ตอนที่ 64 เยี่ยมอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 64 เยี่ยมอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

หลังจากที่ทุกคนรู้ความจริง เพื่อนร่วมชั้นหลายคนของหลินเพ่ยก็พากันฮือฮา ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่าหลินเพ่ยที่ดูอ่อนโยนและไร้เดียงสาคนนี้จะมีจิตใจที่เลวทรามอย่างน่ารังเกียจ

ถึงหล่อนจะโดนทุบตีอย่างรุนแรง แต่กลับไม่มีใครนึกสงสารหล่อนเลยสักคน

ทันทีที่คุณครูมาถึงห้องเรียนหลังจากได้ยินข่าว หลินเพ่ยก็ถูกเหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางทำร้ายจนปางตาย

เสื้อผ้าที่หล่อนสวมใส่หลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าที่เคยเนียนละเอียดชวนมองกลับบวมเป่งจนดูเหมือนกับหัวหมูไหว้เจ้า ตาทั้งสองข้างบวมปูดแทบลืมไม่ได้

พอคุณครูเห็นว่านักเรียนของตัวเองถูกทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ก็รีบเรียกเด็กนักเรียนชายที่พอมีพละกำลังแข็งแกร่งสองสามคนให้เข้าไปลากตัวเหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางออกมา ก่อนจะพาตัวพวกเขาไปที่สถานีตำรวจทันที

คดีทำร้ายร่างกายยังไม่ทันสืบสวนจนเสร็จสิ้น พวกเขากลับบุกเข้าไปถึงในโรงเรียนแล้วลงมือทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนคนหนึ่งอีก ศาลจึงมีคำพิพากษาออกมาอย่างเด็ดขาดให้เหยาชุ่ยฮวาและสามีต้องจำคุกครึ่งปีโดยไม่รอลงอาญา

หลินม่ายไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลอู๋ พอถึงวันที่สิบสอง เธอก็พาโต้วโต้วเดินทางขึ้นศาลตามกำหนดการนัดหมาย

แต่เมื่อเธอไปถึงศาลแขวง เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นลูกความให้กับเธอกลับบอกว่าเหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางบุกไปที่โรงเรียนและทำร้ายร่างกายหลินเพ่ย จนทั้งคู่ถูกตัดสินจำคุก การพิจารณาคดีในครั้งนี้จึงต้องเลื่อนออกไปก่อน

หลินม่ายไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้นเสียได้ เธอถามว่า “หมายความว่าฉันต้องรอให้พวกเขาพ้นโทษก่อน ถึงจะขึ้นศาลได้หรือคะ?”

ผู้ดูแลคดีของเธอยิ้มพลางตอบกลับอย่างใจดี “ไม่ต้องหรอก เพียงแต่เราต้องประสานงานหลายขั้นตอนหน่อยในการคุมตัวนักโทษมาขึ้นศาล อาจต้องใช้เวลาประมาณสองถึงสามวัน เพราะแบบนี้การพิจารณาคดีถึงต้องเลื่อนออกไป”

ถึงอย่างไรเขาก็ทำหน้าที่ดูแลคดีให้เธออย่างสุดความสามารถ แค่มีเหตุจำเป็นให้ต้องเลื่อนเวลาออกไปเท่านั้น

สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ขึ้นศาลเพื่อฟังผลการพิจารณาคดี เพราะจู่ ๆ อู๋จินกุ้ยและภรรยาของเขากระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเสียอย่างนั้น

นับว่าน่าเสียดาย

จนกระทั่งถึงวันฉลองเทศกาลโคมไฟ(1) หลินม่ายตื่นมาทำขนมถังหยวน(2)ตั้งแต่เช้าตรู่ ทุกคนในบ้านล้อมวงกินพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างอบอุ่น

หลังจากกินถังหยวนกันเสร็จแล้ว หลินม่ายก็เตรียมตัวพาลูกสาวกลับเข้าไปในเมือง

ถึงแม้ใจจริงแล้วคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางไม่ค่อยอยากให้เธอกลับไป แต่พวกเขารู้ดีว่าไม่สามารถรั้งให้เธออยู่ต่อได้อีก เธอต้องเข้าเมืองเพื่อหารายได้

คุณย่าฟางขอให้คุณปู่ฟางไปเก็บผักจากในแปลงผักมา เพื่อมอบให้หลินม่ายเอาเข้าไปปรุงอาหารกินในเมืองด้วย

