บทที่ 79 สมาชิกใหม่ออกเดินทางสู่ทะเล

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 79 สมาชิกใหม่ออกเดินทางสู่ทะเล

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง แสงแดดแผดเผา

สวี่ชิงเดินอยู่บนถนน บอกกับตัวเองในใจว่าวันหน้าหากช่วยได้ก็จะช่วยจางซาน ตอบแทนบุญคุณที่ช่วยหลอมเรือในครั้งนี้ และยังมีแมงดาพรายปรารถนาของโจวชิงเผิง ในตอนที่เหมาะสมตนก็จะช่วยเพื่อตอบแทนเช่นกัน

แม้ตอนนี้จะยังไม่เห็นเรือเวทตอนหลอมเสร็จแล้ว แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าหินวิญญาณที่จางซานใช้เพื่อหลอมเรือเวทจะต้องเกินสองร้อยก้อนอย่างแน่นอน

หลังจากจำเรื่องนี้เอาไว้ในใจแล้ว สวี่ชิงก็สังเกตกลุ่มคนข้างนอกและสภาพแวดล้อมรอบๆ ตลอดทางที่เดินมา เขายังไม่เห็นอะไรที่แตกต่างไปกับปกติ

เหมือนว่า…ความตายของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกไม่ได้สร้างคลื่นลมอะไรในเมืองหลักเลย ทางกรมปราบพิฆาตทางนั้นก็เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเป็นไปได้ว่าตอนนี้คนที่รู้เรื่องมีไม่มาก

สวี่ชิงขบคิดพลางเดินไปทางโถงค้นคว้าท้องสมุทร

โถงค้นคว้าท้องสมุทรเป็นสถานที่ที่ลูกศิษย์ทุกคนจะต้องไปในการออกเดินทางสู่ทะเลครั้งแรก

เพราะในโถงค้นคว้าท้องสมุทรเก็บเอกสารที่ล้ำค่ามากๆ เอาไว้ นั่นก็คือเรื่องแปลกประหลาดต่างๆ นานาที่ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนประสบพบเจอในช่วงเวลาอันเนิ่นนานมานี้ และมีข้อมูลเกี่ยวกับอสูรทะเลนับไม่ถ้วน เป็นบันทึกครบทุกด้านรวมอยู่ด้วยกัน

ราคาน่าตื่นตะลึง

ดังนั้นจึงไม่สามารถคัดลอกได้ หากอยากค้นหาอ่าน ทำได้เพียงจ่ายเงินจำนวนหนึ่งแล้วเดินทางมาเปิดหาค้นคว้าอ่านเอง

นอกจากนี้หากลูกศิษย์ที่เดินทางออกทะเลเจอกับเรื่องแปลกประหลาดหรืออสูรทะเลชนิดใหม่ ก็สามารถรายงานโถงค้นคว้าท้องสมุทรได้เช่นกัน หลังจากที่ได้รับการตรวจสอบยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงก็จะได้รางวัลที่ไม่ธรรมดา และยิ่งเป็นข้อมูลที่ล้ำค่ามากเท่าไร รางวัลก็ยิ่งมหาศาล

เพียงแต่นอกจากจะต้องมีหลักฐานแน่นหนามาพิสูจน์เท่านั้น เพราะหากเป็นข้อมูลเพียงด้านเดียวจึงไม่สามารถวิเคราะห์จริงเท็จได้ ดังนั้นระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบจะนานมากๆ หลายร้อยปีก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นี่ก็เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เรื่องราวประเภทปั้นน้ำเป็นตัวมาหลอกเอารางวัล

ส่วนข้อมูลที่ยังไม่ได้พิสูจน์ความจริงจะไม่ถูกบันทึกอยู่ในโถงค้นคว้าท้องสมุทร

สามารถบันทึกอยู่ในโถงค้นคว้าท้องสมุทรได้ล้วนเป็นเรื่องจริงอีกทั้งยังได้รับการพิสูจน์หลายครั้ง

ดังนั้นสวี่ชิงจึงตั้งใจอ่าน เขารู้ว่าข้อมูลใดๆ ก็ตามในนี้ ล้วนอาจรักษาชีวิตของตัวเองในช่วงเวลาสำคัญได้ทั้งนั้น

และเป้าหมายในการออกทะเล สวี่ชิงก็กำหนดเอาไว้แล้ว

เขาเจอแผนที่ทะเลจากในถุงเก็บของของเด็กหนุ่มเผ่าเงือก ซึ่งครบสมบูรณ์ทุกด้านและละเอียดมาก หลังจากที่สวี่ชิงศึกษาแล้วก็ตัดสินใจว่าเป้าหมายสุดท้ายของการออกทะเลครั้งนี้คือเกาะแห่งหนึ่งที่ทำสัญลักษณ์อยู่บนแผนที่

