บทที่ 68 กินคำพูดตัวเองจนอ้วน
บทที่ 68 กินคำพูดตัวเองจนอ้วน
ต้องไปตัดหญ้า ๆ “ท่านพี่ พวกเราไปตัดหญ้าให้เจ้าม้ากันเถอะ”
หนานกงฉีเฉินถาม “ไยต้องไปตัดหญ้า? ม้ามีอาหารของมันอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่าสัญญากับเจ้าม้าว่าจะหาหญ้าสด ๆ ให้กิน ไม่อาจกินคำพูดตัวเองจนอ้วน*[1]เป็นหมู”
หนานกงฉีจวิน “ถึงน้องหญิงจะอ้วนก็ยังดูดีนะ”
เสี่ยวเป่ายกมือเท้าเอวที่ยังห่างไกลคำว่าอ้วน มันก็แค่อวบอิ่มมีน้ำมีนวล “พี่แปดนั่นแหละอ้วน!”
หนานกงฉีรุ่ยเหลือบมองน้องชายผู้โง่งม “กลับไปก็อ่านตำราให้มากหน่อย”
หนานกงฉีซิวที่อยู่ด้านข้างมองน้อง ๆ อย่างขบขันระคนเอ็นดู
เขายกมือลูบหัวนาง “พี่ ๆ ของเจ้าไม่เคยใช้มีดตัดหญ้า จึงกลัวว่ามืออาจบาดเจ็บเอาได้”
เขาเองก็กังวลไม่น้อยที่เสี่ยวเป่าจะถือมีดไปตัดหญ้า ทันใดนั้น สายตาก็สังเกตเห็นเด็ก ๆ ในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่กล้าเข้าหาพวกเขาด้วยตนเอง
เขาจึงหันมาเอ่ยบางอย่างกับองครักษ์สองสามคำ ต่อมาองครักษ์ผู้นั้นก็พาเด็กพวกนั้นมาหาเขา
เด็กในหมู่บ้านเนื้อตัวซูบผอม วิ่งเล่นนอกบ้านทั้งวันจนผิวคล้ำ เด็กบางคนไม่สวมรองเท้าวิ่งเท้าเปล่าอยู่บนพื้นดิน แตกต่างจากพวกเขาที่กินหรูอยู่สบายมีเสื้อผ้าอาภรณ์ดี ๆ ให้สวมใส่
เด็กพวกนี้ขึ้นเขาลงห้วยเป็นประจำจนร่างกายแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไป ทว่าพอมาอยู่ต่อหน้าหนานกงฉีซิวและคนอื่น ๆ แล้ว พวกเขากลับสงบเสงี่ยมมาก
เด็กห้าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้ คนโตสุดประมาณสิบขวบ เด็กสุดไม่เกินเจ็ดขวบ
“ผู้สูงศักดิ์มีอันใดให้พวกเรารับใช้หรือขอรับ?”
แน่นอนว่าต้องเป็นพ่อแม่ของเด็กพวกนี้ที่สอนให้เรียกพวกเขาว่าผู้สูงศักดิ์
แม้จะยังเด็ก แต่ก็รู้ความ
พวกเด็ก ๆ สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับผู้สูงศักดิ์เหล่านี้มาตั้งนานแล้ว เมื่อคราวที่พวกเขาออกมาวิ่งเล่นและถือโอกาสหาอาหารหมูกลับไปด้วย ก็บังเอิญเห็นเหล่าผู้สูงศักดิ์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราราวกับเทพในตำนานเล่าขานที่เคยได้ยินมา พวกเขาได้แต่แอบมองอยู่ไกล ๆ
เสี่ยวเป่าไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสภาพความเป็นอยู่ของเด็กในหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อย เด็กเหล่านี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ใกล้กับนาหลวง พวกเขาจึงค่อนข้างมีอยู่มีกิน ถึงจะดูผอมบาง แต่ก็พอมีเนื้อมีหนังอยู่บ้าง เสื้อผ้าของพวกเขาก็ไม่ได้มีรอยปะชุนมากมายขนาดนั้น
แต่ในหมู่บ้านที่เสี่ยวเป่าเคยอยู่ เสื้อผ้าของคนยากจนจะมีรอยปะชุนอยู่แทบทุกที่ บางบ้านถึงกับไม่มีเสื้อผ้าให้ลูกด้วยซ้ำ ยามอากาศร้อนจัด พวกเด็ก ๆ จะสวมเพียงผ้าน้อยชิ้นปกปิดส่วนนั้นเอาไว้ และวิ่งเล่นไปทั่ว ร่างกายก็เรียกได้ว่าผอมแห้งเห็นกระดูก
หากนางไม่ได้มีท่านแม่ที่มีความสามารถในการเย็บปักถักร้อย และเงินที่ท่านพ่อให้ท่านแม่ไว้ในตอนนั้น นางอาจจะเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยากจนไม่มีกระทั่งเงินซื้อเสื้อผ้าใส่
ทว่าพอท่านแม่เสีย ท่านป้ากลับมาเอาเสื้อผ้าทั้งหมดของนางไป
หนานกงฉีซิวหยิบถุงเงินที่วางอยู่บนฝ่ามือองครักษ์มาถือไว้เอง
“รบกวนพวกเจ้าช่วยทำบางอย่างที สามอีแปะต่อคน”
ไม่ใช่ว่าหนานกงฉีซิวขี้เหนียวจึงให้เพียงสามอีแปะ แต่สำหรับเด็กเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว หากช่วยคนยากจนด้วยเงินจำนวนมาก อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ง่าย
เมื่อได้ยินว่านายน้อยหน้าตาดีผู้นี้จะให้เงินพวกเขา ดวงตาของเด็ก ๆ ก็เป็นประกายทันที
แม้พวกเขาจะยังเป็นเด็ก ทว่าลูกหลานชาวบ้านที่มีฐานะยากจนจะต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินตั้งแต่เด็ก แค่หนึ่งอีแปะก็มีค่ามากสำหรับพวกเขา
“ท่านต้องการให้เราทำสิ่งใดหรือขอรับ?”