หลินม่ายรีบห้ามปรามไว้ “คุณปู่คะ อย่าลำบากเลยค่ะ ผักพวกนี้ยังพอซื้อหาจากในตลาดมืดได้”

คุณปู่ฟางแบกตะกร้าใบใหญ่ขึ้นหลัง หัวเราะหึหึแล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าในเมืองมีทุกอย่างขาย แต่ถ้าเธอกลับไปแล้ว ที่บ้านก็เหลือแค่ฉันกับคุณย่าของเธอสองคน คนแก่สองคนจะกินอะไรเยอะแยะมากมายกันเชียว แทนที่จะเก็บไว้กินเอง สู้แบ่งให้เธอเอาไปกินในเมืองด้วยยังดีกว่า”

หลินม่ายจึงไม่ปฏิเสธความปรารถนาดีของเขาอีก

คุณย่าฟางหยิบเอาของจำพวกอาหารทะเลตากแห้ง เนื้อแดดเดียว และกุนเชียงซึ่งเป็นของทั้งหมดที่ฟางจั๋วหรานนำมาให้ บรรจุลงในกระเป๋าผ้ากระสอบทันที

นางใช้เหตุผลเดิมว่าพวกเขาทั้งสองแก่แล้ว ฟันไม่ค่อยแข็งแรง กินของพวกนี้ไม่ได้ แบ่งให้สองแม่ลูกเอาเข้าไปกินในเมืองด้วยอย่างน้อยก็ไม่เสียของ

นอกจากนี้ยังรวบรวมเมล็ดแตงทอด ถั่วทอด และถั่วลิสงทอดทั้งหมดในบ้านให้โต้วโต้วเอาติดตัวเข้าไปกินในเมืองด้วย

ขณะที่ทั้งสองกำลังเตรียมของวุ่นวายอยู่นั้น แม่เถียหนิวก็เดินเข้ามา

ทั้งหลินม่ายและสองสามีภรรยาชราต่างประหลาดใจที่นางมาเยี่ยมเยียนพวกเขาถึงที่

เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาในวันแรกของปีใหม่ พวกเขาจึงแปลกใจที่แม่เถียหนิวยังกล้าหน้าด้านหน้าทนมาสู้หน้าพวกเขาอีก

แม่เถียหนิวคลี่ยิ้ม ทักทายคุณย่าฟางตามมารยาท ก่อนจะหันไปหาหลินม่าย “ฉันคิดว่าม่ายจื่อคงจะกลับเข้าไปในเมืองในอีกสองวันข้างหน้าเสียอีก”

หลินม่ายตอบกลับเบา ๆ “ฉันกลับเข้าเมืองวันนี้ค่ะ”

แม่เถียหนิวได้ยินดังนั้นก็ถามเธอด้วยรอยยิ้มกว้าง “คราวนี้เธอคิดจะขายอะไรล่ะ?”

หลินม่ายเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่างเหินมากขึ้น “ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย”

อันที่จริงเธอคิดวางแผนไว้สักพักหนึ่งแล้วว่ากลับเข้าไปในเมืองคราวนี้เธอจะทำเกี๊ยวต้ม(3)ขาย ซึ่งเป็นธุรกิจที่เธอเคยทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตในภพชาติที่แล้ว แต่เธอแค่ไม่อยากบอกแม่เถียหนิวโดยตรง

แม่เถียหนิวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างระมัดระวัง “เธอพาเถียหนิวของฉันไปด้วยสิ เธอก็รู้ว่าเขาขยันขันแข็งและตั้งใจทำงานขนาดไหน”

หลินม่ายปฏิเสธทันควันโดยแทบไม่ต้องคิด

แม่เถียหนิวถึงกับนิ่งงันไป แต่ยังเพียรพยายามโน้มน้าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ม่ายจื่อ เธออาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นแค่คนเดียว ถ้าไม่มีผู้ชายสักคนคอยหยิบจับช่วยเหลือ ฉันกลัวว่าคนอื่นจะรังแกเธอเอาได้…”

ยังไม่ทันพูดจนจบประโยค นางก็ถูกคุณย่าฟางโพล่งขัดจังหวะอย่างไม่อดทนอีกต่อไป “หล่อนยังไม่ยอมแพ้อีกรึ ยังคิดจะยัดเยียดเถียหนิวให้กับม่ายจื่ออีกหรือไง?”