เกาะนี้อยู่ข้างหลังเกาะที่ชื่อว่าหมู่เกาะปะการังตะวันตก ที่นั่นเต็มไปด้วยหินโสโครก อันตรายเป็นอย่างมาก เนื่องจากบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ลอกคราบของกิ้งก่าทะเล ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าเกาะกิ้งก่าทะเล

กิ้งก่าทะเลเดิมทีก็ดุร้ายทั้งยังหายาก จัดเป็นสัตว์สังคม ส่วนมากอยู่ในทะเลลึก มีเพียงแค่ตอนลอกคราบเท่านั้นที่จะขึ้นฝั่ง อีกทั้งคราบของมันยังต้องเก็บให้เร็วที่สุดจึงจะมีค่า หากเวลาเนิ่นนานไปจะเสียความคุณสมบัติ ไร้ค่าไร้ราคา

ดังนั้นคนนอกหากอยากจะได้มันก็มีระดับความยากที่สูงมาก

ยิ่งเป็นเพราะระดับการป้องกันของมันอยู่เหนือวัตถุดิบประเภทเดียวกัน ดังนั้นในบรรดาวัตถุดิบหลอมเรือเวทจึงเป็นประเภทที่อยู่ในระดับสูง ไม่ใช่ของที่ระดับกลางระดับล่างจะเทียบได้ สวี่ชิงเคยเห็นในร้านยอดเขาที่หก แค่คราบกิ้งก่าทะเลระดับรวมปราณขั้นสามก็ขายถึงสามสิบหินวิญญาณแล้ว

ราคาจะพุ่งขึ้นตามพลังบำเพ็ญของกิ้งก่าทะเลไปด้วย คราบกิ้งก่าทะเลระดับรวมปราณขั้นห้าก็เป็นราคาหนึ่งร้อยห้าสิบหินวิญญาณ กระทั่งว่าสวี่ชิงเคยเห็นคราบกิ้งก่าทะเลระดับรวมปราณขั้นแปดผืนหนึ่ง ราคาสูงถึงห้าร้อยหกร้อยหินวิญญาณ

ราคาที่น่าตื่นตะลึงเช่นนี้ ทำให้เกาะกิ้งก่าทะเลมักจะดึงดูดผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่โหดเหี้ยมจากทะเลต้องห้ามเข้ามาแย่งชิง เสี่ยงภัยอันตรายเป็นอย่างมาก

ดังนั้นหากไม่มีกำลังรบในระดับหนึ่ง มุ่งหน้ามาที่นี่ยากจะรอดกลับไป

เป้าหมายของสวี่ชิงก็คือเกาะกิ้งก่าทะเลแห่งนี้

ตอนนี้เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปตามการเปิดอ่านบันทึกสมุทร ไม่ทันได้รู้ตัวก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว สวี่ชิงในที่สุดก็จำบันทึกสมุทรหนาๆ ไว้ในสมองจนหมด หลับตานึกย้อนรอบหนึ่งก็หมุนตัวจากไป

“ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อยแล้ว แค่รอเรือเวทเท่านั้น” สวี่ชิงเดินอยู่บนถนนในยามเย็นมองทะเล เสียงคลื่นดังลอยเข้ามาในหู ดวงตาฉายแววคาดหวัง

ในที่สุด ยามพบค่ำก็จากไป ในเสี้ยวพริบตาที่จันทร์กระจ่างลอยขึ้น สวี่ชิงก็มาถึงกรมขนส่ง

ตอนนี้คนงานที่ยุ่งมาทั้งวันกำลังจากไปเป็นกลุ่ม ตอนที่สวี่ชิงเดินมาจากข้างๆ ก็มองเห็นจางซานนั่งยองๆ บนกองสินค้าพลางสูบบ้องยาสูบมาจากที่ไกลๆ

เงาร่างจางซานที่อยู่ใต้แสงตะเกียงสลัวค่อนข้างรางเลือน มีเพียงความเหนื่อยล้าที่เผยออกมาปรากฏในสายตาของสวี่ชิงจากแสงกะพริบวูบวาบของบ้องยาสูบในมือ

