ตอนที่ 137 เอาใจ
Ink Stone_Romance
เช้าวันรุ่งขึ้น สะใภ้เซี่ยเดินออกมาพร้อมสวมเสื้อคลุมตัวใหม่ เมื่อเห็นสะใภ้หวังสวมเสื้อคลุมขนเพียงพอนตัวใหม่ยืนอยู่หน้ารถม้า สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป
“เสื้อคลุมของพี่สะใภ้ใหญ่ตัวนี้…”
ทันทีที่สะใภ้หวังเห็นสีหน้าของนางก็รู้ทันทีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “ซีเอ๋อร์ให้สาวใช้นำมาส่งให้เมื่อคืนนี้ อาจเป็นเพราะนางเห็นข้าสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ นางจึงมีใจกตัญญูส่งเสื้อคลุมมาให้”
ฉินหลิวซีมอบให้อีกแล้วหรือ
สะใภ้เซี่ยเหลือบมองปิ่นหยกบนศีรษะนาง เอ่ยด้วยท่าทางอิจฉา “พี่สะใภ้ใหญ่ช่างมีโชคเสียจริง เจ้าหนูหลิวซีผู้นี้ถูกส่งไปบ้านหลังเก่าตั้งแต่อายุยังน้อย ตามหลักแล้วนางแทบไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับท่าน แต่กลับกตัญญูต่อท่าน ให้ความเคารพท่านในทุกๆ ด้าน แม้แต่มารดาผู้ให้กำเนิดของนางก็ยังไม่มีวาสนาเช่นนี้”
ไม่เพียงแต่อิจฉา ซ้ำยังประชดประชันอีกด้วย! สะใภ้หวังเอ่ยว่า “ในแง่ของความโชคดี ข้าไหนเลยจะเปรียบเจ้าได้ เจ้ามีลูกๆ คอยดูแลอยู่ข้างกาย”
สะใภ้เซี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็ดีใจขึ้นมา แต่ไม่กล้าแสดงออกด้วยคำพูด เพียงแต่เอ่ยว่า “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าได้เศร้าไปเลย เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
ใช่แล้ว แม้ว่าจะได้รับความกตัญญูมากแค่ไหน แต่บุตรชายแท้ๆ ก็ไม่ได้คอยดูแลอยู่ข้างกาย
“อืม ไปกันเถิด เดี๋ยวจะสายแล้ว” สะใภ้หวังเหยียบบันไดก้าวขึ้นไปบนรถม้า
สะใภ้เซี่ยรีบตามขึ้นไปทันที
ในบ้าน ฉินหลิวซีพึ่งจะฝึกฝนเสร็จก็ได้ยินว่าซ่งอวี่เยียนมาถึงแล้ว
“พี่หญิงหลิวซี ข้าก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไรมากนัก มีเพียงแค่รองเท้าปักคู่นี้ที่ข้าทำเองมอบให้ท่าน ไม่รู้ว่าขนาดพอดีหรือไม่เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีก้มหน้ามองไปที่รองเท้าปักคู่ที่นางถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง รองเท้าผ้ามันสีน้ำเงินปักด้วยดอกทับทิมสองดอกเหมือนกับดอกทับทิมที่อยู่บนต้นในลาน ฝีมือประณีตเป็นอย่างมาก
นางรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ละสายตาแล้วหันไปมองซ่งอวี่ฉิง เอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าจึงทำสิ่งนี้ให้ข้า พวกเราก็ไม่ได้สนิทกัน”
เมื่อซ่งอวี่เยียนเห็นว่านางไม่รับ แล้วยังบอกว่าไม่สนิทกันจึงทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางรู้สึกร้อนเล็กน้อย บีบรองเท้าปักในมือพลางเอ่ยว่า “พวก พวกเราไม่มีอะไรจะตอบแทนที่ให้เราอาศัยอยู่บ้านหลังเก่า ทำได้เพียงงานฝีมือ พี่หญิงรังเกียจหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้ข้า” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “ในเมื่อท่านย่าสามารถพาพวกเจ้ากลับมา ก็อยู่อย่างสบายใจเถิด ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านี้มาเอาใจข้า”
ซ่งอวี่เยียนหน้าแดง “ข้าไม่ได้…”
“หากเจ้าอยากจะตอบแทนจริงๆ ก็ทำให้ท่านย่า หรือท่านแม่ ไม่ต้องทำให้ข้า ไม่ใช่เพราะข้ารังเกียจ แต่เป็นเพราะเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของข้ามีคนทำส่งมาให้อยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”
ความเย็นชานี้ทำเอาซ่งอวี่เยียนแทบจะร้องไห้แล้ว
