บทที่ 61 ใจสกปรก!

“เจ้าหัวไชเท้าน้อยนี่น่ะหรือจะเป็นศิษย์ของข้า!”

“ฮึ่ม! ข้าก็ไม่ต้องการให้ลุงนิสัยเสียเป็นอาจารย์ข้าเช่นกัน!”

ผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กน้อยหนึ่งคน ต่างสะบัดหน้ากันไปคนละทาง ด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อซึ่งกันและกัน ช่างเป็นคู่กัดกันจริง ๆ !

ถังหลี่คร้านเกินกว่าจะสนใจพวกเขา นางปลีกตัวเดินเข้าห้องครัวไปทำอาหาร วันนี้มื้ออาหารของนางเป็นมื้อที่แสนพิเศษ เพราะนางลงมือทำกับข้าวให้เว่ยฉิงด้วย ถังหลี่รู้สึกคิดถึงสามีของตนเป็นอย่างมาก ดังนั้นวันนี้นางจึงวางแผนจะเยี่ยมเขาที่บ้านสกุลเซี่ย

หลังจากทำอาหารเสร็จสรรพดีแล้ว ถังหลี่ฝากเด็กทั้งสองคนไว้กับตู้เย่ นางนำอาหารบรรจุใส่ปิ่นโตเดินทางไปที่บ้านสกุลเซี่ย เมื่อคนในจวนเซี่ยเห็นถังหลี่ ทุกคนจำได้ทันทีว่านางคือภรรยาของหัวหน้าเว่ย บ่าวรีบไปตามเว่ยฉิงในจวนทันทีหลังจากที่รออยู่ไม่นานชายหนุ่มก็ปรากฏตัวขึ้น

เว่ยฉิงมองภรรยาอย่างอารมณ์ดี ชายหนุ่มรีบกางแขนออกแล้วรั้งตัวถังหลี่เข้ามาในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว เขาโน้มตัวกระซิบข้างหูนางเบาๆ

“ภรรยาเจ้างดงามขึ้นอีกแล้ว”

ดวงตาเมล็ดซิ่ง[1]ของหญิงสาวจับจ้องไปที่อีกฝ่าย

“งดงามหรือ?”

“ใช่ งดงามจนน่าตื่นตะลึง ราวกับเทพเซียนลงมาเยือนใต้หล้า!”

“เจ้าไปเรียนรู้คำพูดแบบนี้มาจากที่ใดกัน? ”

“เฮ้! ข้าติดตามนายท่านเซี่ยนะ ย่อมต้องได้ยินบทกวีเหล่านี้บ้างสิ”

ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นนายท่านเซี่ยหยอดคำหวานแก่ฮูหยินของตน นางถึงกับชื่นชอบมาก เว่ยฉิงจดจำคำพูดเหล่านี้ลงในใจ และตั้งใจว่าจะใช้มันบอกกับถังหลี่สักครั้ง

ถึงแม้หญิงสาวตรงหน้าจะทำท่าระอาใจ แต่ใบหน้างดงามของนางนั้นประดับไปด้วยรอยยิ้มเหมือนดอกไม้แรกแย้ม

ดูไปแล้ว..ภรรยาของเขาคงชอบฟังคำหวานหูแบบนี้เช่นกัน ..ทั้งสองเดินจับมือกันไปรอบ ๆ บริเวณของสกุลเซี่ย จวนหลังนี้มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าจวนสกุลไป๋ของพี่ใหญ่นางเสียอีก

“นายท่านเซี่ย ..ย้ายมาจากเมืองไหนหรือ?”