ในใจสวี่ชิงรู้สึกผิดและติดค้างอยู่นิดๆ กำลังจะเดินเข้าไป ในหมู่ลูกศิษย์คนงานที่กวาดตามองมารอบๆ แล้วเปลี่ยนมาเรียบร้อยระมัดระวังเพราะการปรากฏตัวขึ้นของเขา มีเงาร่างผอมเล็กที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง

เงาร่างนั่นเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นหลี่จื่อเหมยที่เข้าสำนักมาพร้อมเขานั่นเอง นางก็เห็นสวี่ชิงเช่นกัน แม้จะระมัดระวังตัว แต่ใบหน้าก็ยังฉายรอยยิ้มออกมา

รอยยิ้มนี้จริงใจนักใต้แสงจันทร์

สวี่ชิงยิ้มให้กำลังใจ หลังจากมองอีกฝ่ายเดินจากไปจนลับตาแล้ว ก็เดินไปข้างๆ จางซาน

“รู้จักนางหรือ” จางซานเอ่ยถามอย่างสงสัย

“รู้จัก นางชื่อหลี่จื่อเหมย เข้าสำนักมารุ่นเดียวกับข้า เป็นคนที่เข้มแข็งมาก” สวี่ชิงมองเงาแผ่นหลังของหลี่จื่อเหมย เอ่ยเสียงเบา

จางซานได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า

“เป็นเด็กสาวที่ไม่เลว ในเมื่อเจ้ารู้จัก วันหลังข้าก็จะดูแลให้มากสักหน่อย”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” สวี่ชิงมองจางซานพลางเอ่ยอย่างเป็นพิธีรีตรอง

“เรื่องเล็ก ไปเถอะ ข้าจะพาไปดูเรือเวทของเจ้า” จางซานพูดพลางดวงตาฉายแววเป็นประกาย กระโดดลงมาจากกองสินค้า พาสวี่ชิงเดินไปข้างหลัง สถานที่ไปครั้งนี้เป็นคลังสินค้าขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง

เมื่อเดินเข้าไป เรือลำใหญ่มหึมาลำหนึ่งมาพร้อมด้วยพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามก็สะท้อนในดวงตาสวี่ชิง ทำให้ฝีเท้าของเขาชะงักอย่างห้ามไม่ได้

แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว รู้ว่าครั้งนี้เรือเวทของตัวเองจะต้องเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่สวี่ชิงในตอนนี้ก็ยังคงตื่นตะลึงกับเรือเวทที่อยู่ข้างหน้าลำนี้อยู่ดี

หัวเรือที่เคยเป็นหัวจระเข้ยักษ์ถูกเปลี่ยนไป ไม่เรียวยาวแต่กว้างขึ้นมาก มีเขาสีดำเขาหนึ่งซ่อนอยู่ในหน้าผากของอสูรยักษ์ เหมือนว่าแค่เพียงพุ่งออกมาก็สามารถแทงทะลุทุกอย่างได้

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ความโอ้อวดแต่เดิมนั้นลดลงไป มีความสุขุมหนักแน่นมากขึ้น และซ่อนความโหดเหี้ยมไว้ด้วย

ส่วนการเปลี่ยนแปลงของตัวเรือมีมากยิ่งกว่า มันไม่เป็นทรงเรียวยาวขนาดยี่สิบกว่าจั้งอีกต่อไป ลดความยาวลง เพิ่มความกว้างขึ้น มองไปทั้งลำแล้วเหมือนทรงสี่เหลี่ยมรูปว่าว เหมือนกระดองเต่าขนาดใหญ่

กระดานเรือทุกแผ่นบนนั้นล้วนติดเกล็ดปลาและสลักอักขระค่ายกลเต็มไปหมด

ทั้งสองข้างยังมีขาล้อขนาดใหญ่อีกสี่ล้อ เหมือนจะยืดได้หดได้ สามารถเคลื่อนที่ได้บนบก บนนั้นยังซ่อนหนามแหลมคมไว้อีกด้วย

ในขณะเดียวกันห้องเรือก็เปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน เป็นเหมือนหอเล็กๆ สองชั้นหอหนึ่ง การซ้อนขึ้นไปเช่นนี้ทำให้ประหยัดพื้นที่ มีพื้นที่ว่างเพิ่มขึ้นมา ล้วนสลักค่ายกลเป็นชั้นๆ แผ่ระลอกคลื่นพลังวิญญาณออกมา

นอกจากนี้ สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดก็คือบนเรือเวทลำนี้มีใบเรือที่เหมือนดาบสวรรค์ขนาดมหึมา

