ตอนที่ 72 ต่างวุ่นวายในความคิดของตน (4)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 72 ต่างวุ่นวายในความคิดของตน (4)

ราคาของถั่วลดลงเป็นจำนวนมากอย่างไม่ต้องสงสัย ใช้เวลาเพียงสามวันก็ทำให้ถั่วลดราคาจากห้าร้อยอีแปะต่อหนึ่งชั่งเรือเพียงสองอีแปะต่อหนึ่งชั่งเท่าเดิม

ต่อให้อู๋ต้าฟู่ร่ำรวยเพียงใดก็ไม่สามารถทนต่อสถานการณ์เช่นนี้ได้ เขามีถั่วหลายแสนชั่งและยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เงินหลายหมื่นตำลึงก็แทบจะสลายไปกับสายน้ำ

ค่ำคืนนั้นเขาตั้งใจจะใช้แผนการเดิมอีกครั้ง โดยส่งพวกคนบ้าคลั่งออกไปเผาโกดังที่ท่าเรือ แต่พวกคนวางเพลิงเหล่านั้นถูกจับได้ในที่เกิดเหตุและถูกชาวบ้านทุบตีจนตาย

เมื่อเห็นสถานการณ์ดำเนินไปเช่นนั้น อู๋ต้าฟู่ก็ไม่อาจทนทานได้และสิ้นลมหายใจในคืนนั้นทันที

ในเมืองนับแต่เริ่มมีการซื้อถั่ว สถานการณ์ก็ค่อนข้างครึกครื้น ในร้านอาหารหรือภัตตาคารโรงเตี๊ยมมักมีผู้กล่าวถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าเรื่องที่เล่าลือกันไปนั้น ต่างถูกใส่สีตีไข่ ผู้ที่รู้เรื่องราวจริงจะมีสักกี่คน

ประตูร้านของอิ๋งเค่อเซวียนถูกปิดลง ด้านบนติดป้ายประกาศว่า ‘ขาย’ ตัวใหญ่

ผู้คนต่างพากันพูดถึงเรื่องนี้

“ข้าได้ยินมาว่า นายท่านใหญ่อู๋ต้าฟู่รับซื้อถั่วเอาไว้มากมาย เมื่อราคาถั่วลดต่ำลงเขาก็โมโหจนขาดใจตาย”

“ไอ้สารเลวนั่นมันไม่ได้โมโหจนตายหรอก ได้ยินมาว่าอายุก็ปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว แต่ยังเที่ยวแย่งชิงบุตรสาวของชาวบ้านเขาไปทั่ว อ้อ ได้ยินมาว่ามีแม่นางอยู่คนหนึ่งอายุเพิ่งจะได้ยี่สิบปี อยู่ในช่วงมีกำลังวังชา ไอ้แก่นั่นจะไปรับไหวได้อย่างไร เมื่อคืนนี้เกิดอารมณ์ขึ้นมาแต่ไม่อาจทนทานได้จึงหัวใจวายตายกะทันหัน”

“ไอ้เจ้าอู๋ต้าฟู่ทำตัวเกเรมาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่เพียงจะมีภรรยาอยู่แล้วคนหนึ่ง แต่อนุภรรยาก็มากมายนับไม่ถ้วน ได้ยินว่ามีภรรยาเอกถึงสองคนเชียว…ถุย! สมควรแล้ว”

“จะว่าไปเรื่องอายุของตาเฒ่าอู๋…”

“โชคดีเหลือเกินที่เราขายถั่วไปเร็วกว่านี้ ตอนนั้นราคาชั่งละห้าร้อยอีแปะ ได้เงินมาก้อนโตทีเดียว ตอนนี้กลับลดลงเหลือชั่งละสองอีแปะและหาซื้อได้ทั่วไป เหอะๆ!”

“ก็นั่นนะซิ ถั่วที่บ้านข้าแม้จะขายไม่ทันตอนราคาสูงสุดแต่ก็ขายออกไปได้ในราคาหนึ่งร้อยอีแปะ ไม่รู้ว่าอู๋ต้าฟู่ คิดอะไรอยู่กัน จึงทำให้เห็นถั่วเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าได้…”

……

ณ เรือนใหญ่ของตระกูลอู๋ เสียงร้องไห้ดังระงม

ในห้องโถงไว้ทุกข์มีสตรีสูงวัยมากมายนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ที่นั่น จู่ๆ ก็มีหญิงสาววิ่งออกมาร้องไห้ที่สวนหลังบ้านว่า “นายท่าน ท่านตายอย่างน่าอนาถยิ่งนัก จู่ๆ ท่านก็จากไปเช่นนี้ ซิงเอ๋อร์ก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น ไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามารังแกได้โดยง่าย…”