“ท่านมาจากเมืองหลวงพร้อมกับครอบครัว”

“นายท่านเซี่ยบอกข้าเกี่ยวกับเมืองหลวงหลายอย่าง ท่านบอกว่าจวนหลักในเมืองหลวงนั้นใหญ่กว่านี้มาก ภายในจวนมีเสบียงเพียงพอสำหรับคนถึงหนึ่งปีเชียวล่ะ”

นายท่านเซี่ยมักบอกให้เว่ยฉิงไปทำงานที่เมืองหลวง เพราะที่นั่นจะสามารถเจริญก้าวหน้าทั้งด้านเงินและอำนาจได้มากกว่า แต่เว่ยฉิงไม่ค่อยสนใจนัก อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าถังหลี่ชายหนุ่มก็ยกมันขึ้นมาพูดคุยราวกับจะหาเรื่องคุยกับนางไปเรื่อย ๆ

“ท่านยังกล่าวว่ามีบ่าวรับใช้หญิงอีกเป็นสิบคน บางคนมีแค่หน้าที่ซักเสื้อผ้า บางคนคอยแต่งหน้าจัดทรงผมให้ฮูหยิน พวกเขาประณีตและพิถีพิถันมาก ถังหลี่…หากในอนาคตข้าหาเงินได้มากขึ้น ข้าจะหาของทุกอย่างที่ข้าพูดให้เจ้า ”

ชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของภรรยาและลูก ๆ คือแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเว่ยฉิง ทั้งสองทิ้งตัวลงนั่งในบริเวณที่ร่มรื่นและเงียบสงบ ชายหนุ่มเปิดปิ่นโตที่ถังหลี่นำมา เตรียมพร้อมจะลิ้มรสชาติอาหารฝีมือของภรรยา

นี่เป็นอาหารที่ภรรยาของเขานำมามอบให้เป็นพิเศษ! พี่น้องร่วมงานของเขายังไม่เคยมีใครมีภรรยานำอาหารมาฝากถึงที่จวนเลย! เว่ยฉิงมีสีหน้ายินดีปรีดา ดวงตาสีเข้มของชายหนุ่มจับจ้องไปที่ถังหลี่วาววับ

“ฮูหยิน เมื่อคืนข้าจับขโมยมามือขวาของข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย…เจ้าป้อนข้าหน่อยสิ” ทันทีที่ถังหลี่ได้ยินนางก็กังวลใจ หากประโยคถัดมาถึงกลับทำให้นางกลอกตาอย่างอิดหนาระอาใจ

“งั้นก็ไม่ต้องกิน” นางพูดแล้วหยิบปิ่นโตคืน ชายหนุ่มกอดปิ่นโตไว้แน่นก่อนจะกล่าวด้วยความตกใจ

“ไอ้หย๋า! ภรรยามือข้าหายดีแล้วล่ะ!”

ถังหลี่รู้สึกขบขันเจ้าหมาหน้าโง่ตัวนี้เสียจริง

คนที่ดูซื่อ ๆ อย่างนี้ จะเป็นวายร้ายที่โหดเหี้ยมได้อย่างไร?

เว่ยฉิงหยิบปิ่นโตขึ้นแล้วเริ่มทานอาหาร ผู้ชายปากหนักคนนี้กำลังค่อย ๆ เคี้ยวทีละคำ ๆ เชื่องช้าราวกับอิสตรี เพียงเพราะต้องการใช้เวลาอยู่กับภรรยาให้นานขึ้น ในขณะเดียวกันดวงตาคมกริบเหมือนพยัคฆ์ก็มองไปที่ภรรยาข้างกาย ถือโอกาสในช่วงเวลาที่นางไม่ระวังตัว ยื่นใบหน้าเข้าไปฉกฉวยความหอมหวานจากพวงแก้มจากถังหลี่

ภรรยาที่น่ารักของเขา! ยิ่งได้หอมแก้มนางยิ่งทำให้อาหารมื้อนี้เอร็ดอร่อยยิ่งขึ้น!

เว่ยฉิงกินอาหารไปสองคำแล้วฉวยจุมพิตจากหญิงสาว เขาคิดว่าเขาจะไม่ลืมอาหารมื้อนี้เลย ทั้งสองเดินเล่นหลังจากกินอาหารเสร็จแล้วสักพักใหญ่ก่อนที่จะแยกจากกันอย่างไม่เต็มใจ

ทันทีที่เว่ยฉิงกลับไปยังจวนสกุลเซี่ย พี่น้องร่วมงานต่างมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ล้อเลียน ใครจะคิดว่าหัวหน้าที่แสนโหดเหี้ยมและดุร้ายผู้นี้ เวลาอยู่กับภรรยาจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มเอาแต่ใจกันเล่า!