มีทั้งหมดแปดใบ แถวหน้าสี่ใบ ซ้ายขวาเฉียงองศาเดียวกันกัน ข้างหลังสี่ใบ เฉียงองศาเดียวกับข้างหน้า มองไกลๆ เหมือนปีก และเหมือนมีดคม

ส่วนท้องเรือมีช่องว่างขนาดมหึมาช่องหนึ่ง เหมือนจะเก็บอสูรทะเลได้

เรือเวททั้งลำอยู่ในคลังสินค้าแห่งนี้เหมือนอสูรยักษ์ตนหนึ่ง พลังอำนาจหนักหน่วง เต็มไปด้วยพลังสยบน่าเกรงขาม

“นี่…” สวี่ชิงเหม่อลอยเล็กน้อย การเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลของเรือเวททำให้สมองของเขาตอนนี้มีเสียงวิ้งๆ

เห็นท่าทางของสวี่ชิง ใบหน้าอ่อนล้าของจางซานก็ฉายแววได้ใจและภาคภูมิ เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ

“เรือเวทของเจ้าก่อนหน้านี้หลอมได้ห่วยมาก ดังนั้นครั้งนี้ข้าเลยเปลี่ยนแปลงให้เจ้าชุดใหญ่ หลักๆ แล้วแก้โครงสร้างของท้องเรือ โครงสร้างของกราบเรือ โครงสร้างของกระดาน โครงสร้างของผนังเรือ โครงสร้างของหัวเรือท้ายเรือแล้วก็โครงสร้างของชั้นบน

“กระดูกเรือข้าก็เปลี่ยนให้เจ้าแล้ว เช่นนี้ความเสถียรจะดียิ่งขึ้น การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทำให้ความแข็งแกร่งและความทนทานไปถึงขีดจำกัดสูงสุดได้ นอกจากนั้นข้ายังเหลือพื้นที่เผื่อเจ้ายกระดับให้ด้วย”

จางซานเพียงกระโดดก็มาอยู่บนเรือเวท

“ในเขาดำที่หัวเรือข้าเพิ่มไขกระดูกอสูรกลืนกินเข้าไป แทงไปในร่างของอสูรทะเลมันสามารถกลืนกินพลังวิญญาณของอีกฝ่ายมาเก็บเอาไว้ในค่ายกลกระดานเรือได้

“แล้วก็ยังมีล้อสี่ข้างนี้ ทุกข้างมีเศษชิ้นส่วนคมกริบสามพันหกร้อยชิ้น เมื่อเจออันตรายก็ดึงมันออกมาตามที่เจ้าต้องการแล้วกระตุ้นให้มันระเบิดได้

“ค่ายกลรวมพลังวิญญาณข้าไม่ได้แตะต้อง แต่ขยายขนาดช่องให้ สามารถเติมหินวิญญาณได้ทีเดียวห้าสิบก้อน หากเจอกับสถานการณ์วิกฤต เรือลำนี้แยกชิ้นส่วนได้ สลัดส่วนเกินทิ้งเปลี่ยนเป็นเรือประมง ความเร็วจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งเท่า

“แล้วก็ยังมีใบเรือนี่” จางซานชี้ไปที่ใบเรือ สีหน้าภาคภูมิใจ

“นี่คือเรือที่ข้ารังสรรค์ขึ้นมา เจ้าดูให้ดีนะ” จางซานพูดพลางหยิบหินวิญญาณก้อนหนึ่งใส่เข้าไปในค่ายกลที่เท้า เพียงกระทืบเท้าค่ายกลก็โคจรขึ้นทันที ใบเรือดุจดาบทั้งแปดใบก็รวบอยู่ด้วยกัน แล้วก่อเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่ง

เมื่อมองไป เรือเวทลำนี้ตอนนี้เหมือนจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่ง ป้องกันและโจมตีครบครัน

“รวมกับการป้องกันของเรือลำนี้ ภายใต้การป้องกันสองชั้นทำให้เรือลำนี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลังจากเปิดก็เป็นดาบคมได้ด้วย เกิดเป็นพลังทำลายล้างที่ไม่ธรรมดา

“ช่องว่างใต้ท้องเรือสามารถยึดบนตัววาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามได้ดียิ่งขึ้น เมื่ออยู่ในสถานการณ์พิเศษ ก็สามารถบังคับให้วาฬบรรพกาลบินแบกเรือเวท ทำให้เรือบินได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

“นี่สิถึงจะเป็นเรือเวทระดับเจ็ดของจริง เป็นอย่างไรเล่าสวี่ชิง พอใจหรือไม่” จางซานกระโดดลงจากเรือเวท มือไพล่หลังพลางเดินมาข้างหน้าสวี่ชิง เชิดหน้า เอ่ยเสียงราบเรียบ

ในใจสวี่ชิงมีคลื่นยักษ์ถาโถม หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็สูดลมหายใจลึก ถอยไปสองสามก้าว ประสานหมัดโค้งคารวะจางซานสุดตัว

“ขอบคุณศิษย์พี่จางมากขอรับ เรือลำนี้…ข้าพอใจเป็นอย่างมาก!”