เมื่อได้ยินนางร้องโหยหวนเช่นนั้น ก็มีสตรีอีกเป็นขบวนคนร้องไห้ตาม

คุณชายใหญ่อู๋ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะเดินหน้าเข้าไปเตะผู้ที่เรียกตนเองว่าซิงเอ๋อร์ กล่าวว่า “แม่ของข้า แม่สองและแม่สาม ร้องไห้ออกมาจากใจจริง ส่วนพวกเจ้าร้องอะไรเช่นนี้? ไสหัวไปที่เรือนหลังบ้านเสีย…”

“เหตุใดพวกข้าจึงร้องไห้ไม่ได้ น่าสงสารลูกของข้าเหลือเกินที่ต้องขาดพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก…นายท่านเจ้าขา โปรดลืมตาขึ้นมาดูเถิด มองดูบุตรผู้อกตัญญูของท่านผู้นี้…”

“นังสารเลว ปัดโธ่เอ้ย! หากเจ้ายังตะโกนร้องอีกข้าจะขายเจ้าไปเสียในวันนี้เลย”

“เจ้ากล้าหรือ!”

“เหตุใดจึงไม่กล้า ใครก็ได้มามัดนางสารเลวนี่เอาไว้แล้วขังในห้องเก็บฟืนที ห้ามให้อาหารหรือน้ำดื่ม ผู้ใดที่ไม่ปฏิบัติตาม ข้าจะขายไปพร้อมกับมัน”

บ่าวสาวรับใช้นางหนึ่งเดิมทีต้องการจะเข้าไปช่วยเหลือแม่นางเซวีย แต่เมื่อได้ยินคำพูดของนายน้อย นางจึงชะงักลงและคุกเข่าที่พื้นว่า “ได้โปรดเถิดนายน้อย อย่าได้ขายบ่าวไปเลย บ่าวมีเรื่องสำคัญที่จะรายงาน”

“เรื่องอะไร”

“ขอเชิญนายน้อยทางนี้เจ้าค่ะ”

“จะให้ไปที่ใด! มีอะไรก็รีบกล่าวมา ไม่เช่นนั้นข้าจะขายเจ้าด้วยเสียบัดนี้”

เมื่อบ่าวรับใช้นางนั้นเห็นว่านายของตนไร้สิ้นหนทางแล้ว อีกทั้งยังถูกนายน้อยดุเสียจนตกอกตกใจจึงอกสั่นขวัญหาย และเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา

แท้จริงแล้วเซวียซิงเอ๋อร์ยังไม่ทันจะแต่งเข้ามาในตระกูลก็ได้มีความสัมพันธ์กันกับลูกพี่ลูกน้องของนางหรือผู้จัดการเลี่ยว หลังแต่งเข้ามาแล้วก็ยังมักแอบนัดพบกับผู้จัดการเลี่ยวคนนั้นอยู่เสมอ

จะมีคนมาร่วมแบ่งสมบัติน้อยไปอีกหนึ่งคนอย่างนั้นหรือ คุณชายใหญ่อู๋กำลังปวดหัวว่าจะหาเหตุผลใดในการขายสองแม่ลูกนี้ไป บัดนี้เขาจึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาในพริบตา

อู๋ต้าฟู่มีภรรยาเอก แต่กลับแต่งตั้งภรรยาเอกอีกคนหนึ่ง ที่จริงเรื่องนี้ก็มีเหตุผลเนื่องจากภรรยาเอกของเขานั้นไม่มีบุตรสักที ดังนั้นจึงได้แต่งภรรยาเอกเข้ามาอีกคนหนึ่ง แต่ว่าเมื่อภรรยาเอกคนนั้นแต่งเข้ามาก็แท้งบุตรอยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงได้แต่งเข้ามาอีกคนหนึ่งก่อนจะให้กำเนิดบุตรสาวสามคน

จนกระทั่งภรรยาเอกอายุเขาได้สี่สิบปีจึงมีนายน้อย หลังจากนั้นก็ราวกับเป็นการเปิดอู่ นางได้มีบุตรชายอีกหลายคน

คนที่อยู่ในห้องโถงซึ่งนั่งร้องไห้อยู่เหล่านั้น แม้ที่หางตาจะมีน้ำตาแต่ดูเหมือนว่าใบหน้าทุกคนจะแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

ฮูหยินใหญ่ลุกขึ้นแล้วออกคำสั่งให้จัดการกับซิงเอ๋อร์ในตอนนั้นและนางก็ตายลงในที่เกิดเหตุทันที

ต่อมา ผู้จัดการเลี่ยวก็ถูกส่งดำเนินคดีไปในไม่ช้า

เนื่องจากมีผู้ส่งหลักฐานว่าไฟไหม้ในเมืองเทียนเซียงครั้งที่แล้วเป็นฝีมือลอบวางเพลิงของอิ๋งเค่อเซวียน

คุณชายใหญ่อู๋ใช้เงินไปจำนวนไม่น้อยกว่าจะโยนความผิดให้กับตาเฒ่าเซวียได้

หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ตระกูลอู๋ก็แทบไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป

