ตอนที่ 24 การขัดขืนของเด็กสาวในกรง (rewrite)
บุรุษเก็บของลวกๆ จากนั้นรีบร้อนกลับ
ตอนออกจากบ้านหลังเล็ก เหยียนโซ่วเหงื่อซึมออกมาทั้งตัว
ท่าทางการเดินของเขาเบียดอยู่ในตรอกเล็ก ก้มหน้าหลุบตาลง ห่อไหล่สองข้าง อาภรณ์เปียกชุ่ม บีบเข้าด้วยกัน กลัวจนหัวหด ถือกล่องไม้สีดำนั้น รู้สึกว่ากล่องไม้ที่ไม่ได้ใส่อะไรเลยนั่น ตอนนี้หนักอึ้งดั่งภูเขา
ในความไม่แน่ใจนั้น เขาเริ่มนึกเสียใจกับการกระทำของตนในบ้านหลังเล็กเมื่อครู่ อยากจะตบหน้าตัวเองใจจะขาด
เด็กสาวไม่ได้เป็นใบ้
เด็กสาวนั่นเป็นของเล่นที่รักของคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง ตนเป็นเพียงหมอที่รับเงินมาทำงานเท่านั้น คนใหญ่คนโตนั้นคิดอย่างไร…ตนมีสิทธิ์ที่จะคาดเดาหรือ
เมืองหลวงอยู่ในสายตาราชวงศ์
เขาเริ่มนึกไปทุกรายละเอียดที่พบหน้ากันในหนึ่งปีมานี้
เหตุใดเด็กสาวนั่นถึงไม่ยอมพูด
ไม่ใช่แค่ข้างหลังที่เปียกชุ่ม หน้าผากเขาก็มีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ซึมออกมาเช่นกัน นิ้วมือเริ่มสั่น แม้แต่เดินยังเดินไม่ตรง
คนใหญ่คนโตที่ไม่รู้นามคนนั้นแห่งเมืองหลวงให้เด็กสาวอยู่ที่บ้านแห่งนี้ ไม่มีกลิ่นอายของคนนอกปะปนเลย…เหยียนโซ่วจุกในลำคอ เขานึกถึงเรื่องน่ากลัวอย่างหนึ่ง
มีคนบอกกับตนว่าทั้งเมืองหลวงถูกสายตาของราชวงศ์จับจ้อง สายลมพัดใบหญ้าพลิ้วไหว หลบสายตาของพวกเขาไปไม่ได้
ประตูกรงของนกคีรีบูนเปิดไว้
แม้แต่ตนยังเข้ามาได้…เช่นนั้นเด็กสาวที่เฉยชาและโดดเดี่ยวคนนี้ ไม่ลองหนีไปดูล่ะ
เพราะเด็กสาวนั่นรู้ว่าทุกอย่างที่นางทำล้วนเสียเปล่า ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความหมาย
เหยียนโซ่วรู้สึกถึงเสียงลมที่พัดหวีดหวิวจากข้างหลัง รวมถึงเสียงฝีเท้าเบาที่ไม่ใช่ของตนในตรอกเล็ก
ถึงช่วงเที่ยงแล้ว แสงตะวันยามเที่ยงตรงลอดผ่านกำแพงแคบสองข้าง เงามืดภายในตรอกมองไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่น้อย หมอที่เดินออกมาตอนเที่ยงวันในโลกเหมือนตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง เหมือนเดินไปในนรกที่ห่างไกลจากโลกมนุษย์
‘ตึง’ กล่องยาสีดำตกลงพื้น
บุรุษใช้กำลังทั้งหมดเอาสองมือเกาะกำแพงไว้ หมุนตัวกลับไปช้าๆ ให้ตนดูไม่ได้อยู่ในสภาพน่าเวทนาขนาดนั้น
เงามืดยักษ์ยืนอยู่หน้าเหยียนโซ่วที่หันหลังมา กดดันเข้ามาเหลือเพียงฉื่อเดียว เหมือนกับกำแพงเหล็กกำแพงทองแดง
คนนั้นพูดเสียงเบา “ท่านนั้นไม่ได้บอกหรือว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร”
เหยียนโซ่วตัวสั่นเหมือนตะแกรง จับผนัง ค่อยๆ ไร้เรี่ยวแรง ล้มนั่งลงกับพื้นช้าๆ
คนนั้นพยักหน้า ก่อนยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าทำมาหนึ่งปี ข้าก็คิดว่าเจ้าเข้าใจกฎแล้ว”
เสียงเหยียนโซ่วไม่น่าฟังเหมือนกับร้องไห้