หนานกงฉีซิว “ช่วยไปตัดหญ้ามาให้ม้าที”
เด็กทั้งห้าได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่งทันที แค่ตัดหญ้านี่นับว่าง่ายมาก พวกเขารีบให้คำมั่นสัญญาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ทุกท่านโปรดวางใจ เราเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้มาก หญ้าที่เราตัดมาจะต้องสดและดีที่สุดแน่นอน”
เสี่ยวเป่ายังหยิบขนมเกาลัดเนื้อนุ่มละมุนลิ้นออกมาจากถุงใบเล็กของตน ก่อนจะยัดใส่มือเด็ก ๆ
“ขนมพวกนี้ข้าให้พวกเจ้านะ ต้องรบกวนแล้ว~”
สามในห้าเป็นเด็กชาย พวกเขาไม่เคยเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดูนุ่มนิ่มบอบบางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งยังสุภาพอ่อนโยน น้ำเสียงก็ไพเราะน่าฟัง พวกเขาจึงเริ่มหน้าแดงขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่าแม่นางน้อยสองคนที่เหลือกลับมองกระโปรงและผ้าผูกผมบนตัวเสี่ยวเป่าอย่างอิจฉา
แต่พอขนมกลิ่นหอมหวานถูกยัดใส่มือตน เด็ก ๆ ก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม
ขนมนี้หน้าตาน่าทานและดูจะมีราคาแพงด้วย มันต้องอร่อยเป็นแน่
“ขอบคุณผู้สูงศักดิ์”
เด็กทั้งห้ามองสามเหรียญอีแปะและขนมเกาลัดในมือ เดิมทีพวกเขากำลังจะเอาหญ้าอาหารหมูที่อยู่ในตะกร้าด้านหลังไปเท แต่สุดท้ายก็ถูกองครักษ์ขวางไว้พร้อมเอาอาหารหมูไปเทที่นาหลวงให้ ก่อนจะเอาตะกร้ามาคืนพวกเขา จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
เด็ก ๆ คล่องแคล่วมาก รู้ว่าที่ใดมีหญ้าเขียวสดและอวบอิ่ม พวกเขาตัดหญ้าได้กองใหญ่ในเวลาไม่ถึงสองเค่อ
หนานกงฉีเฉินจับคางพลางครุ่นคิด “สุดยอด พวกเขาวิ่งไปมาด้วยเท้าเปล่าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ไม่เจ็บหรือ?”
หนานกงฉีซิว “พวกเขาชินแล้ว เท้าของพวกเขาคงด้านจนไม่รู้สึกเจ็บแล้วกระมัง”
เสี่ยวเป่าหอบทั้งลูกกวาดและผลไม้แช่อิ่มมาให้พวกเขาทุกคน เด็กทั้งห้าดูมีความสุขมาก ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู พร้อมกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
เสี่ยวเป่าชี้ไปที่ปลาในอ่างไม้ “พวกเจ้าต้องการปลาด้วยหรือไม่?”