แม่เถียหนิวรีบแก้ตัว “ยอมแพ้ ยอมแพ้ ฉันยอมแพ้เรื่องนั้นแล้ว! ฉันก็แค่อยากให้เถียหนิวตามไปช่วยงานม่ายจื่อเผื่อจะมีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ มาจุนเจือครอบครัว ให้เขาแกล้งทำเป็นพี่ชายของเธอก็ได้ จะได้ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้ามาตอแย”

ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ยังปฏิเสธ

แม่เถียหนิวจึงจำใจกลับไปด้วยความผิดหวัง

คุณปู่ฟางกลับมาพร้อมกับตะกร้าผักใบใหญ่ ก่อนจะถ่ายของใส่ลงในตะกร้าใบใหญ่อีกใบหนึ่งเพื่อที่หลินม่ายจะแบกเข้าเมืองไปอย่างสะดวกมากขึ้น

เขาจัดแจงวางเนื้อแดดเดียว กุนเชียง ปลาเค็ม และเมล็ดถั่วทอดต่าง ๆ รองไว้ก้นตะกร้า แล้วเรียงพืชผักใบเขียวทับลงไป

ถ้าทำแบบนี้ก็จะไม่มีใครมองเห็นว่าในตะกร้ามีพวกอาหารแห้งอื่น ๆ หลินม่ายจะได้ไม่ถูกดักปล้นระหว่างทาง

หลินม่ายแบกตะกร้าขึ้นหลัง ในมือถือถุงตาข่ายอีกใบหนึ่งที่ใช้ใส่เสื้อผ้าของสองแม่ลูก แล้วพาโต้วโต้วเดินออกจากบ้านไป

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำเจาหยางที่ตั้งอยู่บนถนนปาจ้าน ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฮั่นโข่ว

สองแม่ลูกเดินทางมาถึงสถานีรถไฟฮั่นโข่วเร็วกว่ารถไฟรอบถัดไป ดังนั้นหลินม่ายจึงตัดสินใจแวะไปเยี่ยมอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

เจตนาในการไปเยี่ยมเขาครั้งนี้ก็เพื่อบอกให้เขารู้ว่าพ่อกับแม่ของเขาลงมือทุบตีหลินเพ่ย หวังยั่วยุให้เขาล้างแค้นแทนหลินเพ่ยเมื่อพ้นโทษออกมาแล้ว

ถึงแม้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเพิ่งถูกคุมขังแค่ไม่กี่วัน แต่ร่างกายของเขากลับซูบผอมและซีดเซียวเอามาก ๆ

ผู้คุมเดินมาแจ้งว่ามีคนมาเยี่ยมเขา คนคนนั้นเป็นผู้หญิงที่อายุยังไม่เยอะมาก แวบแรกเขาคิดว่าจะต้องเป็นหลินเพ่ยแน่ ๆ จึงมีความสุขมากจนน้ำตาแทบไหลริน

อย่างน้อยเขาก็ไม่เสียแรงที่รักใคร่และหลงใหลในตัวหล่อนถึงขั้นยอมแบกรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดไว้แทน ในยามที่เขาลำบาก หล่อนก็ยังอุตส่าห์สละเวลามาเยี่ยมเยียนเขา

พอเขามาถึงห้องเยี่ยมญาติ ถึงรู้ว่าคนที่มาเยี่ยมเขาไม่ใช่หลินเพ่ยแต่เป็นหลินม่าย ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นมืดหม่น

ยิ่งเมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่ได้มาที่นี่มือเปล่า แต่ยังถือข้าวผัดน้ำมันห่อหนึ่งไว้ในมือ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเพราะความหิวโหย

อาหารทุกมื้อของแต่ละวันภายในเรือนจำล้วนเป็นอาหารที่ฝืดคอและจืดชืด ไม่มีทั้งน้ำมันหรือเกลือผสม เนื้อสัตว์สักชิ้นหนึ่งก็ยังไม่มี

พอเห็นว่าเธอถือข้าวผัดน้ำมันมาล่อตรงหน้า จะไม่ให้เขานึกกระหายอยากได้อย่างไร?

แต่ต่อให้เขาจะหิวกระหายสักแค่ไหนก็พยายามอดทน เขาต้องทำท่าทางเย็นชาไว้เวลาอยู่ต่อหน้านังสารเลวหลินม่าย ถึงเธอจะอ้อนวอนให้เขากินข้าวผัดน้ำมันตรงหน้า เขาก็ไม่สนใจ

พอทรมานเธอจนสาแก่ใจแล้วเขาถึงค่อยกินมัน จะปล่อยให้เธอรีบร้อนได้ใจไปไม่ได้

นังสารเลวคนนี้ช่างน่าสมเพช คิดหรือว่าการที่ตัวเองมาเยี่ยมเขาในยามลำบากแล้วเอาอาหารอร่อย ๆ มาให้ จะทำให้เขาเปลี่ยนใจและหันมาตกหลุมรักเธอ

ทั้งชีวิตนี้ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีวันตกหลุมรักเธอเด็ดขาด เขาจะทำให้เธอมีสภาพเหมือนตายทั้งเป็น!