เขาเอาหัวกระแทกดิน โขกจนแตกเป็นหลุมเลือด หลายสิบครั้งต่อมาเหยียนโซ่วก็เงยหน้าขึ้น มองเงานั้น เลือดอาบใบหน้า พูดเสียงแหบแห้งสะอื้นไห้เสียงดัง “ทะ ท่าน…หะ…ให้โอกาสอีกครั้ง…ขอ ขอร้องท่านละ…”
เงานั้นขมวดคิ้วขึ้น
เสียงเบานุ่มนวลเหมือนสายลม เอ่ยช้าๆ “ไม่ว่าอย่างไร…เจ้าก็สัมผัสมือนาง”
นัยน์ตาเหยียนโซ่วฉายประกายสับสนเสี้ยวหนึ่ง
เงานั้นนั่งยองๆ มือใหญ่คว้าที่ศีรษะเหยียนโซ่ว เหมือนลูบหัวลูกสุนัขอย่างอ่อนโยน พูดเบาๆ ว่าอย่ากลัว
อีกมือลากผ่านคอของเหยียนโซ่วช้าๆ
สายลมพัดไป เส้นเลือดที่เชื่อมต่อกันลากผ่านจากคอที่ขาดไปเรื่อยๆ เหนียวข้นและเหม็นคาว
เงาที่หยัดกายขึ้นมองศีรษะอัปลักษณ์นั้นที่ตนหิ้วขึ้นมา ก่อนจะอดส่ายหน้าไม่ได้แล้วโยนไปบนพื้นหินสีดำในตรอกเล็กอย่างไม่ไยดี ดัง ‘ปึก’ แตกเป็นหลุมเว้าบนพื้นหิมะบาง ไอร้อนพวยพุ่ง เลือดสดไหลช้าๆ
ตายตาไม่หลับ
…..
สวีชิงเยี่ยนนั่งหลังโต๊ะนั้นในบ้านหลังเล็ก นางเหม่อมองแสงสว่างแสบตานอกชายคา เสี่ยวเจาก็ยืนอยู่ข้างๆ ตน
นางหลักแหลมกว่าเหยียนโซ่มากนัก
นางรู้ว่าพี่ชายตนจะทำการด้วยรูปแบบใด…หากประตูไม้ในบ้านเปิดออกง่ายๆ เช่นนั้นจะต้องมีกลอนที่แน่นหนายิ่งกว่า เทียบกับกลอนในความจริงแล้ว สวีชิงเค่อชอบใช้กฎที่เลื่อนลอยมาจำกัดใจคนมากกว่า
สวีชิงเยี่ยนเข้าใจทีละนิด ไม่ว่าตนจะไปที่ใด อารามรู้กรรมหรือเมืองหลวง ก็ยังเป็นแค่สินค้าเท่านั้น
ค่าของนาง สำหรับตนแล้ว ก็แค่มีชีวิตอยู่เท่านั้น
เพียงเพื่อให้มีชีวิตต่อไป ก็ต้องทนรับความเจ็บปวดในเส้นทางชีวิต ความจริงเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย
แต่มูลค่าของนางสำหรับพี่ชาย ไม่ใช่แค่การมีชีวิต
แต่คงสภาพการมีชีวิตไว้ในรูปแบบอย่างหนึ่ง
นางคาดเดาได้ว่าหมอคนนี้ไม่ได้มารักษาให้ตน ความเป็นเทพในกายไม่เคยลดลงเลย แต่กลับลุกลามอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พี่ชายตนต้องการมากกว่านั้น
สวีชิงเค่อต้องรอโอกาสที่ดีกว่า จากนั้นถึงยินดีผลักตนออกไป ผลักไปต่อหน้าปุถุชนหรือ
หรืออาจจะผลักไปอยู่หน้าคนบางคน
สวีชิงเยี่ยนไม่มีวันคาดเดาแผนการเขาได้เลย
แต่นางไม่มีแรงต่อต้าน นี่เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดที่สุด นางได้แต่ไหลไปตามคลื่น
สวีชิงเยี่ยนกำมือเงียบๆ นางสูดลมหายใจเข้าลึก มองประตูไม้นั้นที่เพิ่งปิดไปไม่นานเปิดออกอีกครั้ง
ไม่ใช่เหยียนโซ่วที่ไปแล้วกลับมา
พี่ชายตนผลักประตูบ้านหลังเล็ก พยักหน้าให้ตนด้วยรอยยิ้ม เหมือนแค่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายชั่วยาม รอยยิ้มในดวงตาทำให้คนน่ารังเกียจและใกล้ชิด
“เขาตายแล้ว”
สวีชิงเค่อเอ่ยนุ่มนวล “ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องคับอกคับใจเด็ดขาด ร่างกายของเจ้า ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง”
สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปากแน่น มองใบหน้าตอบนั้นของบุรุษ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ห่างจากเหยียนโซ่วออกไปไม่ถึงครึ่งเค่อ
ศีรษะคนตกลงพื้น ยังไม่ถูกความเย็นแทรกซึมในหิมะ พี่ชายที่ไม่เคยพบหน้ากันมาหนึ่งปีผลักประตูไม้ของตนเหมือนมาเดินทอดน่อง
สวีชิงเยี่ยนพิจารณาไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง นางไม่เห็นการจัดฉากแผนการใดๆ นางกับเสี่ยวเจาค้นดูในบ้านหลังเล็กหมดแล้ว ของที่อาจจะซ่อนค่ายกลแสงดาราถูกโยนทิ้งไปหมด
กรงนกว่างเปล่านั้นยังแกว่งไกวตามสายลม ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
นกเพลิงอุสา มีลางสังหรณ์เด่นชัด หากในบ้านมีอะไรแปลกจริงๆ เช่นนั้นเพลิงอุสาพวกนี้คงไม่พากันมาที่นี่อย่างไม่ระแวดระวังใดๆ…หรือเพราะความเป็นเทพของตนทำให้พวกมันไม่สังเกตเห็นกันแน่
ไม่เข้าใจเลย
นางไม่รู้ว่าพี่ชายตนรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
นางรู้สึกสิ้นหวังลึกๆ
“พรุ่งนี้จะมีหมอคนใหม่มารักษาให้เจ้า” สวีชิงเค่อมองเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเสียงนุ่มนวล “เจ้าต้องเชื่อฟัง ให้ความร่วมมือ ไม่อย่างนั้นคนคนนั้นก็จะตาย…หากมีคนตายเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นก็ต้องโทษเจ้า ขอแค่เจ้าเชื่อฟังก็จะไม่เกิดเรื่อง เข้าใจหรือไม่”
สวีชิงเยี่ยนมองพี่ชายของตน
นางพยักหน้าเบาๆ
“จงมีชีวิตอยู่ให้มีความสุข หากคิดว่าบ้านนี้ไม่ใหญ่พอ…ข้าจะเปลี่ยนหลังใหญ่กว่าให้เจ้าได้” สวีชิงเค่อพูดเบาๆ “ต้องการอะไร ขอแค่บอกมา ก็จะมีคนจัดทุกอย่างให้อย่างเหมาะสม”
สวีชิงเยี่ยนได้ฟังคำพูดพวกนี้แล้วเงียบยิ่งกว่าเดิม
นางอยู่ในเงามืด แต่กลับถูกเปลื้องอาภรณ์ เปลือยกายไม่มีเรื่องส่วนตัวหรือความลับใดๆ
ทุกคำที่นางพูด พี่ชายจะได้ยิน
ทุกอย่างที่นางทำ จะอยู่ในสายตาพี่ชาย
นางเกิดความคิดจะต่อต้าน แต่ก็ล้มเหลวมาตลอด…วันใดที่นางเดินไม่ถึงแสงสว่าง เช่นนั้นก็จะไม่มีวันออกจากการควบคุมของพี่ชายไปได้
นกเพลิงอุสาแสวงหาอิสระมาตลอด มีคนเปิดกรงให้พวกมัน
ตนแสวงหาอิสระ ใครจะเปิดกรงให้ตนบ้าง
สวีชิงเยี่ยนยิ้มหยัน นางพูดกับบุรุษตรงหน้าเสียงเบา “ข้าอยากรู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น”
สวีชิงเค่อพูดนิ่งๆ “ไม่ได้”
สวีชิงเยี่ยนเงียบไปชั่วครู่ นางยังคงอยู่ในท่านั่งเรียบร้อย เลิกผ้าโปร่งขึ้น เผยใบหน้าที่น่าตกใจนั้นอย่างตามใจ
หญิงรับใช้เสี่ยวเจาก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดสักคำ สองมือบีบแน่น ปลายนิ้วจิกเข้าไปในฝ่ามือ ตัวสั่นไปทั้งตัว
สวีชิงเค่อไม่ทำอะไร
เขามองใบหน้ารูปไข่งดงามล่มเมืองนั้นของน้องสาวตนอย่างเฉยชา เอ่ยราบเรียบ “หากเจ้าเลิกผ้าโปร่งนี้ต่อหน้าหมอคนต่อไป เช่นนั้นเขาจะมีชีวิตรอดไม่ถึงหนึ่งเค่อ”