“รองเท้าคู่นี้ข้าจะรับไว้ ขอบใจมาก” ฉินหลิวซีรับรองเท้ามา “ต่อไปไม่ต้องทำแล้ว มันลำบากเกินไป ท่านป้าใหญ่ออกไปทำงานข้างนอกเป็นเพราะคิดถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากของพวกเจ้า จึงอยากจะเก็บเงินส่วนตัว เจ้าควรจะลองคิดเรื่องนี้ดู ข้าเห็นว่าฝีมืองานปักรองเท้าของเจ้าไม่เลวเลย ได้รับการฝึกฝนจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาหรือ”
ซ่งอวี่เยียนพยักหน้า “เมื่อก่อนข้าเคยเรียนกับอนุท่านหนึ่งในจวนเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีตกตะลึง นางเป็นถึงบุตรสาวภรรยาเอกคนโตแต่กลับไปมาหาสู่กับอนุหรือ
ซ่งอวี่เยียนดูลำบากใจ ก้มหน้าพลางเอ่ยว่า “เดิมทีนางเป็นสาวใช้ท่านแม่ของข้า ฝีมือเย็บปักถักร้อยยอดเยี่ยม ข้ายังปักสองด้านได้ด้วยเจ้าค่ะ”
“งานปักสองด้านหาได้ยาก เจ้าทำได้ ไม่สู้ปักลวดลายสวยๆ มาทำเป็นพัดหรือฉากกั้น ร้านเย็บปักหลายแห่งต้องรับอย่างแน่นอน เมื่อปักเสร็จก็มอบให้ท่านแม่ นางจะให้พ่อบ้านหลี่เอาไปฝากขาย เงินที่ได้มาก็จะให้เป็นเงินเก็บของเจ้า ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกโกง” พึ่งพาตัวเองดีกว่าพึ่งพาผู้อื่น งานปักนั้นลำบากแต่สามารถแลกเงินได้ เหตุใดจึงไม่ทำเล่า
ซ่งอวี่เยียนรู้สึกสนใจขึ้นมาอยู่บ้าง แต่นางไม่มีผ้ามันสวยงามเหล่านั้น
“ฉีหวง ไปเอาผ้ามันครึ่งม้วนมาให้นาง” ฉินหลิวซีสั่งฉีหวง จากนั้นก็ยกรองเท้าปักในมือพลางเอ่ยกับซ่งอวี่เยียน “ถือเสียว่าเป็นของตอบแทนสำหรับรองเท้าคู่นี้ก็แล้วกัน”

เมื่อซ่งอวี่เยียนเดินออกจากเรือนของฉินหลิวซีมาพร้อมกับถือผ้ามันสีฤดูใบไม้ร่วงชั้นดีครึ่งม้วน นางยังคงสับสนอยู่เล็กน้อย ความจริงแล้วที่นางให้รองเท้าหนึ่งคู่ก็เพื่อเอาใจฉินหลิวซี เพราะนางได้ยินมาว่าบ้านหลังนี้อยู่ภายใต้ชื่อของฉินหลิวซี
นางรู้ว่าเมื่อตนอาศัยอยู่ใต้หลังคาของผู้อื่น นางย่อมต้องอ่อนน้อมถ่อมตน จากการประเมินสถานการณ์ ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่นางมาถึงเมืองหลี นางเห็นว่าท่านป้าสะใภ้รองที่นิสัยดุร้ายก็ยังพ่ายแพ้ให้ฉินหลิวซี แล้วยังมีฉินหมิงฉีที่ขัดแย้งกับนางแต่ก็ไม่สามารถเอาเปรียบนางได้ ซ่งอวี่เยียนจึงรู้ว่าไม่ควรล่วงเกินฉินหลิวซีผู้นี้
ดังนั้นนางจึงเต็มใจที่จะยอมจำนน เอาอกเอาใจฉินหลิวซีก็ดีกว่าหากวันหนึ่งทำให้นางโมโหแล้วถูกขับไล่ออกไป
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมอบผ้ามันให้นางเป็นการตอบแทน
ซ่งอวี่เยียนลูบผ้ามันที่ถูกทออย่างประณีตและเรียบเนียน รู้สึกมีความสุขเล็กน้อยในใจ
แม้ว่านางจะเป็นบุตรสาวภรรยาเอกคนโต แต่บิดาของนางเป็นบุตรชายอนุคนโต เพียงเพราะฉลาดหลักแหลมจึงได้รับความสำคัญจากท่านปู่ แต่คนที่ท่านปู่และท่านย่าให้ความสำคัญมากกว่าคือบุตรชายภรรยาเอกอย่างท่านอารอง รวมถึงคนในเรือนของท่านอารองเหล่านั้น
นอกจากนี้มารดาของนางซึ่งให้กำเนิดนางและน้องสาวมากว่าสิบปี แม้ว่าจะเป็นภรรยาเอก แต่ก็ไม่ได้รับความโปรดปรานเท่ากับอนุเฉิงที่ให้กำเนิดบุตรชายสองคน ดังนั้นข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่พวกนางได้รับจึงไม่ใช่ของชั้นดีที่สุด
แต่ผ้ามันชั้นดีเช่นนี้นางเคยเห็นมันตอนอายุแปดขวบ ปีนั้นท่านตาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสาม ข้าวของเครื่องใช้ของพวกนางจึงดีขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
ซ่งอวี่เยียนน้ำตาคลอสะอื้นออกมาเบาๆ
“พี่หญิง?”