“เดี๋ยวตอนที่เรือเวทของเจ้ายกระดับเป็นเรือใหญ่เวท ตามแหล่งกำเนิดพลังงานของเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าออกแบบอีกสักครั้ง เรือใหญ่เวทถึงจะเป็นอาวุธสุดยอดที่แท้จริง!”

จางซานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำท่าเหมือนเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงส่ง ปฏิกิริยาของสวี่ชิงทำให้เขาชอบใจนัก แต่ความเหนื่อยล้าที่ทะลักถาโถมมาก็ยังทำให้เขาหาวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

สวี่ชิงหลังจากที่ได้เห็นแล้ว ก็เอ่ยลาอย่างเคารพนับถือ หยิบหินวิญญาณออกมาวางไว้ข้างๆ แล้วจึงหยิบเรือเวทไปจากกรมขนส่ง

จวบจนเขาจากไปแล้ว จางซานถึงได้ถอนหายใจด้วยใบหน้าห่อเหี่ยว

“ขาดทุนแล้ว อดไม่ได้ชั่ววูบ หลอมเสียดีขนาดนั้น…ครั้งนี้ขาดทุนยับแล้ว”

“หวังว่าเจ้าหนูนี่จะมีอนาคต…” จางซานฝืนทนความเจ็บปวดใจ หยิบหินวิญญาณมาพลางส่ายหน้าเดินออกไปจากคลังสินค้า ก่อนไปเขาก็นึกถึงลูกศิษย์ที่เข้าสำนักมาพร้อมกับสวี่ชิงคนนั้น ดังนั้นจึงหยิบแผ่นหยกสื่อเสียง สั่งการลงไป

“ในเมื่อลงทุนไปแล้วก็ลงทุนเพิ่มมากอีกหน่อยแล้วกัน ช่วยไม่ได้ ก็ทุ่มไปเยอะเสียแล้ว”

สวี่ชิงก็กลับมาถึงท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้าท่ามกลางความสะท้อนใจของจางซาน ปล่อยเรือเวทไปที่ท่าจอดเรือของตัวเอง เสียงสนั่นหวั่นไหวบนผิวน้ำ เขามองวัตถุมหึมาหนาหนักข้างหน้า ในใจฮึกเหิม ร่างกระโดดก้าวขึ้นไป ศึกษาอย่างละเอียด

เวลาคืนหนึ่งค่อยๆ ไหลผ่านไป

คืนนี้ สวี่ชิงศึกษาเรือเวทของตัวเองทั้งข้างในข้างนอกอย่างละเอียดลึกซึ้ง นับถือในฝีมือการหลอมของจางซานเป็นที่สุด จวบจนเมื่อในเสี้ยวพริบตาที่ดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณลอยขึ้น แสงอรุโณทัยสาดส่อง สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก ยืนอยู่ที่หัวเรือ มองดวงอาทิตย์ที่ห่างไกลลิบ ดวงตาค่อยๆ หรี่ลง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มือขวาของเขาก็ยกขึ้นประสานปางมือ

“ออกทะเล!”

เรือเวทส่งเสียงดังครืนครันสนั่นทันใด เรือเวทระดับเจ็ดของเขาค่อยๆ เคลื่อนไปจากช่องจอดเรือตามการซัดโหมของน้ำทะเลรอบๆ เบนหัวเรือมุ่งหน้าแล่นไปทางประตูน้ำท่าเรือท่ามกลางสายตาจับจ้องของลูกศิษย์เรือเวทคนอื่นๆ

เหมือนสัตว์ยักษ์ออกจากกรง รัศมีอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม

ส่วนเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ผมยาวพลิ้วไปในลมทะเล ร่างเหยียดตรงดุจต้นสน ชุดนักพรตสีเทาปลิวสะบัดสะท้อนกับแสงพรายระยับยามเช้าบนท้องฟ้า ทำให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านเส้นผมมาที่ร่างของเขาหักเหสะท้อนเป็นแสงพราวพร่างระยับตา