คุณชายใหญ่อู๋จึงมีความคิดว่าจะต้องขายอิ๋งเค่อเซวียนทิ้งไป อีกทั้งถั่วมากมายกองโตเหล่านั้นจะต้องได้รับการแปรรูปอย่างรวดเร็ว

บัดนี้ราคาถั่วตกลงต่ำไปเท่าเดิม หากว่ายังไม่รีบขายละก็ ถั่วมากมายหลายหมื่นหลายแสนชั่งเหล่านี้ ก็จำเป็นจะต้องได้รับการจัดการ เนื่องจากคลังของตระกูลนั้นได้ใส่เอาไว้จนเต็มแล้ว แต่คลังที่เก็บอยู่ในท่าเรือยังคงต้องจ่ายค่าเช่า เกรงว่ายังไม่ทันถึงฤดูใบไม้ผลิคนในตระกูลอู๋คงจะอดตายหมดเสียก่อน

ด้วยเหตุนี้เอง ราคาของถั่วจึงได้ลดลงจากสองอีแปะเหลือเพียงหนึ่งอีแปะ

แต่สรุปว่า ถั่วจำนวนราคาชั่งละหนึ่งอีแปะก็ยังขายไม่ออก เนื่องจากมีถั่วมากมายหลายแสนชั่ง ใครเล่าจะต้องการถั่วมากมายขนาดนั้น

ต่อมา เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเดินทางไปเจรจา นางใช้เงินเพียงสองร้อยตำลึงก็สามารถซื้อถั่วจำนวนสามแสนชั่งได้ อีกทั้งยังเป็นการผ่อนชำระ

ในช่วงสองเดือนมานี้นางทั้งสร้างบ้านทั้งสร้างร้านอาหาร จะยังมีเงินมากมายจากไหนมา ทำได้เพียงจ่ายครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นจะชำระหลังต้นปี

คุณชายใหญ่อู๋จึงนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงจากไปอย่างมีความสุข

เขาแอบนึกอยู่ในใจว่าตนได้พบกับสตรีโง่เข้าเสียแล้ว รู้หรือไม่ว่าถั่วจำนวนสามแสนชั่งเหล่านี้หากต้องเก็บไว้ในโกดังแต่ละวันขายได้เพียงไม่กี่ชั่ง เงินค่าเช่าโกดังและค่าดูแลสูงถึงเดือนละสิบกว่าตำลึง

ไม่รู้ว่าตอนนั้นชายชราเกิดคิดอะไรขึ้น คงจะต้องถูกเซวียซิงเอ๋อร์นั่นหลอกเอาแน่ บัดนี้ นางนั่นตายไปแล้วแต่ยังมีชายชู้และตาเฒ่าเซวียอยู่

สีหน้าของเขาเยือกเย็นทันใด และสั่งให้บ่าวรับใช้นำสุราไปให้ผู้คุมคุก เช้าวันต่อมาก็มีข่าวแพร่ออกไปว่าผู้จัดการเลี่ยวถูกยิงตายในคุก ส่วนตาเฒ่าเซวียถูกลงโทษประหารหลังจากฤดูใบไม้ร่วง

แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงหัวข้อสนทนาในยามว่างทั่วไป

ในช่วงที่ราคาของถั่วเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงจนถึงปัจจุบัน ผ่านไปประมาณครึ่งเดือน ร้านอาหารของมั่วเชียนเสวี่ยก่อสร้างเสร็จพอดี และได้เลือกฤกษ์งามยามดีเพื่อเริ่มกิจการแล้ว

ยามค่ำคืน มั่วเชียนเสวี่ยนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง นางนอนไม่หลับจึงหันไปมองพบว่าหนิงเซ่าชิงนั้นกึ่งหลับกึ่งตื่น นางกระซิบถามว่า “เซ่าชิง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือ”

“อะไรจริงอะไรปลอมเล่า”

“ทำไมข้าจึงรู้สึกว่าราคาถั่วที่ขึ้นลงเหล่านั้น ท้ายที่สุดแล้วผลดีกลับมาตกอยู่ที่ข้า มันรู้สึกไม่สมจริงเอาเสียเลย”

“ผลดีอะไรกัน” หนิงเซ่าชิงกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส “เดิมทีถั่วก็ไม่ใช่ของหายากอะไร เรื่องนี้ไม่ได้น่าประหลาดใจเลย” เขาไม่กล้าบอกกับมั่วเชียนเสวี่ยหรอกว่าแท้จริงผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดนั้นกลับเป็นซูชี

ถั่วหลายแสนชั่งเพิ่มมูลค่าได้มากเป็นหมื่นตำลึง จึงทำให้เงินทั้งหมดที่อู๋ต้าฟู่สะสมมาต้องหมดไป ผู้ชนะที่แท้จริงคือซูชีต่างหาก