเหลยเป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉิงหลินยิ้มแล้วกล่าวเช่นกันว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสเหลยที่มาในวันนี้ด้วยตัวเอง พวกข้าสองพี่น้องไม่รู้จะช่วยแบ่งเบาภาระผู้อาวุโสเหลยอย่างไรดี!”

เหลยโม่ชำเลืองมองพวกเขาสองคนอย่างไม่ใส่ใจ เขาเอ่ยเสียงขรึม “หลบ!”

รอยยิ้มบนใบหน้าทั้งสองแข็งทื่อ พวกเขาไม่ตอบสนองสักพัก เหลยโม่จึงผลักทั้งสองออกไป และเดินเข้ามาหาลู่หยวน พร้อมคารวะด้วยความเคารพ “คารวะนายท่าน”

ลู่หยวนรู้จักชายผู้นี้ ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่จริงจังมาก แต่ก็เป็นคนสนิทของท่านแม่

บุตรศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือออกไปพยุงอีกฝ่าย “ผู้อาวุโสเหลยไม่ต้องสุภาพก็ได้”

เหลยโม่ลุกขึ้น ก้าวถอยหลังไปด้านข้าง “ท่านเจ้าสำนักกำลังรอนายท่านอยู่ในห้องโถงหลัก เชิญนายท่านมาทางนี้”

ลู่หยวนก้าวเดินไปทางห้องโถงหลัก ทุกคนที่อยู่ตรงประตูสำนักต่างถอยมาด้านข้าง

หลังจากลู่หยวนไปแล้ว ฝูงชนก็แยกย้าย แต่สองพี่น้องเฉิงเหิงกับเฉิงหลินยังคงอยู่นอกประตูสำนักด้วยสีหน้าซีดเซียว

ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเพียงสมาชิกของสำนักสาขา แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นสมาชิกของสำนักอักขระสวรรค์ ทำไมถึงถูกเมินเฉยได้ขนาดนี้!

เมื่อเหลือเพียงสองคนที่อยู่ตรงประตูสำนักขนาดใหญ่ เฉิงหลินจึงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เหลยโม่พูดแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร? ไม่คิดจะกล่าวทักทายพวกข้าทั้งสองคน แล้วจะปล่อยให้กลับไปตามใจชอบได้หรือ?”

“คิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่คนโตของสำนักหรืออย่างไร เหอะ ก็แค่มีรากฐานการบ่มเพาะอยู่ขั้นเซียนยุทธ์ระดับสมบูรณ์ไม่ใช่หรือ? รากฐานการบ่มเพาะเช่นนี้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในสำนัก หากเป็นข้าที่ได้รับทรัพยากรมากมายขนาดนั้น ข้าคงไปถึงขั้นปรมาจารย์ยุทธ์แล้ว!”

เฉิงเหิงพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา “เป็นธรรมดาที่เขาจะปฏิบัติกับเจ้าและข้าเช่นนี้ ใครบอกพวกเราล่ะว่าอย่าอยู่ข้างลู่หยวน”

“แต่ว่า ในอีกสามเดือน กู่หงเฟยจะต้องชนะแน่นอน ถึงตอนนั้น เหลยโม่จะได้รู้ว่าการตัดสินใจของเขาในวันนี้โง่เขลาแค่ไหน!”

“ไป ไปหาผู้อาวุโสใหญ่กัน!”

พวกเขาสองคนทะยานออกไป มุ่งหน้าสู่ยอดเขา

ในเวลาเดียวกัน ลู่หยวนมาถึงห้องโถงหลัก

เหลยโม่พาคนอื่นไปที่ห้องโถงด้านข้างเพื่อรอ

เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงหลัก ลู่หยวนกวาดมองรอบข้าง แต่ก็ไม่พบวี่แววของท่านแม่

มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ?

รออีกหน่อยแล้วกัน…

ลู่หยวนเดินไปทางที่นั่งหลักเหนือห้องโถงหลัก

แค่เดินเพียงไม่กี่ก้าว กระบี่สังหารนับพันพลันพุ่งขึ้นจากพื้นในพริบตา! พลังของลู่หยวนหลอมรวม ก่อนเคลื่อนลงไปเบื้องล่างจรดพื้น ทำให้กระบี่เหล่านี้แตกสลายไปในบัดดล

วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!

อักขระนับพันทะยานขึ้นมา ปกคลุมร่างบุตรศักดิ์สิทธิ์เอาไว้อย่างสมบูรณ์ สายตาของชายหนุ่มแข็งกร้าว เห็นเพียงแค่ว่ามีค่ายกลนับร้อยกักขังเขาเอาไว้อยู่รอบข้าง

ลู่หยวนกวาดตามอง ไม่เพียงแค่บนพื้นเท่านั้น ในพื้นที่รอบข้างก็เช่นกัน ลวดลายสีแดงนับร้อยไขว้ไปมาในอากาศ ขอเพียงเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม ค่ายกลบางส่วนจะถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มพบฉากอันคุ้นเคยในความทรงจำ ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ท่านแม่ ลูกเหนื่อยมากแล้ว ช่วยเอาของพวกนี้ออกไปที”

“แค่ค่ายกลเหล่านี้เอง ลูกถึงกับร้องขอความเมตตาแล้วหรือ?”

สตรีผู้หนึ่งเดินออกมาจากมุมหนึ่งของห้องโถงหลักด้วยท่าทีสง่างาม ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับต้องสายลมแห่งวสันตฤดู

นางคือมารดาของลู่หยวน เจ้าสำนักอักขระสวรรค์ อู่หมิงเสวี่ย

อู่หมิงเสวี่ยสะบัดมือ ค่ายกลนับไม่ถ้วนหายไปในทันที นางก้าวมาข้างหน้า เมื่อได้มองดูบุตรชายใกล้ ๆ คิ้วโค้งงามพลันขมวดด้วยความทุกข์ใจ “หยวนเอ๋อร์ผอมลงไปนะ เป็นเพราะพ่อของลูกดูแลไม่ดีงั้นหรือ?”

สายตาของหญิงสาวพลันแข็งกร้าว “แม่จะจำไว้ หลังเสร็จจากเรื่องวุ่นวายในช่วงสองสามวันนี้ แม่จะกลับไปที่ตระกูลลู่ เพื่อถามลู่เทียนเหอว่าเขาดูแลลูกชายอย่างไร!”