เด็กชายที่โตสุดมองปลาแล้วกลืนน้ำลายดังเอือก แต่กลับส่ายหัว
“ไม่ขอรับ วันนี้ผู้สูงศักดิ์ให้เรามามากแล้ว หญ้าพวกนั้นมีอยู่ทุกที่ มันไม่ได้มีค่ามากมายถึงเพียงนั้น”
แม้เด็กคนอื่น ๆ จะอยากกินเนื้อเหมือนกัน และทั้งครอบครัวก็ไม่ได้เห็นเนื้อมานานแล้ว แต่พวกเขาก็ส่ายหัวอย่างอดกลั้น
หนานกงฉีซิวฉายยิ้มผ่านทางแววตา ไม่โลภมากซ้ำยังสำนึกบุญคุณ ถือว่าเป็นคนดี
หนานกงฉีเฉินจับเจ้าปลาตัวน้อยออกมาด้วยมือเปล่า
“คิดเล็กคิดน้อยไปไย ปลาพวกนี้หากพวกเจ้าไม่ต้องการ เราก็ต้องปล่อยมันไปอยู่ดี รับไป”
เด็กทั้งห้าคุกเข่าลงบนพื้นทันที “ขอบพระคุณขอรับ/เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเป่าลองจิ้มปลาดู “หากพวกเจ้ายังไม่อยากกินมันตอนนี้ เอาเจ้าปลานี่ไปปล่อยในนาข้าวก็ได้ ปลาจะกินแมลงในทุ่งนา เหล่าต้นกล้าก็จะปลอดภัย พอเจ้าปลากินอิ่ม พวกมันก็จะอู๊ดอู๊ดออกมาเป็นปุ๋ยทำให้ต้นข้าวเติบโตได้ดี เจ้าปลาจะตัวอ้วนพีเนื้อแน่นยิ่งขึ้น”
เด็กชายคนโตสุดเบิกตากว้าง “จริงหรือขอรับ?”
มันจะรอดจริงหรือ?
เสี่ยวเป่าพยักหน้าหงึกหงัก “จริงแท้แน่นอน~ หากมันไม่กลายเป็นอาหารนกเสียก่อน เจ้าปลาน้อยที่แหวกว่ายในทุ่งนาจะต้องตัวโตในเร็ววัน”
จะกินตอนนี้หรือรอจนอ้วนขึ้น พวกเขาต้องไปตัดสินใจกันเอาเอง
“ขอบพระคุณผู้สูงศักดิ์ พวกเราเข้าใจแล้ว”
เมื่อพอใจกับผลงานในวันนี้ของตนมาก เด็กทั้งห้าคนก็กระโดดโลดเต้นเป็นลิงจ๋อกลับบ้าน
หนานกงฉีซิวจดจำบทสนทนาระหว่างเสี่ยวเป่าและพวกเด็ก ๆ ได้โดยไม่ตั้งใจ
“เสี่ยวเป่า เจ้าไปได้ยินเรื่องการเลี้ยงปลาในทุ่งมาจากที่ใด?”
เสี่ยวเป่าเลิ่กลั่ก “ปลาอาศัยในน้ำและกินแมลงเป็นอาหาร ในทุ่งนามีแมลงมากมาย พอปลากินอิ่มก็จะโตเร็วขึ้น”
หนานกงฉีซิวอึ้งไปพักหนึ่ง เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดนึกออก
เมื่อได้หญ้ามาแล้ว เหล่าเด็ก ๆ ที่ยังไม่สามารถไปล่าสัตว์ได้จึงติดตามเสี่ยวเป่าไปให้อาหารม้า ส่วนหนานกงฉีซิวนั้นกลับไปหาเสด็จพ่อ
ณ ที่พำนักชั่วคราวของหนานกงสือเยวียน ขุนนางบางส่วนมีเรื่องสำคัญจนไม่อาจรอช้าจึงตรงมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทถึงนาหลวง
และในเวลานี้ คนเหล่านั้นก็กำลังหารือเรื่องต่าง ๆ กับฝ่าบาท
เมื่อหนานกงฉีซิวได้รับอนุญาตแล้วเข้ามาด้านใน สายตาจากเหล่าขุนนางต่างก็จับจ้องมาที่เขา
“ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนหันมองเขา “มีเรื่องอันใดหรือ?”
หนานกงฉีซิวรีบเอ่ยตอบอย่างสุภาพ “สิ่งที่ลูกจะพูดนั้นไม่สำคัญ เสด็จพ่อมีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษากับใต้เท้าทุกท่าน เช่นนั้นลูกจะมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อในภายหลัง”
หนานกงสือเยวียนไม่อ้อมค้อม “ไม่ต้อง สิ่งที่พวกเขาอยากจะพูดล้วนถูกพูดไปหมดแล้ว”
หนานกงฉีซิวจึงทำได้เพียงเอ่ยถึงเรื่องการเลี้ยงปลาในนาข้าวอย่างไม่มีทางเลือก
[1] กินคำพูดตนเองจนอ้วน หมายถึง ไม่รักษาคำพูด ไม่ทำตามสัญญา