“อา! มือข้าเจ็บ”

“โอ๊ย!ข้าเจ็บเท้า” ลูกน้องเว่ยฉิงต่างล้อเลียนเขากันอย่างคึกคะนอง เล่นเอาเว่ยฉิงถึงกับไล่ฟาดจนเจ็บตัวไปตาม ๆ กัน ……

ทันทีที่ถังหลี่กลับถึงบ้าน หญิงสาวก็เห็นร่างคุ้น ๆ อยู่ไม่ไกลจากประตูบ้าน ประตู

“เถ้าแก่จาง?”

เป็นเถ้าแก่จางเจ้าของร้านไป๋เย่าถังนั่นเอง ชายตรงหน้าก็ประหลาดใจเช่นกันที่ได้พบถังหลี่

“แม่นางถัง ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ?”

“ข้าอาศัยอยู่ที่นี่”

“ข้าก็อาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน..”

“เรือนข้างหน้านั่นหรือ?”

“ใช่แล้ว”

“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง ข้าได้ยินจากภรรยามานานว่ามีคนย้ายมาอยู่เรือนหลังนี้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นท่าน”

“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ” ถังหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“อ้อ! แม่นางถัง ข้าได้เดินทางไปเมืองชิงเหอพบสหายเก่าสองสามคน เพื่อสอบถามเกี่ยวกับสมุนไพรที่ท่านต้องการ ในอีกไม่กี่วันจะได้คำตอบที่แน่ชัด หากไม่มีเรื่องคาดฝันเกิดขึ้นล่ะก็ สมุนไพรที่ท่านต้องการน่าจะได้อย่างแน่นอน!”

“เป็นเรื่องดีจริง ๆ .. เถ้าแก่จาง ขอบคุณท่านมากที่ทุ่มเทถึงเพียงนี้” ถังหลี่ได้ฟังข่าวก็รู้สึกมีความสุขมาก

ไม่ไกลจากที่ทั้งสองยืนอยู่เท่าไหร่นัก มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมายังพวกเขาทั้งสองคน เจ้าของสายตาคู่นั้นคือเฉียนกุ้ยอิง นางทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เพื่อแอบดูแต่ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้นัก นางจึงเห็นเพียงแต่ท่าทางที่สนิทสนมกันของคนทั้งคู่ แต่ไม่ได้ยินบทสนทนาใด ๆ ทว่าเฉียนกุ้ยอิงรู้ดีว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกันอยู่ ..

คนหนึ่งเป็นถึงเถ้าแก่ร้านขายยาที่ร่ำรวย ส่วนอีกคนก็เป็นเพียงสาวบ้านนอก!

ไม่ต้องใช้สมองไตร่ตรองมากก็พอรู้ได้ว่า นางจงใจยั่วยวนบุรุษตรงหน้าอย่างไร้ยางอาย!! พวกหวังรวยทางลัด!

เถ้าแก่จางอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบิดานางแท้ ๆ

แค่มองก็รู้แล้วว่าสตรีผู้นี้เป็นนางจิ้งจอกไร้ยางอาย เฉียนกุ้ยอิงเดาได้ทันทีว่านี่คงเป็นวิธีที่ถังหลี่ใช้หาเงินเพื่อมาซื้อบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน! นี่คงเป็นวิธีที่นางมีเงินไปซื้อขนมที่ร้านลูกกวาดหยกสินะ! เฉียนกุ้ยอิงมองดูเถ้าแก่จางที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนต้องมีใจให้กันอย่างแน่นอน! เถียนซื่อเป็นผู้หญิงอารมณ์ร้าย หากนางไปบอกว่ามีสตรีมาทำตัวเป็นดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง[2]กับสามีของนางล่ะก็…

คราวนี้ถังหลี่คงต้องสิ้นชื่ออย่างแน่นอน!