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกัดฟันพูดกับหลินม่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันไม่สนใจข้าวผัดน้ำมันอะไรนั่น เอาคืนไปซะ!”

หลินม่ายยิ้มเหยียดหยาม “นายคิดว่าฉันห่อข้าวผัดน้ำมันมาให้นายกินหรือไง? ช่างกล้าหลงตัวเองจริง ๆ! ฉันห่อข้าวมาให้ลูกสาวของฉันกินรองท้องต่างหาก”

หลินม่ายวางห่อข้าวผัดน้ำมันลงบนโต๊ะด้านข้างต่อหน้าต่อตาอู๋เสี่ยวเจี๋ยน โต้วโต้วเห็นแบบนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยทันที

หลินม่ายยังคงแสยะยิ้ม มองไปที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนซึ่งกำลังทำหน้าตาโกรธจัด “ฉันมาเยี่ยมนายในครั้งนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น เหตุผลหลักที่ฉันมาก็เพราะอยากเห็นน้ำหน้าที่น่าสังเวชของนาย จุดจบของนายนี่น่าเศร้าจริง ๆ”

ขณะที่พูดเธอก็หัวเราะเยาะไปด้วย “พ่อแม่ของนายบุกไปถึงที่โรงเรียนของหลินเพ่ย แถมยังตบตีแม่ยอดขมองอิ่มของนายซะอ่วม พวกเขานี่โหดเหี้ยมจริง ๆ เลย ทำร้ายหลินเพ่ยจนเกือบตายคามือ เรื่องนี้ทำให้พ่อแม่ของนายถูกศาลตัดสินให้จำคุกแบบไม่รอลงอาญาครึ่งปี หลังจากนั้นก็จะถูกประหารชีวิต ในที่สุดสามพ่อแม่ลูกก็จะได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในคุกแล้ว เป็นยังไงล่ะ รู้สึกอบอุ่นดีไหม?”

ทันทีที่คำพูดเสียดสีอย่างเจ็บแสบของหลินม่ายสิ้นสุดลง เธอก็เดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มสะใจบนริมฝีปาก

ทิ้งให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยืนโกรธจนตัวสั่นอยู่คนเดียวที่นั่น

ถ้าไม่ใช่เพราะผู้คุมคอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ อย่างไม่ละสายตาแล้วละก็ เขาคงพุ่งตัวออกไปทุบตีหลินม่ายอย่างสุดแรงเพื่อระบายความคับแค้นที่เกิดขึ้น!

……………………………………………………………………………………………………………..

เทศกาลโคมไฟ หรือเทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นวันเฉลิมฉลองวันสุดท้ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ของจีน

ขนมทังหยวน ขนมที่นิยมกินในวันเทศกาลโคมไฟ ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมใส่ไส้ ต้มจนสุกแล้วลอยในน้ำขิงปรุงรสหวาน ลักษณะคล้ายบัวลอยบ้านเรา

เกี๊ยวต้ม หรือสุ่ยเจี่ยว (水饺) เป็นเกี๊ยวที่ชาวจีนทางเหนือนิยมกินกัน ลักษณะแป้งที่ใช้ห่อเป็นแผ่นหนาและกลม อาจปั้นเป็นรูปทรงคล้ายเกี๊ยวซ่าหรือทรงยาวแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ได้ มีกระบวนการต้มแบบสามจมสามลอย ความอร่อยจะมุ่งเน้นไปที่น้ำจิ้ม

สารจากผู้แปล

พอเถอะป้า เขาบอกชัดว่าไม่เอาลูกชายหล่อนขนาดนั้นแล้วก็อย่ามาตอแยอีกเลยนะขอล่ะ

หลงสาวจนติดคุกครอบครัวล่มจมแล้วยังหลงตัวเองอีกนะเสี่ยวเจี๋ยน ปล่อยเน่าคาคุกไปเถอะ ม่ายจื่อเป็นอิสระจากแกแล้วจ้า

ไหหม่า(海馬)