บทที่ 66 องค์ชายกำลังเล่นละคร

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรกัน  

 

 

แปลกจริงๆ เขาไม่ได้อยู่ด้านหน้ากับบรรดาศิษย์หัวกะทิแล้วก็เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หรอกหรือ  

 

 

หรือว่าองค์ชายสามก็หลงทางเหมือนกัน  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านาง ดวงตาหงส์ของนางหรี่ลงด้วยความสงสัย  

 

 

เจ้าแมวสีขาวที่ยืนอยู่บนไหล่ของนางกางกรงเล็บ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดระแวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!  

 

 

ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกว่ามนุษย์ผู้นี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง  

 

 

แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่ก็ดูมีบางอย่างผิดปกติ  

 

 

ในฐานะทายาทของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน!  

 

 

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน  

 

 

“องค์ชายสามเพคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างสุภาพ แล้วเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ท่านทอดพระเนตรเห็นสัตว์อสูรบ้างหรือไม่เพคะ” ไม่ว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือแกนกลางนั่นต่างหาก  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพยักหน้า  

 

 

ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย “ตอนนี้มันอยู่ที่ไหนหรือเพคะ”  

 

 

“ไม่มีเวลามอง” ไปหลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยตอบช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แม้จะโกหก แต่เขาก็ไม่ได้มีความกระดากอายเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำกลับยังเผยความสง่างามสมเป็นราชนิกุลออกมาเสียอีก “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าไม่มีพลังปราณแม้แต่น้อย จึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องซ่อนตัวเมื่อพบสัตว์อสูร แล้วข้าจะบอกได้อย่างไรว่ามันไปทางไหน”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”  

 

 

เอาล่ะ ต้องโทษความรู้สึกกดดันจากองค์ชายที่ทำให้นางลืมไปเลยว่าเขาไม่มีพลังปราณแม้แต่นิดเดียว  

 

 

แต่ว่า  

 

 

“หม่อมฉันคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเสียอีกเพคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยแกล้งถามหยั่งเชิง  

 

 

สีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เขายกมือขึ้น แล้วรวบรวมกำลังภายในของตน แต่มันก็เป็นเพียงกลุ่มควันสีขาวกลุ่มหนึ่งเท่านั้น  

 

 

นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่มีพลังปราณ  

 

 

เพราะอย่างน้อยตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรวบรวมพลัง อากาศโดยรอบก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง  

 

 

ส่วนเขา แม้แต่ลมเขาก็ยังเรียกออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ  

 

 

“เจ้าจงใจพูดเพราะอยากเห็นความไร้ฝีมือของข้าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกยิ้มแกนๆ ไม่อาจบอกได้ว่าเขาโกรธอยู่หรือไม่  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่าการถูกปฏิบัติราวกับเป็นขยะนั้นเป็นเช่นไร ดังนั้นนางจึงเอ่ยขอโทษขอโพย “หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้นเพคะ”  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโกรธนางหรือเปล่า แต่นางก็เดินออกไปแล้วเตรียมไล่ตามสัตว์อสูรตัวนั้นต่อ  

 

 

“เจ้าจะไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ” น้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นจากทางด้านหลัง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง “แล้วข้าจะทำอย่างไรล่ะ”  

 

 

หืม เดี๋ยวสิ องค์ชายสามหมายความว่าอย่างไรกัน  

 

 

เขาหมายความว่ายังไงที่บอกว่าแล้วเขาจะทำอย่างไร  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสาวเท้าเดินเข้าไปหานางช้าๆ ใบหน้าที่ถูกหน้ากากสีเงินปิดบังเอาไว้ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก “เจ้าบอกเองว่ามีสัตว์อสูรอยู่ที่นี่ ส่วนข้าก็รวบรวมพลังปราณไม่ได้ แล้วเจ้าตั้งใจจะทิ้งข้าเอาไว้ที่นี่ โดยไม่เป็นกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นเลยหรือ”  

 

 

แล้วถ้าไม่ล่ะ นางควรจะทำอย่างไรหรือ  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยกะพริบตาด้วยความงุนงง  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดกับนางสามคำ “คุ้มครองข้า”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวย “…” [ชายหนุ่มโตเต็มวัยเช่นท่านพูดเรื่องนี้ออกมาหน้าตาเฉยได้อย่างไรกัน!]  

 

 

แม้แต่กิเลนอัคคีที่ซ่อนตัวอยู่ในมิติสวรรค์ของเขาก็แทบจะกระอักเลือดเมื่อได้ยินผู้เป็นนายเอ่ยเช่นนั้น ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี แต่ตอนนี้เจ้านายของเขากลับแสดงละครเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ!  

 

 

“เราต้องออกไปจากที่นี่กันก่อน แล้วเจ้าค่อยไปหาสัตว์อสูรของเจ้าทีหลัง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนที่นิ้วโป้งของตนด้วยท่วงท่าสบายๆ ไม่ว่าจะมองมุมใด เขาก็ยังคงเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์เฉกเช่นเดิม  

 

 

เยี่ยมไปเลย องค์ชายวางแผนการให้นางเรียบร้อยแล้ว แถมยังไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธเสียด้วย!  