หากเป็นเช่นนี้แล้ว ครอบครัวบ้านนอกพวกนี้ก็จะถูกขับไล่ออกไปโดยที่เฉียนกุ้ยอิงไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด หญิงสาวอดทนต่อความตื่นเต้นในใจแทบไม่ไหว นางปิดประตูเข้าบ้านไป ก่อนจะซุ่มรอความเคลื่อนไหวด้านนอกให้เงียบสนิท หลังจากเถ้าแก่จางได้เดินจากไป เฉียนกุ้ยอิงรีบวิ่งไปเคาะประตูบ้านเถียนซื่ออย่างรวดเร็วแล้วเล่าเหตุการณ์ที่นางเพิ่งพบเจอมา!

“กุ้ยอิง เจ้ามาอย่าพูดจาพล่อย ๆ เช่นนี้” ใบหน้าของเถียนซื่อบิดเบี้ยวน่าเกลียด

“พี่เถียน ข้าเห็นมากับตาอย่างชัดเจนไม่ได้พูดไปเรื่อยเปื่อย! พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันมานาน ข้าเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”

“พี่เถียน ข้าน่ะรักและหวังดีกับท่านจริง ๆ นะ ข้ารู้ว่าเถ้าแก่จางเป็นคนดี ไฉนจะทันเล่ห์เหลี่ยมยัยจิ้งจอกไร้ยางอายผู้นั้นได้!”

“ท่านคิดไม่ถึงหรอกว่านางทำหน้าอย่างไร! หัวเราะต่อกระซิกกับบุรุษอย่างไร! นางออดอ้อนเถ้าแก่จางอย่างออกนอกหน้า!”

“มือของนางสัมผัสตัวสามีของท่านกลางวันแสก ๆ ช่างไร้ยางอายจริง ๆ!”

เฉียนกุ้ยอิงเติมเชื้อไฟใส่ในคำพูดของตน

เถียนซื่อกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างไม่รู้ตัว นางแต่งงานอยู่กินกับสามีมาตั้งแต่ยังสาว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน มีวันนี้ได้ด้วยความยากลำบาก ความสัมพันธ์ของเถียนซื่อและสามีแน่นแฟ้นต่อกันมาตลอด รวมถึงสามีก็เอ่ยปากสัญญาว่าจะไม่มีอนุอีกด้วย

ตอนนี้กิจการของครอบครัวกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีนางถึงกับภาคภูมิใจในความลำบากที่ร่วมฝ่าฟันกันมา… ดังนั้นจะไม่มีสตรีหน้าไหนเข้ามาเลื่อยขาเตียงของพวกเขาให้สั่นไหวได้! เถียนซื่อสาบานว่านางจะฉีกอกสตรีทุกคนที่พยายามจะทำเช่นนั้น!!

แววตาของเถียนซื่อฉายแววดุดันออกมา

………………

[1] ดวงตาเมล็ดซิ่ง ว่ากันว่า ดวงตาแบบนี้จะทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่าคนอื่น สะท้อนถึงความใส่ซื่อบริสุทธิ์ ใครเห็นก็อยากจะเข้าหาด้วยความเอ็นดู

[2] ดอกซิ่งแดงออกกำแพง หมายถึงหญิงสาววัยแรกรุ่นที่อยากมีคู่ พยายามเสนอตัวเอง ทำตัวเด่น เรียกร้องความสนใจ เพื่อให้เพศตรงข้ามสังเกตเห็นและสนใจตน แล้วยังสื่อความหมายโดยนัยถึงหญิงมีสามีแล้วที่ไม่สำรวมตน คบชู้สู่ชายอีกด้วย บางครั้งสำนวนนี้ก็มีการพูดโดยย่อเป็น “ดอกซิ่งแดง” หรือ “ออกนอกกำแพง