ซ่งอวี่เยียนตัวแข็งเล็กน้อย หันกลับมาพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “น้องหญิงหมิงเย่ว์”
นางเกิดปีเดียวกันกับฉินหมิงเย่ว์ นางเกิดในเดือนสอง ส่วนฉินหมิงเย่ว์เกิดเดือนหก แต่ตามสถานะแล้วพวกนางกลับห่างกันคนละโลก
สายตาของฉินหมิงเย่ว์จ้องมองไปที่ผ้ามันที่นางถืออยู่ ดวงตาเป็นประกาย “ผ้ามันนี้มาจากไหนหรือ สวยจริงๆ ”
ซ่งอวี่เยียนกำไว้แน่น เอ่ยว่า “ปีนี้พี่หญิงหลิวซีครบสิบห้าปีแล้ว ข้าจึงปักรองเท้าให้นางหนึ่งคู่ แต่นางกลับให้ผ้ามันผืนนี้เป็นสิ่งตอบแทน เอาไว้ปักลายทำพัด”
ฉินหมิงเย่ว์ชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่หญิงใหญ่ช่างดีกับท่านจริงๆ พวกเราที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ก็ยังไม่เคยให้ผ้ามันที่งามเช่นนี้ เกรงว่าพี่หญิงใหญ่จะไม่ชอบพวกเรากระมัง”
ซ่งอวี่เยียนฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “น้องหญิงคิดมากไปแล้ว”
“พี่หญิง ข้ามีกระโปรงอยู่ตัวหนึ่ง ขาดก็แค่เสื้อสีนี้ที่ใช้ใส่คู่กัน ท่านช่วยแบ่งผ้ามันให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ในวันข้างหน้าหากข้ามีผ้ามันอื่นค่อยคืนให้ท่าน” ฉินหมิงเย่ว์เดินเข้าไปจับมือนาง เอ่ยออดอ้อนว่า “พี่หญิงให้ข้าได้หรือไม่”
ริมฝีปากของซ่งอวี่เยียนขยับเล็กน้อย นิ้วของนางบีบผ้ามันไว้แน่น เงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า “ย่อมได้”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”
ฉีหวงที่อยู่หลังประตูลานมองดูทั้งสองคนออกไปด้วยกัน หันหลังเดินกลับไปรายงานฉินหลิวซี เมื่อเห็นว่านางไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็อดถามไม่ได้ “คุณหนูไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีกำลังวาดยันต์ ไม่แม้แต่จะเงยหน้า เอ่ยว่า “ข้าทำอะไรได้ ในเมื่อให้นางไปแล้ว ก็เป็นของนาง นางจะปกป้องไว้ได้หรือไม่ จะมอบให้ใครก็เป็นเรื่องของนาง ไม่เกี่ยวกับข้า คนเราหากต้องการอยู่รอดก็ต้องพึ่งตัวเอง จะให้คนอื่นปกป้องไปตลอดชีวิต เป็นไปได้หรือ”
ก็ได้ นี่แหละวิถีของคุณหนูใหญ่!
ฉีหวงเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ แล้วรองเท้าคู่นี้ล่ะเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีเหลือบมองรองเท้าปักที่วางอยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “เอาไปเก็บเถิด อากาศหนาวแล้ว ไม่ได้ใช้หรอก”
เมื่อฉีหวงได้ฟังดังนั้นก็เอารองเท้าไปเก็บ
ไม่ใช่ว่าไม่ได้ใช้ แต่ทุกอย่างที่นางใช้ ช่างปักที่คุ้นเคยกับขนาดและความชอบของนางได้จัดเตรียมส่งมาให้นางแล้ว