สวีชิงเยี่ยนมองพี่ชายตน นางเลิกผ้าโปร่งขึ้น ก็เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นแววตาของตน
จากนั้นรู้การตัดสินใจของตน
“ฆ่าคนตาย เป็นวิธีที่พวกเจ้าใช้ขู่ข้า แต่พวกเจ้าไม่มีวันใช้วิธีนี้กับข้าได้ตลอด” สวีชิงเยี่ยนพูดเสียงเบา “เจ้าอยากให้ข้ามีชีวิต อยู่ไปได้นานอีกหน่อย รอจนพวกเจ้าหาโอกาสที่เหมาะสม…ก็จะบรรลุเป้าหมายบางอย่าง”
บุรุษจ้องมองน้องสาวนิ่งๆ
เขาพูดเสียงเบา “เจ้ากำลังต่อรองกับข้าอยู่รึ”
“นี่ไม่ใช่การต่อรอง แต่เป็นการร้องขอ” สวีชิงเยี่ยนยิ้ม “เจ้าจะมองว่าเป็นการข่มขู่ก็ได้”
เด็กสาวชะงักไปก่อนจะพูดขึ้น “หากเจ้าไม่ตอบตกลง ข้าจะหาโอกาสฆ่าตัวเองเสีย”
ตอนที่เอ่ยคำพูดนี้ จิตใจนางไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ การมีชีวิตอยู่เดิมทีเป็นเรื่องเหนื่อยมากอยู่แล้ว นางอ่อนล้าเหลือเกิน หากตายไปก็จะสิ้นสุดลง…บางทีนี่อาจเป็นบทสรุปที่ไม่เลวจริงๆ
“เชื่อข้า เจ้าทำไม่ได้”
“ก็อาจจะ…หากข้าสังหารตัวเองหลังเข้าวังล่ะ ทุกอย่างที่เจ้าทำจะกลายเป็นเรื่องตลก” สวีชิงเยี่ยนมองพี่ชายพลางเอ่ยทีละคำ “เจ้าอยากส่งข้าเข้าวัง แต่หากข้าตายแล้ว บทสรุปจะเป็นอย่างไร”
บุรุษที่พิงหน้าประตูลานบ้านเล็กได้ยินคำพูดนี้ กลิ่นอายก็เปลี่ยนไปทั้งตัว เขาจ้องน้องสาวตน บรรยากาศทั้งบ้านหนักอึ้งเหมือนเมฆครึ้ม
เสี่ยวเจาคุกเข่าลง ตัวสั่นไปหมด
สวีชิงเค่อมองเด็กสาว
“ข้าแค่อยากรู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น” สวีชิงเยี่ยนพยายามให้เสียงตนฟังดูราบเรียบและไม่สั่น นางสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง “นี่มันเกินไปนักหรือ”
ผ่านไปนานมาก
สวีชิงเค่อพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ข้าจะทำตามคำขอของเจ้า”
“แต่ว่า…สวี ชิง เยี่ยน” เขาชะงักไป ก่อนจะพูดต่อ “หากจะเอาการฆ่าตัวตายมาข่มขู่ข้าอีก เชื่อข้า เจ้าจะต้องเสียใจ”
หญิงรับใช้เสี่ยวเจาโล่งอก นางแทบจะล้มลงกับพื้น ในมือมีแต่เหงื่อ มองคุณหนูของตนที่ปิดผ้าโปร่งไว้ ไม่รู้เอาความกล้าที่ใดมาขัดขืน
สวีชิงเยี่ยนซ่อนการเย้ยเยาะเล็กๆ ในดวงตาใต้ผ้าคลุมหน้า
สิบนิ้วจิกลงฝ่ามือจนเป็นรอยเลือด น่าตื่นตกใจ
นี่ถือว่านางชนะแล้วหรือ
เด็กสาวถอนหายใจโล่งอกเบาๆ นางตื่นกลัวกับการกระทำอันหาญกล้าของตน จากนั้นครุ่นคิดช้าๆ ตนไปเอาความกล้านั้นมาตั้งแต่เมื่อไร
นางนึกถึงเด็กหนุ่มที่ชื่อหนิงอี้คนนั้น นึกถึงคำพูดที่พูดกับตน
‘เรื่องราวของโลกไม่ราบเรียบ ก็จงใช้หนึ่งกระบี่ฟันให้ราบเสีย’
สวีชิงเยี่ยนไม่มีกระบี่ นางมีเพียงชีวิตที่เป็นลูกตุ้มตาชั่ง สิบกว่าปีมานี้ ไร้ค่าเหมือนเรือโดดเดี่ยว โคลงเคลงไปมาในคลื่นลมโหมซัดสาด
ชีวิตนี้ของนาง ไม่เคยเจอคนที่ดีกับนางจากใจจริง
หนิงอี้เป็นข้อยกเว้นเพียงคนเดียว
…………………….