 

 

แต่ถ้านางไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วทำไมนางต้องทำตามเขาด้วยล่ะ  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนนิ่งไม่ขยับ นางยกมือขึ้นลูบเจ้าแมวสีขาวบนไหล่  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกยิ้มราวกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ “ทำไมล่ะ เจ้าไม่อยากทำหรือ เช่นนั้นข้าเก็บแกนกลางมังกรไว้ก่อนก็แล้วกัน”  

 

 

แกนกลางมังกรหรือ  

 

 

แกนกลางศักดิ์สิทธิ์นั่นหายากยิ่งกว่าแกนกลางของสัตว์อสูรทั่วไปเสียอีก  

 

 

ว่ากันว่าหากได้กินสักชิ้น ก็เทียบเท่ากับการฝึกฝนร่วมสิบปีเลยทีเดียว  

 

 

ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนพูดกันว่าแม้องค์ชายสามจะไม่มีพลังปราณเลยแต่ก็ยังเป็นที่ต้องการของหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วน  

 

 

ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะเป็นอย่างไร แต่แค่ทรัพย์สมบัติของเขาก็คงทำให้ตระกูลขุนนางทั่วทั้งเมืองหลวงวิ่งไล่ตามเป็นขบวนได้แล้ว  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกค่อนแคะอยู่ในใจ จู่ๆ นางก็คิดว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ทั้งที่นางกับเขาต่างก็เป็นขยะเหมือนกันแท้ๆ  

 

 

ทำไมความแตกต่างระหว่างพวกเขาถึงมากมายขนาดนี้  

 

 

แต่การพาเขาไปด้วยก็นับว่าคุ้มค่าทีเดียว อย่างไรเสียก็คงสายเกินไปแล้วที่จะไล่ตามสัตว์อสูรตัวนั้นไป ยิ่งกว่านั้นแกนกลางมังกรก็เป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง เพราะมังกรไม่ใช่สิ่งที่จะจับได้บนแผ่นดินใหญ่ ปกติแล้วจะต้องไปยังบริเวณที่มีทะเลเท่านั้น  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยทำการชั่งน้ำหนักในใจเสร็จสรรพแล้วก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้คุ้มกันพระองค์เพคะ องค์ชายสาม”  

 

 

แกนกลางมังกร!  

 

 

นางสงสัยว่าถ้าหยวนหมิงตื่นขึ้นมาแล้วเห็นแกนกลางมังกรเข้า เขาจะเลียมุมปากอย่างตื่นเต้นหรือไม่  

 

 

 

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้เปิดโปงแผนการเล็กๆ นาง เขาทำเพียงยกยิ้ม แล้วมองขึ้นไปยังเจ้าแมวขาวที่มีทีท่าเป็นศัตรูกับเขาอย่างเห็นได้ชัดบนไหล่ของนาง แล้วแย้มรอยยิ้มราวกับปีศาจร้ายออกมา  

 

 

เจ้าแมวขาวตัวเกร็ง  

 

 

บัดซบ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้สามารถมองเห็นร่างจริงของเขาได้ล่ะ!  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเช่นกัน นางเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “หม่อมฉันเพิ่งเก็บมันมา แล้วก็เอาชุดให้มันเปลี่ยน หลังจากกลับไปแล้วจะได้นำมันไปทำอาหารกินเพคะ”  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ไม่เคยสนใจแมวเลยแม้แต่น้อยชะงักเท้าไปชั่วขณะ เขาปรายมองเจ้าแมวตัวนั้นอีกครั้งด้วยสายตามีเลศนัย “ไม่ต้องรอกลับไปหรอก ถ้าคืนนี้เรายังออกไปไม่ได้ เจ้าก็จับมันไปทำอาหารซะ”  

 

 

เจ้าแมวขาว “…”  

 

 

มันอยากออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้เลย!  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเจ้าแมวด้วยความเสียใจ ดวงตาของนางเหมือนกับกำลังจะบอกว่า ‘ขอโทษนะ ข้าแค่ล้อเล่น ไม่คิดว่าองค์ชายสามจะอยากกินเจ้าจริงๆ’  

 

 

เจ้าแมวขาว ‘อย่ากินข้านะ เจ้าจะเชื่อฟังที่ชายคนนี้บอกแล้วจับข้าไปย่างหรือ!’  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจ ‘ตอนนี้เขาเป็นนายจ้างของข้า’  

 

 

เจ้าแมวขาว ‘…’  

 

 

เขาไม่ควรเชื่อใจมนุษย์คนนี้เลย!  

 

 

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้จับเจ้าแมวไปทำมื้อเย็นจริงๆ นางหันกลับไปสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวแทน นางจำต้องรอจนกว่าหมอกจะจางลง นางถึงจะพอทำอะไรได้บ้าง  

 

 

นางก่อกองไฟ จากนั้นจึงหยิบกิ่งไม้ขึ้นมา ตั้งใจว่าจะออกไปล่ากระต่ายมาเป็นอาหาร  

 

 

สภาพอากาศในป่านั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ นางไม่รู้ว่าหมอกจะจางลงเมื่อใด แต่การไม่ปล่อยให้ท้องหิวคือคติประจำใจของนาง  

 

 

นางไม่จำเป็นต้องบอกอะไรกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เพราะเขานั่งอยู่ข้างกองไฟย่อมไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาแน่ อีกอย่างสัตว์อสูรตัวนั้นก็หนีไปแล้ว มันคงไม่กลับมาอีกพักใหญ่  

 

 

ไม่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะฉลาดแค่ไหน ก็ยังไม่รู้ว่าสัตว์อสูรตัวที่นางนึกถึงอยู่นั้นถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อ้างว่า ‘ไร้ซึ่งพลังปราณ’ จัดการ และส่งมันไปเป็นอาหารให้สัตว์เลี้ยงของตน… กิเลนอัคคี  

 

 

เมื่อเหลือเพียงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่ข้างกองไฟ น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจของกิเลนอัคคีก็ดังขึ้นจากมิติสวรรค์ มันใช้น้ำเสียงอันแหบพร่าและน่าฟังเอ่ยขึ้นว่า “อยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง นายท่าน ท่านกำลังวางแผนจะทำอะไรผู้หญิงคนนั้นอยู่ใช่ไหม!”